0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

5 elements part9

3 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

15 elements part9 Empty 5 elements part9 Wed Jan 15, 2014 7:37 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

ถึงคุณป้าจะออกตัวช่วยหาทางพาผมกลับไป แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เราพยายามหาทางกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ทั้งจำลองเหตุการณ์ให้เหมือนคืนนั้น ทั้งนั่งหา แต่ก็ไม่ใช่เลยสักทาง เราหาทางกลับไปไม่เจอ ถ้าจะพูดให้ละเอียดและถูกเลยก็คือลำพังแค่หาห้องลับนั่นเรายังหากันไม่เจอเลย


“แล้วแบบนี้ผมจะกลับไปที่นั่นได้ยังไงล่ะเนี่ย”ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง เมื่อหมดพลังงานไปกับการหาทางกลับ เจ้าออบตินกระโดดขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะเลียมือผมเบาๆเหมือนอยากจะปลอบใจ


“ยังมีวิธีไหนที่เรายังไม่ได้ลองมั้ย ชานยอล”คุณป้าถามปนหอบ ก่อนจะนั่งลงยังโซฟาตัวถัดไป ผมส่ายหน้าก่อนจะตอบ


“ที่คิดได้เราก็ลองไปหมดแล้วล่ะครับ ผมคิดไม่ออกแล้วจริงๆ”คุณป้าหยิบพัดขึ้นมาพัดพร้อมกับตอบผม


“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่”ผมพยักหน้ารับ


“เดี๋ยวป้าไปทำอาหารเย็นก่อน”


“ครับ”ผมรับคำสั้นๆ ก่อนจะเหลือบตามองปฏิทินที่อยู่ข้างๆ เฮ้อ…วันนี้วันที่10แล้ว ผ่านมาแล้วสามวัน นี่ผมยังหาทางกลับไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าป่านนี้โลกทางโน้นจะเป็นยังไงบ้าง มาคิดๆดูแล้ววันนั้นผมก็ไม่น่าพูดอะไรอย่างนั้นออกไปเลย ไม่อย่างนั้นเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้ เฮ้อ….ผมนี่มันบ้าจริงๆเลย


เมี๊ยวววว


เจ้าออบตินครางหาผมพร้อมกับถูหัวกลมๆของมันกับสีข้างของผม


“นายก็กำลังว่าฉันว่าบ้าอยู่ใช่มั้ย ออบติน”


เมี๊ยวววว


“เฮ้ออออ….ฉันจะทำยังไงต่อไปดี ออบติน”ผมหันไปถามมันก่อนจะอุ้มมันมาวางไว้บนหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก


เมี๊ยววววว~


“นั่นไม่ได้ช่วยฉันเลย ออบติน”



-----------------------------------------------------------




  หลังจากนั้นผมก็กินข้าวเย็นกับคุณป้า และเจ้าออบตินที่นั่งกินอาหารของตัวเองอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆผม เลยสนใจแต่จานอาหารของตัวเอง จนกระทั่งเรากินเสร็จแล้วล้างจานเรียบร้อยแล้วนั้นแหละ บทสนทนาถึงได้เริ่มดังขึ้น



“ชานยอล หลานฝึกพลังอะไรนั่นได้เก่งรึยัง”ผมเลิกคิ้วงงที่จู่ๆคุณป้าก็ถาม


“ทำไมหรอครับ คุณป้า มัน…เกี่ยวอะไรกับหาทางกลับไปที่นั่นหรอครับ”


“ก็แล้วทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ! นึกดูสิว่าหลานหายไปตั้งหลายวัน แถมดูท่ามันจะไม่มีกำหนดด้วยว่าเมื่อไรจะได้กลับโลกนั้นอีก การฝึกพลังอะไรนั่นต้องหยุดชะงัก แต่เวลากลับเดินต่อไปเรื่อยๆ และเท่าที่ป้าฟังที่หลานเล่า คนที่นั่นไม่ได้มีเวลามากพอจะรอให้หลานมานั่งฝึกตัวเองได้หรอกนะ!!!”


“….จะ จะ จริงด้วย…”ผมตอบอย่างหนักใจ จริงอย่างที่คุณป้าว่า ตั้งแต่กลับมานี่ผมไม่ได้ฝึกอะไรเลย เพราะไม่มีใครคอยสอน ถ้ากลับไปที่นั่นได้ ทุกอย่างก็จะต้องช้าออกไปอีก ซึ่งตอนนี้ไม่มีเวลาให้คอยแล้ว แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดีล่ะ…


“ตอบแบบนี้แสดงว่าหลานยังไม่เก่งเลยสินะ กะแล้วเชียว!”คุณป้าพูดเสียงดังจนเจ้าออบตินตกใจกลัววิ่งมาหลบหลังผม


“ก็ ก็มัน…โหย คุณป้า ก็คอสเรียนมันเร่งด่วน ผมก็เลย…ได้เท่านี้ล่ะ”


“หลานควบคุมอะไรได้บ้าง”


“ธาตุไม้กับไฟครับ แต่เอาจริงๆแล้วผมว่าผมก็ยังควบคุมได้ไม่เก่งเท่าไรหรอก”ผมตอบเสียงค่อย คุณป้าถอนหายใจก่อนจะตอบ


“ระหว่างที่ติดอยู่ที่นี่หลานก็คงต้องพยายามฝึกควบคุมไอ้พลังพวกนี้ไปด้วย ไม่งั้นล่ะ ไม่ทันการณ์แน่ๆ!”


“แต่ผม….”


“หลานต้องฝึกเอง”


“ผม….ผมเนี่ยนะ”ผมถามเสียงหลง หน้าอย่างผมเนี่ยนะจะฝึกเอง ลำพังมีครูสอนยังไม่ได้เรื่อง ประสาอะไรกับฝึกเองล่ะ!!!


“ใช่น่ะสิ! อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย!”


“แต่ผม…”


“ชานยอล ป้าไม่ได้สอนให้หลานเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้นะ ตราบใดที่หลานยังไม่เชื่อว่าหลานทำได้ ใครที่ไหนมันจะเชื่อในตัวหลาน”ผมชะงักไปกับคำพูดของคุณป้า….


“ผม…”


“เอาล่ะ คืนนี้ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เราค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน แต่ต่อไปนี้ หลานคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้วกัน เพราะต้องหาทางกลับแล้วยังต้องฝึกอีก”


“คะ…ครับ”


“ราตรีสวัสดิ์ชานยอล”คุณป้าพูดพร้อมกับไฟที่ปิดลง ผมได้แต่นั่งแช่อยู่ที่โซฟาพร้อมกับเจ้าออบตินที่นอนหลับอยู่ข้างๆอยู่อย่างนั้นสักพักอย่างคิดไม่ตก


“เราจะต้องฝึกเองงั้นหรอเนี่ย เฮ้อ….ฝึกยังไงกันล่ะเนี่ย”


------------------------------------------------------


วันต่อมาผมตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะนอนไม่หลับ จะหลับลงได้ยังไงล่ะ ในเมื่อผมมีเรื่องให้เครียดพร้อมกันตั้งสองเรื่อง แถมยังเป็นเรื่องที่แทบจะหาทางออกไม่ได้เลยอีกด้วย ผมนอนจมอยู่กับเตียงนอนมองดูเพดานอยู่สักพัก ก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำ ภาพในกระจกห้องน้ำสะท้อนภาพเด็กผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง หน้าตาไม่ได้ดูเหมือนพวกหัวกะทิในห้อง หรือดูเหมือนหลานไอสไตล์เลยสักนิด ไม่มีอะไรสักอย่างที่บอกว่าผมโดดเด่นหรือดีกว่าคนอื่น นอกจากหูกางๆ กับตาโปนๆนั่น


“เฮ้อ นี่เราเป็นผู้พิทักษ์จริงๆหรอ เราทำได้จริงๆหรอ”ผมถามตัวเองในกระจก คนในนั้นมองผมกลับด้วยหน้าที่ดูเคร่งเครียดแต่ไม่ตอบอะไร


“นายจะทำได้จริงหรอชานยอล นายจะได้กลับไปที่นั่นและเป็นผู้พิทักษ์ที่ดีจริงๆหรอ”คนในนั้นมองผมกลับแต่ไม่ตอบอะไรอย่างเดิม ผมมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะวักน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วอาบน้ำให้สะอาด จากนั้นก็เดินไปดูตั้งหนังสือข้างหัวเตียง เอาล่ะ ถึงเวลาต้องเริ่มฝึกด้วยตัวเองแล้ว


  ในตู้หนังสือมีหนังสือหลายเล่มให้ผมอ่าน แต่ที่แน่ๆไม่มีสักเล่มที่มีสาระ หนังสือส่วนใหญ่เป็นพวกการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ก็หนังสือดนตรีไรแบบนี้ซะมากกว่า ผมล่ะนึกอยากให้เมื่อก่อนตัวเองสนใจพวกวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่านี้จังเลย จะได้ไม่มาลำบากตอนนี้


เมี๊ยวววว


เจ้าออบตินร้องเหมียวแล้วกระโดดขึ้นมานั่งบนตักผมพร้อมกับมองไปที่กองหนังสือข้างหน้า


“โทษที ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาเล่นกับนายนะ ไว้ก่อนละกันนะ ออบติน”ผมบอกเจ้าแมวก่อนจะอุ้มมันออกจากตักแล้วเดินไปค้นหนังสือเรียนของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่พบ ขณะนั้นเองที่ผมกำลังจะเดินออกไป จู่ๆเจ้าออบตินก็กระโดดเข้าไปในกองหนังสือ มันตะกุยอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมของชั้น


“มีอะไรน่ะ”มันไม่ได้สนใจที่ผมถาม แต่ยิ่งตะกุยหนักขึ้น ก่อนที่มันจะตะปบเอาแมลงสาปตัวหนึ่งออกมา แต่จังหวะที่มันกระโจนออกมาจากชั้น กองหนังสือก็ล้มลงมาทั้งหมด แถมบางเล่มก็ตกใส่ตัวผมซะด้วย


“นายมันซุ่มซ่ามจริงๆเลย!”ผมตะโกนว่ามัน ก่อนจะเดินฉุนเฉียวไปเก็บหนังสือจัดใส่ชั้นเหมือนเดิม แต่แล้วตาของผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างหลังชั้นหนังสือ ผมล้วงมือไปหยิบมันออกมา หนังสือหน้าปกสีแดงขนาดที่เอาไปหนุนหัวนอนได้สบายๆอยู่ตรงหน้าผม มันเก่าซะจนสีกระดาษข้างในกลายเป็นสีเหลืองและมีกลิ่นอับแบบหนังสือเก่าๆ ข้างในถูกเขียนด้วยภาษาอังกฤษตัวหวัดๆที่อ่านยากยิ่งกว่าลายมือผมตอนเด็ก หน้าบางหน้าถูกฉีกทิ้งไป แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเหลือไว้อยู่ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับธาตุต่างๆ


“ถ้านอร์แลนด์มาเห็นล่ะต้องชอบแน่”ผมพูดถึงอาจารย์โรงเรียนเก่าที่เป็นโรคคลั่งเรื่องธาตุทั้งหลาย ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือ



    หนังสือพูดถึงธาตุทุกธาตุในโลก แต่แปลกที่ธาตุตัวใหม่ๆที่ผมจำได้ว่าเพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นานกลับมาอยู่ในหนังสือเล่มที่อายุน่าจะแก่กว่าป้าผมได้ แต่ผมก็หาคำตอบให้กับคำถามนั้นไม่ได้อยู่ดี ผมพลิกไปที่หน้าของออกซิเจน หลังจากกวาดตาดูเนื้อหาก็เดาได้เลยว่านี่มันหนังสือระดับศาสตราจารย์ชัดๆ เพราะความละเอียดของเนื้อหายังลงลึกไปถึงสูตรโครงสร้าง สถานะ การทำปฏิกิริยากับธาตุและสารทุกสารในโลก และที่สำคัญเหมือนมันจะมีวิธีควบคุมธาตุด้วย…


“มันไม่ใช่ของโลกนี้แน่”ผมพึมพำ แต่ก็เหมือนเดิม ผมไม่ได้หาคำตอบให้ตัวเอง แต่ลองทำตามที่ในหนังสือบอกแทน


            บทเรียนแรก การควบคุมออกซิเจนในอากาศ  มีสองหัวข้อย่อยคือการเพิ่มและลด (นี่อย่าบอกนะว่าให้เรียนพร้อมกัน)ปริมาณออกซิเจน ในหนังสือบอกว่าจะต้องเรียนสองอย่างนี้ควบคู่กันไป นั่นไง ให้มันได้อย่างนี้สิ! จากนั้นหนังสือก็สอนวิธีการควบคุมออกซิเจนให้ลดลง เพราะต้องใช้การควบคุมนี้ในการเพิ่มออกซิเจนด้วย
 


          อย่างแรกที่ต้องเรียนคือการลดปริมาณออกซิเจน  โดยเริ่มจากตั้งสมาธิให้ดี และทำใจให้ผ่อนคลาย  จากนั้นก็เพ่งสมาธิพุ่งความสนใจไปที่อากาศรอบๆตัวเอง แล้วให้ผมจินตนาการถึงภาชนะโปร่งใส่ครอบตัวตัวเอง และเปล่งวาจาศักดิ์สิทธิว่า ‘เดลโอเซ่’ ทันทีที่สั่งภาชนะโปร่งใส(ที่จะเห็นได้แค่ผู้สั่ง)จะขังผมอยู่ข้างใน แล้วปิดกั้นการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนระหว่างในภาชนะกับภายนอก ทำให้ผมขาดอากาศหายใจไปโดยอัตโนมัติ


“งี้ก็แย่สิ!!!”ผมร้องเสียงหลงก่อนจะรีบอ่านข้อความข้างล่างต่อเผื่อว่ามันจะมีวิธีแก้ด้วย


 เมื่อเริ่มรู้สึกทรมานให้พูดคำสั่งสิทธิ์ออกมาว่า ‘โอซีลอน’ จากนั้นทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่ทังนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของตัวของผู้สั่งเองด้วย


“อ้าว! นี่หมายความว่าถ้าไม่เชื่อมนตร์ก็จะไม่เกิดผลหรอ แล้วอย่างนี้เกิดสั่งคลายมนตร์ไม่ได้ก็ซวยดิ!”ผมร้องโวยวายก่อนจะเริ่มไล่อ่านทุกอย่างอย่างละเอียดอีกครั้ง เผื่อว่ามันจะอะไรที่ผมอ่านตกหล่นไป มันจะเป็นไปได้หรอการสอนคนแบบไม่มีการป้องกันการทดลองที่ผิดพลาดให้เนี่ย นี่มันเข้าข่ายอาชญากรรมเลยนะ ผมไล่อ่านไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะพบว่า…มันไม่มีวิธีป้องกันเลยสักวิธีเดียว!


“เฮ้อ สงสัยคราวนี้คงต้องเชื่อว่าตัวเองทำได้อย่างเดียวซะละมั้ง”ผมบอกก่อนจะเบ้ปาก จากนั้นก็คว้ากระดาษมาเขียนจดหมายลาตายให้คุณป้า เพราะเผลอๆนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่ผมได้มีชีวิตอยู่ โถ่ น่าสงสารจังชีวิตปาร์คชานยอล ยังไม่ทันจะแต่งงานก็ต้องมาตายซะละ ไม่น่าเล้ย



 ผมเตรียมใจอยู่สักพัก ก่อนจะหลับตาลง แล้วสูดหายใจลึกเรียกกำลังใจ(ที่มีอยู่น้อยนิด)ของตัวเองเป็นพลังในการฝึกครั้งนี้ก่อนจะเริ่มตั้งสมาธิ จินตนาการถึงภาชนะทรงสี่เหลี่ยมที่ฉลุลายสวยๆ ออกแนววินเทจหน่อยๆเหมือนที่เห็นตามวังในลอนดอนมาครอบตัวเองเอาไว้ พร้อมกับหลับตาพูดคำศักดิ์สิทธิ์นั่นออกมาดังๆ


“เดลโอโล!!!”เกิดเสียงดังพรึ่บขึ้นในความเงียบ ผมรีบลืมตาขึ้นก่อนจะต้องตะลึงกับภาพที่เห็น ….นะ…นะ…นี่มันไม่ใช่ที่อยากได้นี่!!! กะละมังโปร่งใสขนาดมหึมากำลังครอบตัวผมอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะมองมุมไหนนี่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าใกล้เคียงกับที่คิดไว้เลยสักนิด!!!


“ไหนล่ะกล่องหรูๆ!”ผมโวยวายก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้น ในขณะที่มองไอ้กะละมังยักษ์นี่ไปด้วย โหยยย ไหนล่ะความหรู ไหนล่ะความสวย ไหนล่ะความเท่ห์ ไม่เห็นจะมีสักกะอย่างเลย!!!  อยากจะบ้าตาย!


  ผมนั่งเซ็งอยู่ในกะละมังยักษ์นั่นต่อไป โดยภาวนาให้ขาดใจตายเร็วๆ เพราะจะได้ไม่ต้องเห็นความกากในความสามารถของตัวเองที่แค่จะเสกภาชนะยังเสกได้แค่กะละมัง! แต่นั่งไปได้ราวๆสิบนาทีผมก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าตัวเองจะหายใจไม่ออกตรงไหน แถมยังเริ่มรู้สึกเย็นๆเหมือนมีลมอะไรมาพัดอยู่ข้างหลังอีกต่างหาก นี่ถ้าในนี่ถูกจำกัดออกซิเจนแล้วทำไมผมยังไม่ขาดอากาศ แถมทำไมยังมีลมเย็นๆในนี้อีกล่ะ หรือว่าจะ…


“กะละมังรั่ว!”ผมร้องเสียงดังก่อนจะหันไปตามที่ลมพัดเข้ามา อื้อหือ! ชัดเลย รูรั่วที่กะละมังเท่าหัวผมได้ ลมจากหน้าต่างที่เปิดไว้พัดเข้ามาในกะละมังของผมเป็นระลอกๆ ก่อนที่ไอ้วัตถุสีใสนี่จะสั่นเป็นระยะๆ อย่าบอกนะว่ามันอีกไม่นานมันจะแตกน่ะ…


โพล๊ะ!

นั่นไง! อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด! กะละมังขนาดยักษ์ของผมแตกดังโพล๊ะก่อนที่ลมจากหน้าต่างจะเข้าปะทะกับผมเต็มๆ


“โหย ทำไมทำไม่ได้เล่า!”ผมโวยวายก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วเริ่มทำทุกอย่างใหม่อีกรอบ โดยคราวนี้ผมตั้งใจเลยว่ามันต้องทำได้ และต้องไม่ออกมากากอย่างตอนแรกด้วย!!!



    ผมตั้งสมาธิใหม่ จินตนาการถึงกล่องสี่เหลี่ยม(ลดความยากลงมาหน่อย)ก่อนจะพูดคำศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างเหมือนเทปที่ถูกกรอใหม่ เสียงพรึ่บดังขึ้นอีกครั้ง ผมลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะพบว่าเจอเข้ากลับกะละมังไซส์ใหญ่กว่าเดิมแทน!


“เยี่ยม!”ผมบ่นก่อนจะนั่งหน้าบูด แล้วเริ่มมองหารอยรั่วในกะละมัง และโชคดีที่ครั้งนี้! มันไม่มี แต่กะละมังของผมก็ยังคงเปราะบางเพราะพอลมพัดเข้ามามันก็เอนไปตามแรงลมเหมือนฟองสบู่ที่ใกล้จะแตก แต่สุดท้ายก็ยื้อสังขารตัวเองมาได้จนถึงตอนที่ผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมขาดอากาศหายใจ ความรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในน้ำ  สัญชาตญาณสั่งให้รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมรีบนึกถึงคำสั่งคลายมนตร์สะกด แต่ด้วยความที่กำลังลนลานทำให้ทุกอย่างดูสับสนไปหมด  ผมเค้นสมองนึกถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือแทบตาย แต่ก็คิดไม่ออก แต่ในจังหวะนั้นเองจู่ๆคำหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของผม


“โอซีลอน!”ผมพูดศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยมนตร์กักขังออก ก่อนที่กะละมังบ้าๆนั่นจะสลายหายไป แล้วผมที่ค่อยๆกลับมาหายใจได้อีกครั้ง


“แฮ่ก แฮ่ก”ผมหอบหายใจหนัก แทบจะกอบโกยเอาออกซิเจนทุกอย่างในอากาศเข้าไป ก่อนจะล้มตัวนอนแผ่บนพื้นห้อง โดยมีเจ้าออบตินมาลอเคลียอยู่ข้างๆ


“สำเร็จไปหนึ่งแล้วนะ เจ้านายของนายนี่เก่งจริงๆ”ผมยอตัวเองก่อนจะพักหายใจให้หายเหนื่อย แล้วพุ่งเข้าไปหาหนังสือเพื่อจะฝึกขั้นต่อไป ก็งี้ล่ะนะ พอทำได้ คนมันก็มีไฟอยากจะทำต่อ


“มาฝึกขั้นต่อไปกันดีกว่า”ผมพูดกับตัวเองก่อนจะพลิกหน้าหนังสือ ต่อไปเป็นการเพิ่มออกซิเจน ในหนังสือบอกว่าวิธีจะคล้ายกับการลดออกซิเจนแต่แตกต่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะผมต้องทำตามขั้นตอนการลดปริมาณออกซิเจน แต่จะไม่คลายมนตร์กักขังออกเมื่อรู้สึกหายใจไม่ออก แต่จะให้อยู่ในนั้นต่อไปแล้วจินตนาการถึงออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นมา จากนั้นก็พูดวาจาศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘อินคีเซ’แล้วออกซิเจนก็จะเพิ่มขึ้น ผมก็จะกลับมาหายใจได้ตามปกติอีกครั้ง


“ของกล้วยๆ”ผมบอกก่อนจะจินตนาการถึงภาชนะโปร่งใสอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมขอแค่กล่องใสๆธรรมดาก็พอ ก่อนจะพูดคำศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่ผลที่ออกมานั้น……..แย่ยิ่งกว่าเดิมซะอีก!!!


เพราะจากกล่องมันกลายเป็นกะละมังอีกรอบ แต่มันไม่จบแค่นั้น! เมื่อปากกะละมังแต่ละด้านค่อยๆบีบเข้าหากันจนรวมกันเป็นทรงกลมห่อหุ้มผมเอาไว้ ทำให้ผมเหมือนติดอยู่ในฟองอากาศขนาดยักษ์!



“วะ วะ โว้ววว นี่มันไม่ตลกเลยนะ”ผมร้องเมื่อฟองอากาศกำลังลอยขึ้นไปติดอยู่บนเพดาน แต่ผมก็บังคับให้มันกลับไปที่พื้นไม่ได้ แถมตอนนี้อากาศก็ค่อยๆลดลงแล้วด้วย ผมไม่มีเวลามาหาทางลงไปแล้ว



 ผมติดอยู่ในฟองอากาศอยู่สักพักจนเริ่มหายใจไม่ออก ทันทีที่รู้สึกผมก็จินตนาการถึงออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นแล้วพูดคำศักดิ์สิทธิ์ออกมาดังๆเพราะเริ่มอยากจะลงไปนั่งข้างล่างแล้ว


“อินคาโซ!”เอิ่มมม…..ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมผมยังหายใจไม่ออกอยู่ล่ะ!!!


“อินคีโซ!!!”ผมพูดคำศักดิ์สิทธิ์อีกรอบแต่ก็ให้ผลเหมือนเดิม ก็พูดถูกแล้วแล้วทำไมไม่ได้เล่า หรือว่าผมพูดผิด อินคี อินคี อินคีอะไรนะ คีโซ ไม่ไม่ใช่ คีอา ไม่ !! คีโอ ก็ไม่! คี คี คี คีเซ! ต้องใช่คำนี้แน่!


“อินคีเซ!”ฉับพลันนั้นอากาศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนดันให้ฟองอากาศแตกดังโพล๊ะ ผมร่วงลงมาตกบนพื้นดังตุ๊บจนเจ้าออบตินวิ่งหนีไปหลบอยู่ใต้เตียง


“โอ๊ยยย ไอ้ฟองบ้า! จะแตกทำไมเนี่ย”ผมบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะลูบก้นตัวเองป้อยๆ แล้วคลานขึ้นไปนั่งที่เตียง พลางยิ้มให้กับตัวเองเมื่อผมทำทุกอย่างได้สำเร็จ


“ในที่สุดก็สำเร็จ!”



---------------------------------------------------------


 ภายในห้องสี่เหลี่ยมเก่าๆห้องหนึ่ง แสงไฟจากเตาผิงทำให้เห็นกลุ่มชายหนุ่มสามคนที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ซอมซ่อตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางห้อง คนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกำลังก้มมองไปที่น้ำสีประหลาดในอ่างตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น ในขณะที่ชายหนุ่มผิวสีแทนจะมองใบหน้าเขาด้วยความหวัง ส่วนคนสุดท้ายกลับมองด้วยสายตาเรียบเฉยไม่แฝงอารมณ์ใดๆ

“ขอให้วิธีนี้สำเร็จด้วยเถอะ ขอให้ไอ้ลูกไฟนั่นได้หนังสือเล่มนั้น แล้วก็อ่านมันออกด้วยเถอะ”ชายหนุ่มร่างเล็กภาวนาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและกังวลเมื่อนึกถึงหนังสือเล่มนั้นที่ทั่วทั้งเลอร์วันน่าไม่มีใครอ่านมันออก เพราะมันถูกเขียนด้วยภาษาโบราณชั้นสูง....ที่จะมีก็แต่ผู้ที่ถูกเลือกแล้วเท่านั้น ที่จะได้อ่านมัน


“ใช้วิธีนี้ดีแล้วหรอ”ชายคนนั้นพูดขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง


“มันมีวิธีอื่นให้ลองมั้ยล่ะ เซฮุน”คนร่างเล็กตอบ


“แค่พูดตามความเป็นไปได้ คริสจะรู้ทันพวกเรา ส่วนเวทมนตร์ที่พี่ใช้ก็อาจไม่ได้ผล ทุกอย่างจะเสียเปล่า”คนถูกว่าเม้มปากแน่น แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นอยู่บ้าง


“มันไม่มีวิธีอื่นแล้วเซฮุน นายก็เห็นว่าเมื่อกี้พี่ลู่หานส่งหนังสือให้หายไปได้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะไปโผล่ที่บ้านพี่ชานยอลก็ได้”คนผิวสีแทนพูดขึ้น


“จะมั่นใจได้ไงว่าจะส่งไปถึงที่นั่นจริง น้ำนั่นไม่ใช่ระบบขนส่งไปรษณีย์นะที่แค่ใส่ที่อยู่กับของไป แล้วมันจะโผล่ไปถึงคนรับน่ะ แถมคุณสมบัติการสะท้อนของมันก็ไม่เหมือนโลหะด้วย  จะย้ายของทีก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ซะเมื่อไร”เซฮุนพูดให้เห็นถึงจุดบกพร่องของวิธีนี้ ที่ลู่หานใช้วิธีขโมยที่อยู่บ้านของชานยอลมาจากคริส ผู้พิทักษ์เพียงคนเดียวที่ก้าวผ่านโลกทั้งสองได้ และเป็นคนเดียวที่รู้ที่อยู่ของชานยอล  จากนั้นพวกเขาก็ลักลอบเอาหนังสือต้องห้ามของเมอร์ทีโก้ออกมา แล้วทำการย้ายสิ่งของโดยผ่านน้ำ โดยกระบวนการนั้นคือต้องรอให้น้ำนิ่งสนิท ใส่ที่อยู่และสิ่งของลงไป แต่เพราะน้ำไม่ได้สะท้อนและคงที่อย่างธาตุโลหะ ทำให้วิธีนี้ไม่อาจรับรองผลได้ อีกทั้งการย้ายของไปยังอีกโลกหนึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากมากที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อีกด้วย


“หรือนายมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ล่ะ”ลู่หานหันไปถามเซฮุนอย่างไม่สบอารมณ์ อีกฝ่ายยักไหล่ก่อนจะตอบ


“ทางที่ดีเราควรไปคุยกับพี่คริสมากกว่า ยังไงซะพี่เขาก็ทำอะไรได้มากกว่าพวกเรา”


“นายก็เห็นว่าหมอนั้นเป็นคนพาชานยอลกลับไป!!!”


“ผมรู้ แต่มันไม่มีวิธีอื่น”เซฮุนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งๆที่อีกคนกำลังจะเดือดปุดๆอยู่แล้ว


“ก็เพราะว่าคริสทำอย่างนั้นไง เราถึงไม่มีวิธีอื่นแล้ว!”


“ผมว่าพวกเราควรเงียบเสียงกันก่อนนะ ถึงที่นี่จะอยู่ห่างจากวัง แต่ก็ใช่ว่าพี่คริสจะตามหาเราไม่เจอนะ!”ไคพูดขัด ก่อนที่ลู่หานจะค่อยๆสงบสติ แล้วค่อยๆพูดต่อ


“เมื่อกี้นายว่าให้ไปหาคริสใช่มั้ย”


“ใช่”


“แล้วถ้ามันไม่สำเร็จล่ะ”เซฮุนนิ่งเงียบไป ก่อนจะตอบด้วยท่าทางมั่นใจ


“เราก็คงต้องหาทางไปที่นั่นกันเอง”


“นายคิดว่าฉันจะยอมหรอ”จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังของพวกเขา


“พี่คริส…”ไคเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงค่อย ปกติคริสไม่ใช่คนน่ากลัว เว้นเสียแต่ตอนที่กำลังโมโห แล้วตอนนี้เขาก็กำลังเป็นอย่างนั้นเสียด้วย คนเด็กกว่ามองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆในขณะที่คนถูกมองมองกลับมาด้วยสายตาราบเรียบแต่คุกรุ่นด้วยอารมณ์


“มีอะไรจะอธิบายมั้ย ทั้งแอบทำผิดกฎ ทั้งขโมยหนังสือต้องห้าม ทั้งปิดบังฉัน”


“เอ่อ…คือ”


“ไม่มี!”ลู่หานพูดเสียงแข็ง ถึงดวงตาคู่นั้นจะสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสืออยู่


“พวกเราจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้นเพราะเราไม่ได้ทำผิด ชานยอลต้องกลับมาที่นี่ เพราะเขาเป็นคนสำคัญของที่นี่!!!”


“แล้วยังไง   คนที่ไม่รู้ความสำคัญของตัวเอง ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ต่อให้กลับมาทุกอย่างมันก็เท่านั้น”


“นายบ้าไปแล้วหรอ คริส ทุกคนกำลังแย่! สมาพันธ์กำลังเคลื่อนไหว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกมันหาทางไปโลกนู้นได้! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าชานยอลถูกหลอกใช้ ห๊า!!!”


“ถ้าเขาเป็นคนดีจริง เรื่องแค่นี้เขาจะถูกหลอกได้ยังไง ผู้พิทักษ์ที่เชื่อคนง่ายฉันไม่ต้องการหรอกนะ!!!”


“พี่จะไม่พาชานยอลกลับมางั้นหรอครับ”เซฮุนเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ ถ้าจะมีใครที่นิ่งพอจะสู้กับอารมณ์โกรธของคริสได้ ก็คงจะเป็นเขา


“ใช่”ทุกคนนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังคำตอบที่หนักแน่นของคริส ก่อนที่เซฮุนจะพูดขึ้นทำลายความเงียบ


“งั้นผมจะจัดการเอง”เขาพูดขึ้นก่อนจะหุนหันเดินออกไป


“ถ้านายก้าวต่อแม้อีกก้าวเดียว ฉันไม่ไว้แน่”


“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ยอม เราทุกคนต้องการชานยอล ถ้าไม่มีเขาทุกอย่างก็จบ พี่เองก็รู้เรื่องนั้นดี แต่พี่กลับมัวแต่โกรธเกลียดเขา ทั้งๆที่ไม่ให้โอกาสในการแก้ตัวกับเขาเลย สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาทำทุกอย่างมันมีเหตุผลเสมอ แต่พี่กลับไม่คิดจะถามเขาก่อนเลย ทำไมพี่ไม่อธิบาย ทำให้เขาเข้าใจพวกเราแทนที่จะผลักไสเขากลับไปล่ะ สุดท้ายคนที่เห็นแก่ตัวน่าจะเป็นพี่มากกว่าเขานะ พี่ทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ความโกรธของตัวเอง บอกตรงๆเลยว่าตอนนี้ผมไม่ศรัทธาในตัวพี่เลยสักนิดเดียว”


“เซฮุน”


“ผมไม่สนใจหรอกว่าพี่จะคิดยังไง และไม่สนด้วยว่าสิ่งที่ผมทำจะเป็นการผิดกฎ  เพราะอย่างเดียวที่ผมสนคือเลอร์วันน่าเท่านั้น”เซฮุนพูดก่อนที่พื้นดินจะพังทลายลงพร้อมกับเซฮุนที่หายไป เหลือไว้แต่ลู่หาน ไค และคริสที่ยืนนิ่งมองไปยังที่ที่เซฮุนเคยยืนอยู่


“ครั้งนี้ผมเห็นด้วยกับเซฮุน เราทุกคนต้องการพี่ชานยอล”ไคพูดขึ้นทำลายความเงียบก่อนที่เขาจะหายไปอีกคน แล้วตามมาด้วยลู่หานที่มองคริสด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะจากไป ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางห้องที่ไร้ผู้คนอยู่คนเดียว คำพูดของเซฮุนยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท


“ฉันคือคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดงั้นหรอ”คำถามที่ไร้คำตอบถูกเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะถูกความเงียบกลืนกินไป คริสเปรยตาไปมองอ่างน้ำวิเศษนั้นก่อนจะค่อยๆเรือนรางหายไป โดยทิ้งคำพูดให้สะท้อนก้องอยู่ภายในห้อง


“นายมันตัวปัญหาจริงๆ ชานยอล”



-------------------------------------------------------------------



“พวกผู้พิทักษ์แตกคอกันเองงั้นหรอ”เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดภายในห้องห้องหนึ่งของคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในที่แสนห่างไกล


“ครับ นายท่าน”ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องตอบรับ

“หึ ช่างน่าสมเพช ศัตรูภายนอกยังต้องต่อสู้ ภายในยังมาแตกคอกันเองอย่างนี้อีก แล้วมันจะไปชนะได้อย่างไร โง่เขลาสิ้นดี”เสียงนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันระคนสมเพชดูถูก ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามต่อ


“แผนของเราไปถึงไหนแล้ว”


“คืบหน้ามากแล้วครับ แต่…ท่านครับในเมื่อท่านชานยอลกลับมาที่นี่ไม่ได้ แล้วแผนที่เราวางไว้….จะไม่เป็นอันต้องล้มกันหรอครับ”ชายผู้น้อยถามด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เห็นได้ชัดว่ามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่มากในน้ำเสียง


“ไม่หรอก ข้ามั่นใจทีเดียวว่าคริสจะต้องพาเขากลับมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”


“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการดีกับเราสินะครับ”


“ใช่ และทันทีที่เขามาถึงแผนขั้นที่หนึ่งของเราก็จะเริ่มต้นขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้นเราก็คงจะได้ดูอะไรสนุกๆกัน”เขาพูดก่อนจะแย้มยิ้มเย็นยีเยียบที่ชวนขนหัวลุกออกมา


“นั่นน่ะสิครับ มันจะต้องสนุกมากแน่ๆ”


“ใช่ เจ้าจงไปตามสืบความเคลื่อนไหวของมันต่อ ทันทีที่มันมาถึงให้รีบมาแจ้งข้า”


“ครับ นายท่าน”ชายผู้น้อยกล่าวลา ก่อนจะโค้งศีรษะทำความเคารพแล้วเดินออกไปจากห้อง ทำให้ทั้งห้องถูกครอบคลุมด้วยความเงียบสงัดอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่ทำให้มันน่าพรั่นพรึงและวังเวงกลับไม่ใช่ความเงียบนี้แต่เป็นบรรยากาศชวนขนหัวลุกที่แผ่ออกมาจากเงามืดตรงมุมห้องต่างหาก


“หึหึ อีกไม่นานแล้วชานยอล อีกไม่นานแล้วที่เราจะได้เจอกัน”

http://0ctogus.forumth.com

25 elements part9 Empty Re: 5 elements part9 Wed Jan 29, 2014 10:30 pm

wappa



แอบสงสัยจัง น้องเหมียวออบติน เป็นสปายของพี่คริสป่ะเหอะ Question Question 

35 elements part9 Empty Re: 5 elements part9 Fri Jul 11, 2014 7:40 pm

ky_palm



พี่คริสยกโทษให้น้องเถอะ ㅠㅠ

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ