0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

5 elements part10

2 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

15 elements part10 Empty 5 elements part10 Sat Jan 18, 2014 7:23 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

เช้าวันต่อมาผมตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่ใช่เพราะนอนไม่หลับ แต่เพราะผมตื่นเต้นที่จะได้ลองฝึกในขั้นต่อๆไปต่างหาก ผมคว้าหนังสือปริศนาเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนจะต้องหงุดหงิดให้กับความเอ๋อของตัวเองที่ดันลืมคั่นหน้าไว้ สุดท้ายเลยต้องมานั่งไล่เปิดหาหน้าที่อ่านเมื่อวานในจำนวนกระดาษพันกว่าแผ่น จากที่ผ่านตาผมดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรมากกว่าที่ผมคิด หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีแค่การสอนควบคุมธาตุโลหะ อโลหะ หรือกึ่งโลหะ แต่ความจริงแล้วมันมีทุกธาตุ! ทั้งไฟ น้ำ ไม้ แล้วก็ดิน แต่ละธาตุตัวหนังสือที่เขียนจะมีสีต่างกันไป ธาตุไฟสีแดง น้ำสีน้ำเงิน ไม้สีเขียว ดินสีน้ำตาล และโลหะสีเงิน แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจคือที่แถวๆท้ายเล่ม กลับมีอีกหัวข้อหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘เวทมนตร์ต้องห้าม’


“นี่มีเวทต้องห้ามด้วยหรอเนี่ย”ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปอ่านข้อความที่บรรยายอยู่ใต้หัวข้อด้วยลายมือหวัดๆ “สารลับจะเผยตัว สู่หนึ่งเดียวผู้พิชิต เบญจธาตุแห่งโลกา”ผมถึงกับขมวดคิ้วทันที ก่อนจะเปิดหน้าหนังสือถัดไป แต่หน้านั้นกลับว่างเปล่า เป็นแค่กระดาษสีเหลืองซีด และเหม็นราธรรมดาๆ ที่ไม่มีตัวหนังสือเขียนอยู่เลยสักกะตัวเดียว


“นี่ล้อกันเล่นป่ะเนี่ย”มันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ หนังสือที่มีหน้าเปล่าๆเกือบร้อยหน้าเนี่ยนะ แถมทุกหน้าไม่มีรอยหมึกจาง ข้อความหาย หรืออะไรที่บอกเลยว่ามันเคยมีเนื้อหามาก่อน ทุกหน้าเหมือนเป็นกระดาษเปล่าๆมากกว่าจะเป็นหน้าของเนื้อหา นี่คนเขียนคิดจะเล่นตลกอะไรกันนะ


“เอาเปรียบคนซื้อชัดๆ”ผมบ่นก่อนจะเบ้ปากให้หนังสือ แล้วกลับมาสนใจนั่งหาการควบคุมออกซิเจนของผมต่อ สิ่งที่ผมจะต้องเรียนต่อไป คือ…..


“การฝึกควบคุมออกซิเจนให้เพิ่มขึ้นในปฏิกิริยาทั้งหลาย และผลของสิ่งที่เกิดขึ้น  เฮ้ย นี่ยังไม่จบอีกหรอเนี่ย เรียนไรกันเยอะแยะ!”ผมบ่นอย่างเซ็งๆ ก่อนจะล้มตัวนอนแผ่แล้วยกหนังสือปิดหน้า  ความรู้สึกเหมือนตอนที่อาจารย์บอกจะสอนจบถึงแค่บทนี้ แต่เอาเขาจริงแล้วดันมีแถมต่ออีกหน่อยนึง โหย นึกว่าจะได้ไปเรียนอย่างอื่นแล้ว นี่ยังต้องมาจมอยู่กับการเพิ่มออกซิเจนอยู่อีก แล้วไอ้ผมก็ใช่คนรักวิทยาศาสตร์หนักหนา ไอ้หน้าหนังสือเมื่อกี้น่ะ สมการเคมงเคมีเต็มไปหมดเลย  จะรอดมั้ยวะเนี่ย ปาร์คชานยอล


“น่าเบื่อชะมัด”ผมบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะยกหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างไม่เต็มใจ แล้วเปิดดูว่าที่ต้องฝึกมีอยู่เท่าไร และทันทีที่เห็น ผมก็รู้สึกอยากจะตายคาหนังสือมันซะเดี๋ยวนี้เลย ก็เล่นมีอีกเยอะมาก ชนิดที่ว่าฝึกเสร็จเมื่อไรไปเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านออกซิเจนได้เลยล่ะ


“แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะฝึกจบ ไม่อีกชาติกว่าหรอเนี่ย”ผมเบ้ปากไม่สบอารมณ์ หงุดหงิดที่ทุกอย่างมันช้าไม่ทันใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยันตัวลุกขึ้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ดี



    การฝึกต่อไปที่ผมจะต้องทำก็คือ เรื่องออกซิเจนกับการเกิดปฏิกิริยากับธาตุต่างๆ ในหนังสือบอกว่าถ้าผู้ใช้ออกซิเจนรู้เรื่องนี้ ก็จะทำให้เก่งมากขึ้น แล้วถ้าบวกกับการเพิ่มออกซิเจนของตัวเองได้แล้ว ก็จะเร่งปฏิกิริยาต่างๆให้เกิดขึ้นได้เร็วหรือเยอะขึ้นด้วย โอ่ย ใครจะไปอยากเร่งปฏิกิริยากัน ให้มันเกิดของมันไปตามธรรมชาตินั้นแหละดีแล้ว


  ผมเลื่อนสายตาลงมาอ่านข้อความต่อไป หนังสือบอกว่าออกซิเจนสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆได้เกือบหมด(แน่นอนว่าผมต้องรู้ด้วยว่าทำกับอะไร แล้วได้เป็นอะไร แล้วจะเกิดอะไรขึ้น และอีกบลาๆ)แต่กลุ่มธาตุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนก็คือพวกกลุ่มก๊าซมีตระกูล…….


“อะไรคือกลุ่มก๊าซมีตระกูล…”เอ่อ…หนังสือไม่อธิบายด้วย เอ่อ นี่มันเป็นเรื่องที่ผมต้องรู้อยู่แล้วหรอ เอิ่ม….ไม่รู้อ้ะ!


   ผมกระโดดลงมาจากเตียงก่อนจะวิ่งพล่านหาหนังสือเคมี(ที่ไม่ค่อยจะมี)แล้วก็เปิดโน๊ตบุ๊คนั่งหาว่าไอ้กลุ่มก๊าซมีตระกูลคืออะไร แล้วหลังจากนั้นการอ่านหนังสือของผมก็เริ่มกลายเป็นการวิ่งวนรอบห้อง เริ่มจากอ่านหนังสือเล่มแดงนั้น วิ่งไปเปิดหาคำศัพท์จากในหนังสือเรียน ถ้าไม่มีก็ต้องพุ่งไปที่โน๊ตบุ๊ค เสร็จแล้วก็จดคำอธิบายใส่โพสอิทแล้วแปะลงในหนังสือเล่มแดง เป็นอยู่อย่างนี้จนผมหัวหมุน สุดท้ายได้แต่นอนแผ่จมกองหนังสือและกระดาษอยู่บนเตียง


“ทำไมต้องรู้อะไรเยอะขนาดนี้ด้วยเนี่ย”ผมบ่นเมื่ออ่านจบไปได้สามหน้า(ในเวลาสามชั่วโมงน่ะนะ)ก่อนจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเพื่อระบายความหงุดหงิด ทีแรกก็คิดแค่ว่าแค่ฝึกควบคุมนิดๆหน่อยๆ ไม่คิดว่าต้องมานั่งจำอะไรแบบนี้ด้วย ปวดหัวชะมัดเลย



 ในหนังสือออกซิเจนมีอยู่แทบจะทุกที่บนโลกตั้งแต่ในอากาศ น้ำ สิ่งมีชีวิต มีเยอะมากจนผมแทบจำไม่หมด สุดท้ายก็เลยเน้นเอาหลักๆมาแทน แต่นี่ขนาดคัดมาแล้วนะยังเยอะอยู่เล้ย



“ฮีโมโกลบินที่มีออกซิเจนจับอยู่เรียกว่าออกซี่ฮีโมโกลบิน  ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆบลาบลา”ผมบ่น
ก่อนจะอุ้มเจ้าออบตินขึ้นมาเล่น

เมี๊ยววว


“รู้มั้ยว่าตัวนายมีออกซี่ฮีโมโกลบินอยู่ด้วยนะ ไม่รู้ล่ะสิ อิจฉานายจังเลยที่ไม่ต้องมาอ่านไรพวกนี้”ผมบอกก่อนจะแกล้งคุมออกซิเจนในตัวมัน แล้วบังคับให้มันเต้นไปเต้นมา


“หมุนตัวหนึ่งรอบ!”ผมพูดก่อนจะบังคับมันให้หมุนตัวหนึ่งรอบ


เมี๊ยววว!


“ส่ายก้นสองที เอ้า กระโดดตีลังกา”


“ชานยอล! ไปซื้อของให้ป้าหน่อย”เสียงคุณป้าตะโกนเรียกมาจากชั้นล่าง ผมเลยเผลอปล่อยเจ้าออบตินกลางอากาศ เจ้าเหมียวร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหลบใต้เตียง


“ขอโทษนะเจ้าเหมียว”ผมชะโงกหน้าไปขอโทษมัน ก่อนจะตะโกนตอบคุณป้า


“ครับบบ คุณป้า จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”



  คุณป้านั่งรอผมอยู่ข้างล่างอยู่ก่อนแล้ว ตรงหน้ามีกระดาษโน้ตวางอยู่บนโต๊ะ ดูจากลิสแล้วคงจะใช้ไปซื้อของเยอะน่าดู คราวนี้คงต้องแบกของหนักอีกซะแล้วเรา


“คุณป้าให้ผมไปซื้ออะไรหรอครับ”


“แวะเข้าไปที่จัตุรัสเมืองให้ที ป้าเขียนลิสของที่ต้องซื้อไว้ให้แล้ว ร้านมันอยู่ใกล้ๆกัน หลานใช้เวลาไม่นานหรอก จะได้รีบกลับบ้านมาฝึกต่อได้”


“บางทีได้พักบ้างมันก็ดีนะครับ คุณป้า…”ผมพูดอุบอิบ


“ว่าไงนะ! นี่ คนที่นู่นเขากำลังรอหลานอยู่นะ ไม่มีเวลาให้หลานพักหรอก เอ้า รีบไปซื้อสักที จะได้รีบกลับมา”คุณป้าพูดก่อนจะยื่นกระดาษโน้ตพร้อมเงินมาให้ผม


“ครับบบ ครับบบ ไปแล้วๆ”ผมบอกก่อนจะพูดต่อ


“ตังค์ทอนเป็นติ๊บผมนะ”ผมพูดรัวก่อนจะวิ่งพรวดออกมา ถ้าหนีไม่ทันล่ะ เจอตีแน่เลย


“ปาร์คชานยอล! ถ้าโกงล่ะเจอดีแน่!”คุณป้าพูดไล่หลังมา ผมแค่โบกเงินในมือตอบกลับไปก่อนจะเดินไปตามทาง ทันที่ที่มาถึงปากซอยผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า แถวนี้ไม่มีแท็กซี่ แล้วถ้าจะให้วิ่งกลับไปถามป้าว่านั่งรถอะไรไปก็ขี้เกียจ เพราะจากนี่กลับไปบ้านมันไกลมาก ….เฮ้อ…ดูท่าต้องโบกรถไปเองซะแล้วสิเรา


-------------------------------------------------------------



สุดท้ายผมก็โบกรถขนนมมาจัตุรัสเมือง นับว่าโชคดีมากที่ลุงคนขับต้องเข้าไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน แต่ในความโชคดีย่อมมีความโชคร้ายอยู่เมื่อทางที่เราต้องไปดันปิดปรับปรุง เลยต้องอ้อมไปอีกทาง แต่ไอ้ทางที่มาเลี่ยงมานี่ก็ดันรถติดแหง็กไม่กระดิกสักกะมิลเดียว ไม่รู้ว่าทำไมในชนบทอย่างนี้ถึงได้มีรถติดได้ยังไงก็ไม่รู้


“ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่เลย ปกติไม่เห็นติดอย่างนี้นี่นา”คุณลุงคนขับบ่นพร้อมกับชะเง้อมองไปที่ถนนข้างหน้าที่มีรถติดยาว


“มีรถชนกัน….”ผมชะงักไปเมื่อจู่ๆก็มีภาพไฟไหม้แวบเข้ามาในหัวของผม ถ้าจำไม่ผิดอาคารที่ถูกไหม้มันคือ….


“โอ๊ะ! นั่นควันนี่”คุณลุงบอกก่อนจะชี้ไปที่ท้องฟ้า  ผมรีบลุกพรวดลงจากรถ แล้ววิ่งไปยังจุดที่ควันไฟลอยขึ้นทั่วฟ้า ใช่! ที่ผมเห็นนั่นคือร้านขายไม้ที่จัตุรัสไม่ผิดแน่ แย่แน่….ไม้มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีเลยไม่ใช่หรอ


    ผมรีบวิ่งไปทางจัตุรัส  คนที่นั่งอยู่บนรถเริ่มแห่กันลงมายืนดูที่ถนน บางคนร้องตกใจ บางคนถ่ายรูป แต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะโทรหาดับเพลิง รถโรงพยาบาล หรือแค่ตำรวจเลย ยิ่งผมเข้าใกล้จัตุรัสมากเท่าไร ความวุ่นวายก็ยิ่งมากขึ้นเท่าไหน คนลงมามุงดูเยอะขึ้น เสียงไซเรนก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่จัตุรัสวิ่งวุ่นกันไปทั่ว และยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเมื่อผมยื่นอยู่ตรงข้ามร้านไม้ร้านนั้น


   ภาพตรงหน้าเหมือนกับที่ผมเห็นไม่มีผิด ไฟไหม้ร้านขายไม้ไปเกือบทั้งหลัง เปลวไฟเหมือนมือของปีศาจที่กำลังฉีกกระชากเอาโครงสร้างของร้านเข้าไปในปากสีแดงร้อนระอุของมันแล้วกลืนทุกอย่างลงไปในเปลวไฟ ในขณะที่ไฟบางส่วนกำลังลุกคืบไปเผาสายไฟฟ้าจนเกิดเป็นประกายสีฟ้าขาวน่ากลัว ก่อนที่มันจะระเบิดเสียงดังแล้วลุกติดไฟ เสียงตัวอาคารเริ่มร้องดังออกมา ก่อนที่ชิ้นส่วนบางส่วนจะตกลงมาใส่พื้นถนน คนหวีดร้องตกใจดังทั่วจัตุรัส  ผู้คนวิ่งหนีและขนของกันวุ่นไปหมด รถดับเพลิงกำลังฉีดน้ำดับไฟที่กำลังไหม้จากร้านขายไม้ไปยังร้านข้างๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกของเจ้าหน้าที่ดังระงมไปทั่วจัตุรัส


“จอร์น! ออกมาเร็ว ตึกกำลังจะถล่ม!”พนักงานดับเพลิงคนหนึ่งตะโกนบอกลูกน้อง


“มีคนติดอยู่ในนั้นครับหัวหน้า!!!” ผมรีบวิ่งพรวดเข้าไปในร้านที่กำลังถูกไหม้ ไม่สนคำร้องห้ามของพวกเจ้าหน้าที่


     ภายในร้านขายไม้เต็มไปด้วยไฟสีส้มแดงที่กำลังเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง โครงสร้างทุกอย่างตกลงสู่พื้น ก่อนจะตามมาด้วยอีกชิ้น และอีกชิ้น ผมรีบวิ่งหลบมันได้อย่างหวุดหวิด แต่ดูจากสภาพแล้วไม่ช้ามันต้องถล่มลงมาหมดแน่


“จงดับ! ดับเดี๋ยวนี้!”ผมตะโกนสั่งพวกไฟอย่างหัวเสีย แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมต้องการ ไฟยังคงไหม้ต่อไปเรื่อยๆ นี่มันบ้าอะไรกัน ทำไมพวกมันไม่เชื่อฟังผม!!!


“ดับ!!! ดับเดี๋ยวนี้ ไอ้ไฟบ้าเอ๊ย ฉันสั่งให้แกดับไง!!!!”ผมตะโกนสั่งมันไปพร้อมกับวิ่งวุ่นไปทั่ว แต่ไฟก็ดับลงแค่ชั่ววินาที ก่อนที่มันจะลุกกลับขึ้นมาอีกครั้ง


“บ้าเอ๊ย!”ผมสบถอย่างหัวเสีย พร้อมกับตะโกนเรียกหาคนที่ติดอยู่ในนี้


“คุณได้ยินผมมั้ย ผมมาช่วยคุณ ถ้าพอตอบได้ ตอบผมที!” มีแต่เสียงของโครงสร้างของร้านที่ค่อยๆถล่มลงมาอย่างเดียวเท่านั้นที่ตอบผมกลับมา ไอ้ไฟบ้าพวกนี้ต้องดับซะก่อนที่มันจะทำให้ตึกถล่มมาทับคนเคราะห์ร้ายพวกนั้น


“จงดับ….ดับเดี๋ยวนี้! ได้ยินมั้ย ดับเดี๋ยวนี้!!!!”ผมตะหวาดลั่น ไฟค่อยๆอ่อนลงแต่ก็กลับมาลุกโหมขึ้นอีกรอบ เพราะที่นี่ไม่ใช่เลอร์วันน่ารึไงมันถึงได้ไม่เชื่อฟังผม


เจ้ามีอะไรให้เราต้องเชื่อฟังกัน


จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงแหบๆของใครบางคนดังอยู่ในหู ไม่มีทางที่จะมีใครพูดได้แน่ ในเมื่อตอนนี้มีผมคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้


หึหึ ขนาดเสียงของข้าเจ้ายังไม่รู้จักเลย ช่างโง่เขลายิ่งนัก!


“แกเป็นใคร! ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแกนะ”ผมบอกอย่างหงุดหงิด และเริ่มหาคนที่ติดอยู่ในนี้


ข้าคือจิตวิญญาณแห่งไฟ!!! ไฟที่จะแผดเผาทุกอย่างในนี้ รวมถึงสองชีวิตที่ติดอยู่ในนี้ด้วย!!!


“แกรู้ว่าพวกเขาอยู่ไหนหรอ! บอกมาเดี๋ยวนี้นะ!”


หึหึ ข้าไม่ได้โง่เหมือนญาติข้าที่เลอร์วันน่านั้นหรอกนะที่จะได้เชื่อฟังเจ้า  เจ้าผู้พิทักษ์ไร้สมอง!!!!


“นายว่าไงนะ!”


หึ อยากช่วยพวกมนุษย์หน้าโง่นั่นนักใช่มั้ย ก็เอาสิ่! ข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน! ถ้าภายในสิบนาทีเจ้าหาพวก
เขาไม่เจอ ข้าจะเผาพวกมันทั้งเป็น!!!


“อย่านะ!!!”


หึหึ หมดไปแล้วหนึ่งนาที รสเนื้อคนย่างสดมันจะอร่อยสักแค่ไหนกันนะ ข้าอยากจะลิ้มรสเสียจริง!!!


“ไม่นะ!!!”ผมร้องห้าม แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาอีกแล้ว


“ไอ้ไฟบ้าเอ๊ย!”ผมสบถออกมาอย่างโมโห ก่อนที่ในหัวจะรับรู้ถึงเวลาที่กำลังเหลือน้อยลงทุกที ไอ้ไฟบ้านั่นคงทำให้ผมรู้เวลาไปด้วย มันคิดว่านี่คือเกมส์รึยังไง!!! เดิมพันด้วยชีวิตคนทั้งคนงั้นหรอ  ไอ้บ้าเอ๊ย!!!


  ผมรีบวิ่งพล่านไปทั่วร้านขายไม้  เหลือเวลาอีกแปดนาทีให้ผมหาพวกเขาให้เจอท่ามกลางไฟที่ไม่ยอมดับ และซากอาคารที่กำลังจะพังลงมาทับผม



“ได้ยินผมมั้ย ตอบผมที ได้ยินผมมั้ย”ผมตะโกนถามพร้อมกับควบคุมให้ซากไม้ที่พังลงมาเคลื่อนตัวออกไป แต่ทุกอย่างมันกลับ…


ไม่ขยับ


ทุกธาตุในนี้ไม่มีอะไรเชื่อฟังผมเลย


“บ้าเอ๊ย! ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย!!!”ผมพูดอย่างหัวเสีย น้ำตาเอ่อคลออยู่ที่ตาเมื่อรู้ว่าเหลือเวลาอีกแค่ห้านาที ไฟไม่เชื่อฟัง ไม้เองก็ไม่ตอบสนอง เหลือแค่ ออกซิเจน…



“ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมมันไม่เชื่อฟังผม!!!”ผมพูดอย่างหัวเสีย น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกที่ไร้ทางออก กดดัน และไม่รู้จะทำยังไงจู่โจมใส่ผมแบบที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ผมไม่มีเวลาให้เศร้าให้ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ผมต้องหาทางช่วยคนที่ติดอยู่ในนี้ด้วยตัวของตัวเอง


  ผมยกซากไม้ทุกซาก กระชากของทุกอย่างที่คิดว่าจะมีคนติดอยู่ในนั้นออกมา     แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นเลย  ยิ่งผมคว้าน้ำเหลวมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเท่านั้น  เพราะสิ่งที่เดิมพัน....คือชีวิตของคนสองคน


“ขอร้องล่ะ ขอร้องล่ะ เจอสักทีสิ เจอสักที!”ผมร้องไห้ ลนลาน ควานหาคนที่ติดอยู่ในนี้อย่างคนบ้า เมื่อเวลาเหลือแค่สามนาที มือที่เต็มไปด้วยเสี้ยนและแผลของผมยกของทุกอย่างที่พอจะมีคนติดอยู่ในนั้น  แต่ยิ่งหาก็ยิ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต เวลาเหลืออีกแค่หนึ่งนาที  ไม่นะ พวกเขาต้องไม่ตาย มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ต้องไม่จบลงแบบนี้ ได้โปรด ใครก็ได้ได้โปรด อย่าเพิ่งให้พวกเขาตาย


“อึก..”จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังผม นิ้วมือคนโผล่ออกมาจากซากไม้ ผมรีบวิ่งเข้าไปหา แต่วินาทีที่จะถึงตัวเขา จู่ๆ จิตวิญญาณแห่งไฟตัวนั้นก็ทุ่มคานไม้ขว้างผมไว้ซะก่อน


“ไอ้เลว!”


หึหึ น่าสมเพช เป็นถึงผู้พิทักษ์แต่ควบคุมธาตุอะไรไม่ได้สักอย่าง


เสียงจิตวิญญาณแห่งไฟดังขึ้นในหัว พร้อมกับเปลวไฟที่ค่อยๆลามเลียไปหาคนเคราะห์ร้ายสองคนนั้น


“ไม่นะ!”


กติกามันต้องเป็นกติกาสิ ข้าขอรับชีวิตสองคนนี้ไปละกันนะ เจ้าผู้พิทักษ์โง่เง่า ฉับพลันนั้นจิตวิญญาณแห่งไฟก็พุ่งตัวใส่คนเคราะห์ร้าย จังหวะนั้นเองที่ซากไม้เคลื่อนตัวหล่นลงมาทำให้ผมเห็นว่าคนที่ติดอยู่ในนั้นคือผู้หญิงและเด็กทารก!!!


“ไม่นะ!!!”ผมหวีดร้องเสียงหลง คลื่นพลังงานบางอย่างระเบิดออกมา ฟีนิกส์สยายปีกอยู่ข้างหน้า แรงกระพือปีกของมันขับไล่ให้จิตวิญญาณตนนั้นกระเด็นไปกระแทกข้างฝา พร้อมกับที่สายฝนกระหน่ำตกลงมา ดินจากพื้นดินเข้ายึดโครงสร้างไม่ให้ถล่ม ผมอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสี้ยววินาที ก่อนที่ภาษาโบราณอะไรบางอย่างจะแวบเข้ามาในหัวของผม


“อคิวลา ซิลลา มาอินอา คาลัน อาซูลา…… ในนามของข้า ราชันย์แห่งไฟ จ้าวแห่งนกฟีนิกส์ ขอสั่งให้เจ้าจงเชื่อฟังข้า ณ บัดนี้!!!!” เสียงของผมซ้อนด้วยเสียงของใครก็ไม่รู้อีกสิบกว่าเสียง มันทรงพลังและเขย่าให้ร้านทั้งร้านสั่นสะเทือน ฟีนิกส์สีทองตัวนั้นหวีดเสียงร้องดังก้องไปทั่ว จิตวิญญาณแห่งไฟก้มลงหมอบลงแทบเท้าของผม ตัวมันสั่นระริกอย่างคนที่กลัวจัด


“องค์ องค์ราชันย์…อะ อภัยให้ข้าด้วย”


“เจ้าชั่วช้าสามาร รังแกได้แม้กระทั่งคนไม่มีทางสู้! ข้าจะกำจัดเจ้าซะ!!!”


“มะ…ไม่…ไม่นะท่าน”ผมชี้นิ้วไปที่มันก่อนจะออกคำสั่งด้วยเสียงน่าขนลุกนั้น


“จงดับสูญไปซะ จิตวิญญาณที่ชั่วช้าโสมม!!!”เมื่อจบคำสั่ง ฟีนิกส์ก็กรีดร้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร้าน มันใช้กงเล็บตรึงร่างของจิตวิญญาณตนนั้นไว้กับพื้นก่อนที่จะทึ้งร่างของมันออกเป็นชิ้นๆ เสียงร้องโหยหวนของมันดังก้องไปทั่วร้าน ก่อนที่เสียงของมันจะหายไปเมื่อฟีนิกส์เขมือบมันเข้าไปจนหมด จากนั้นเจ้านกไฟนั่นก็ลดขนาดตัวเองพร้อมกับบินมาเกาะอยู่ที่ไหล่ผม


ออกซิเจนในตัวมนุษย์สองคนนั้นต่ำมาก


      เสียงของมันดังอยู่ในหัวของผม แต่ต่อให้มันไม่พูดผมก็รู้สึกถึงออกซิเจนที่อยู่ในตัวของพวกเขาได้ ผมเอื้อมมือแตะร่างของพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ ก่อนจะเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติ  แล้วค่อยๆ พาพวกเขาออกไปจากร้าน ทันทีที่ผมเดินพ้นออกมาจากเขตอันตราย ร้านค้าทั้งร้านก็ถล่มลงมา ดินที่เคยยึดโครงสร้างไว้หลุดล่อนลงมากลับสู่พื้นดินอีกครั้ง ในขณะที่ไม้ก็กองกันอยู่เหมือนที่มันเคยอยู่อย่างกับว่าพวกมันค้ำจุนทุกอย่างไว้เพื่อทำให้ผมปลอดภัย…


     นักดับเพลิง และชาวบ้านที่เห็นพวกเราก็วิ่งกรูกันเข้ามาหา ผู้หญิงและเด็กคนนั้นถูกหามส่งโรงพยาบาล ในขณะที่ผมเองก็จะโดนไปส่งโรงพยาบาลเหมือนกัน ดีที่ผมยืนยันหัวชนฝาว่าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย แต่ไม่ต้องถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล


“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ไป”หัวหน้าดับเพลิงถามย้ำอีกครั้ง ผมพยักหน้า และเริ่มมองหาเจ้านกไฟ มันยังคงเกาะอยู่ที่ไหล่ของผม แต่แปลกที่เจ้าหน้าที่คนนั้นมองไม่เห็นมัน


“ก็ได้ แต่ผมจะให้เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลดูแลคุณหน่อยก็แล้วกัน แค่นั้นคงไม่มากไปใช่มั้ย”


“ครับ ที่จริงก็….เอ่อ ขอบคุณครับ”ผมรีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อหัวหน้าดับเพลิงทำหน้าโหดใส่ผม เจ้าหน้าที่พยาบาลเขามาดูร่างกายผมนิดหน่อย พวกเขาทำหน้าแปลกใจที่ร่างกายผมดูไม่เหมือนคนที่ติดอยู่ในกองไฟเลย เขาบอกว่ามันเหมือนแค่ว่าเมื่อผมเข้าไปออกกำลังกายอย่างหนักมาในนั้นแค่นั้น ผมได้แต่ยิ้มแหยๆตอบเขาไป ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน


 ทันทีที่อยู่ตามลำพัง ผมก็รีบหันขวับไปมองเจ้านกไฟที่บินตามผมมาแล้วรัวคำถามใส่ไม่ยั้ง


“คุณเป็นใคร!”ดวงตาที่ทำมาจากไฟมาผมเหมือนผมถามคำถามที่โง่เง่าที่สุดก่อนจะตอบ


คงจะจริงอย่างที่ญาติของผมว่าซะล่ะมั้ง


“ญาติ? นายพูดถึงอะไร”


ว่าเจ้านายคนใหม่ของผม เป็นคนปัญญาอ่อน


“ปัญญาอ่อน!! คุณว่าใครปัญญาอ่อนห๊ะ! แล้วนี่ใครเจ้านายใครอะไรบอกมานะ”ผมโวยวายลั่น สนิทก็ไม่สนิทอยู่ๆมาว่าว่าปัญญาอ่อนได้ไง!!


ท่านไงล่ะ เจ้านายของข้า เพราะข้าคือซูน สัตว์วิเศษของเจ้าไงล่ะ


“ห๊าาาา!!! สัตว์วิเศษ! สัตว์วิเศษของผมจริงๆหรอ”ผมตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา ไม่คิดว่าตัวเองจะมีสัตว์วิเศษเท่ขนาดนี้มาก่อน


“นี่! อย่างนี้ก็ต้องให้ผมขี่ได้ พาผมบินไปไหนมาไหนได้ใช่มั้ย อย่าง นี้ก็พาผมบินกลับบ้านได้สิ โหยยย อย่างเท่อ่ะ! คริสเห็นต้องอึ้งแน่ นี่ๆ พาผมบินหน่อยสิๆ”ผมรบเร้าเจ้านกไฟที่ตออนนี้บินหนีไปเกาะอยู่บนต้นไม้แล้ว


ไม่ได้! อยากจะกลับก็เดินกลับไปเอง ข้าจะไม่ให้เจ้าขี่หลังเด็ดขาด!!!  ให้ตายเถอะ นี่ข้าต้องมารับใช้คนแบบนี้จริงๆหรอเนี่ย


ผมหน้าหงิกอารมณ์บูดขึ้นมาทันทีที่เจ้านกนั่นพูดจบ


“ทำไม คนอย่างผมมันแย่มากนักรึไง”ผมเชิดหน้าถาม เจ้านกเหลือบตามองผมอย่างปลงๆ


ก็ถ้าไม่แย่ จะโดนท่านคริสไล่ออกมาจากเลอร์วันน่าอย่างนี้มั้ยล่ะ


ประโยคเดียวเล่นเอาไปต่อไม่ถูก ด่าอะไรไม่ด่า ดันมาด่าเรื่องนี้ ก็รู้อยู่ว่าผิด แต่ไม่ต้องมาย้ำมากว่าตัวเองแย่จะได้มั้ยเล่า


“ถ้าจะมาย้ำเรื่องนี้กลับรังไปเลยไป ไอ้ไก่ย่าง!”ผมไล่พร้อมกับเดินหนีไปด้วย


เจ้าว่าไงนะ เจ้ามนุษย์หน้าโง่! นี่ถ้าข้ากลับได้ข้าคงกลับไปนานแล้ว ไม่มาอยู่กับเจ้าอย่างนี้หรอก เจ้ามนุษย์หน้าโง่!


ผมชะงักก่อนจะหันขวับไปหา


“หมายความว่าไงที่ว่ากลับไม่ได้”เจ้านกไฟนั่นถอนหายใจก่อนจะตอบ


เพราะข้าต้องอยู่ดูแลเจ้าไปตลอดชีวิตน่ะสิ เจ้ามนุษย์หน้าโง่!!!”


อะ อะ อะไรนะ นี่ผมกำลังจะได้นกเป็นคนดูแลงั้นหรอเนี่ย แล้วยังเป็นนกที่ไม่ถูกกับผมซะด้วย งานนี้ตายแน่ๆ ปาร์คชานยอล นายตายแน่ๆเลย

http://0ctogus.forumth.com

25 elements part10 Empty Re: 5 elements part10 Fri Jul 11, 2014 7:47 pm

ky_palm



ชานยอลเท่มากอ่ะ
แต่ฮา 555

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ