ชานยอลมองสัญลักษณ์มังกรนิ่ง หัวสมองเริ่มคิดเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเขาด้วยกัน พยายามหาความจริงถึงที่มาของรอยนี้......มันต้องไม่ได้เกิดขึ้นเองแน่ๆ อีกอย่างเขาอยู่กับร่างกายตัวเองมาตั้ง 20 ปี ทำไมถึงไม่เคยเห็นรอยประหลาดนี้มาก่อน แล้วรอยนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง จู่ๆคงไม่ได้ผุดขึ้นมาเองหรอกน่า มันคือรอยสักหรอ หรือรอยอะไร แล้วถ้าสักจริง ทำไมเขาถึงจำเหตุการณืที่เกี่ยวกับรอยนี้ไม่ได้เลย........สักนิด
มีบางอย่างผิดไป มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา แต่เขาไม่สามารถตอบตัวเองได้เลยว่ามันคืออะไร ความทรงจำของเขาเหมือนถูกลบออกไปบางส่วน หาที่มาของเรื่องทั้งหมดไม่ได้ ร่างโปร่งนั่งครุ่นคิด พยายามจะนึกภาพความทรงจำ แต่ภาพเหตุการณืต่างๆในอดีตล้วนไม่มีคริส ไม่มีรอยมังกร ไม่มีอะไรเลยที่พอจะชี้ทางให้เขาเดินไปหาคำตอบของเรื่องนี้ได้ แล้วเขาจะไขความสงสัยในใจนี้ได้อย่างไร!!!
“มัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชานยอลถามตัวเอง หากแต่มันก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้ถามอีกสักพันครั้งเขาก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ ร่างโปร่งตัดสินใจเลิกพึ่งความทรงจำตัวเอง แล้วหันไปทบทวนว่าใครที่พอมีความทรงจำร่วมกับเขา ใครที่จะไขข้อข้องใจนี้ได้......
ตากลมเปร่งประกายเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรดีๆออก มือเรียวหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง สองขาเรียวพาร่างเจ้าของเดินออกมาห่างจากหน้าห้องคริสเล็กน้อย พอให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัยที่เสียงของเขาจะไม่ไปรับกวนการหลับของอีกคน
ร่างโปร่งยื่นจ้องเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจ้องสักพักก่อนจะกดโทรออก ต่อสายสักพักปลายสายก็กดรับ
“เซ ฮุน.....อยู่ไหน ว่างมั้ย พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะถาม” น้ำเสียงที่จริงจังผิดวิสัยปกติของชานยอล ทำให้ปลายสายขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนจะตอบกลับมา
“ว่า ไงพี่ ผมไคนะ ไอ้เซฮุนมันไปห้องน้ำ พี่มีอะไรหรอ” คยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ หันหน้ามามองร่างเข้ม ไคเลื่อนมือไปกดเปิดลำโพงให้ร่างเล็กได้ยินบทสนทนาด้วย
“ไค........”
“ครับพี่ มีอะไรหรอ ทะเลาะกับพี่คริสหรอ”
“เปล่า” สีหน้าทั้งสองเริ่มตึงเครียดขึ้นทีละน้อย ลางสังหรณ์มันบอกถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังจะคลืบคลานเข้ามา......
“แล้ว มีอะไรหรอพี่” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยตอบ ขณะนั้นเองเซฮุนกับลู่ฮานก็เดินเข้ามาพอดี
“ไค พี่กับคุณคริสเป็นอะไรกัน รอยมังกรที่หลังนั่นคืออะไร ไคพี่ไม่เข้าใจ พี่งงไปหมดแล้ว เหมือน........พี่ลืมเรื่องบางอย่างไปหมด แต่หลักฐานมันยังเหลือไว้เตือนให้พี่นึกถึงมันอยู่ แต่พี่จำไม่ได้ไค พี่ไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่” ทั้งสี่หันมามองหน้ากัน ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไง พวกเขารู้ รู้ว่าสักวันหนึ่งชานยอลอาจเจอร่องรอยความทรงจำเกี่ยวกับคริส แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วถึงขนาดนี้ แต่นั่นไม่ย้ำแย่ไปกว่าการที่พวกเขา..........ยังไม่ได้หาคำตอบให้กับคำถาม ของชานยอลเลย สักข้อ!!!
ไคนิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ยตอบอะไร ในหัวรีบคิดหาคำตอบที่มีเหตผลพอจะไขความข้องใจของชานยอลได้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งตัน เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี ร่างเข้มหันไปขอความช่วยเหลือจากลู่ฮานที่นั่งหน้าเครียด ร่างเล็กหลบสายตา ไม่ยอมมองหน้า เขาจึงหันไปพึ่งเซฮุนกับคยองซูแทน แต่ทั้งคู่ก็ส่ายศรีษะหมดหนทางจะช่วยเหลือ สุดท้ายเขาจึงตกที่นั่งลำบากต้องเป็นตัวตอบคำถามชานยอลเสียเอง.....
“ไค ไค อยุ่มั้ย”
“อยู่ๆ คือ…...พี่ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตอบยังไง คือพี่กับพี่คริส”
“นาย พูดแบบนี้แสดงว่าพี่กับเขาต้องเป็นอะไรมากกว่าเจ้าของบ้านกับแขกใช่มั้ย” ร่างเข้มหลับตา จิ๊ย์ปากขัดใจ โมโหที่ตัวเองคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะแก้สถาณการณ์ยังไง
“จะว่างั้นมันก็ คือ ก็ใช่”
“แล้วทำไมพี่จำอะไรไม่ได้เลย!!! ไคพี่ไม่ป่วยเป็นความจำเสื่อม พี่จำทุกอย่างได้หมดนะ แต่ทำไม ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องเขาเลยไค”
“พี่ ผม ผมไม่ตอบได้มั้ย”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันใคร พี่ไม่เข้าใจ”
“........................คือ บ้าจริง! ผม” ร่างเข้มนิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยตอบอะไรกลับไปนานจนชานยอลเริ่มทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียก่อน
“อะไรไค”
“คือ…...”
“ชานยอล ฉันจะเล่าเรื่องให้ฟังก็ได้ แต่แค่นายตอบคำถามฉันมาแค่ข้อเดียว” ลู่ฮานพูดแทรกขึ้นมา ช่วยกู้สถาณการณ์ให้ไค
“ครับ?”
“นายรักคริสมั้ย”
“เกี่ยวอะไรกัน”
“ตอบ มา แค่รัก หรือไม่รัก แค่นั้น” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปสักพัก เขาถามคำถามกับตัวเองซ้ำ ว่ารักคริสมั้ย.......คำตอบ คือ ไม่
รู้ เขาคงรักคริสไม่ได้เพราะเพิ่งเคยรู้จักกัน หากแต่เขากลับรู้สึกลึกๆว่าห่วงใยคนคนนี้เกินกว่าที่แขกจะมีให้เจ้าของบ้าน สองขั้วความคิดตีกันให้วุ่นภายในจิตใจของเขา ไม่นานนักมันก็สงบลง แล้วเขาก็เอ่ยตอบคำตอบในใจออกไป.....
“ผมไม่รักคุณคริส” พูดช้า ฟังชัดถ้อยชัดคำ
“งั้น นายก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องที่ผ่านมาหรอก ปล่อยให้เวลาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปเถอะชานยอล” จะมีความจำเป็นอะไรที่ชานยอลจะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมด ในเมื่อตอนนี้แม้แต่เศษเสี้ยวของความรักที่มีให้คริสยังไม่หลงเหลือในจิตใจ ต่อให้รู้ไป........มันก็เท่านั้น
“………ทำ ไม”
“ไม่ ต้องสงสัยมันหรอกชานยอล แล้วนี่คริสเป็นยังไงบ้าง นายไม่ได้ปล่อยให้เขาตายคากองเลือดไปแล้วหรอกนะ” ร่างเล็กถามตามที่เขากลัว คำตอบของชานยอลเมื่อครู่เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าตอนนี้ชานยอลคงเกลี ยดคริสไปแล้ว…...ไอ้จะให้มาดูแล นี่คงเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อไปสักหน่อย
“ปะเปล่า” ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธของลู่ฮาน แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโกรธ แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถามอะไรอีกแล้วในตอนนี้
“..........ก็ ดี เฮ้อออ ฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากดูแลเขา แต่ช่วยฝืนใจตัวเองสักพักหนึ่งได้มั้ย คริสกำลังอ่อนแอมากๆ ฉันไม่อยากให้ไอ้ปีศาจแวมไพร์นั่นตายนะ”
“ตายหรอ”
“ใช่! นายไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวฉันจะรีบกลับ ระหว่างนั้นก็ดูแลเขาให้ที แค่นี้นะ” ร่างเล็กกระแทกนิ้วกดตัดสาย
“ลู่ฮาน จะโมโหอะไรเนี่ย”
“นายรู้มั้ยว่าถ้าคริสได้ยินประโยคนั้น จะเกิดอะไรขึ้น”
“เขาคงไม่ตรอมใจตายหรอกน่า ปานนี้พี่ชานยอลไม่ช็อคไปแล้วหรอโดนเหวี่ยงใส่เนี่ย”
“ใช่!! เขาจะตรอมใจตาย”
“ห๊ะ!!”
“นาย ไม่เห็นรึไงว่าแค่นี้คริสยังปล่อยตัวเองให้ร่างกายแย่ขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าไม่รักแล้ว จะขนาดไหน!!!” ทั้งสี่ตกอยู่ในความเงียบ จริงอย่างที่ลู่ฮานพูด ถึงพวกเขาจะไม่ได้คลุกคลีอยู่กับคริส แต่ก็พอจับความผิดปกติของร่างกายคริสได้บ้าง......
“แต่พันธะนั้น.....ถ้าคุณคริสตายพี่ชานยอลก็จะตายไม่ใช่หรอ”
“................... คริสไม่มีทางให้ชานยอลตายตามไปด้วยหรอก”ร่างเล็กพูดเสียงอ่อนลง ตากวางหันไปสบตากับไค ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เขาจะทำลายพันธะก่อนที่ตัวเองจะตาย”
ร่าง โปร่งยืนนิ่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น ประโยคที่ลู่ฮานพูดดังซ้ำไปซ้ำมาในหัว “คริสกำลังอ่อนแอมากๆ ฉันไม่อยากให้ไอ้ปีศาจแวมไพร์นั่นตายนะ”
ตาย......ตายหรอ
ก้อนเนื้อที่หน้าอกด้านซ้ายเจ็บแปลบแปลกๆ รู้สึกหน่วงๆในจิตใจ ไม่รู้ทำไมพอคิดว่าวันหนึ่งคริสจะหายไปจากโลกนี้ หัวใจของเขาถึงได้เจ็บปวดถึงขนาดนี้......
ชานยอลทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง สองมือยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง เขาไม่อยากให้คริสตาย ไม่อยากให้คนคนนั้นหายไปจากโลกนี้........
ทั้งๆที่ตอนอยู่ด้วยกันก็รำคาญ ทั้งๆที่เกลียดแสนเกลียด ไม่คิดแม้แต่จะแตะต้องด้วยซ้ำ แต่พอคิด......
ว่าถ้าวันหนึ่งตื่นมาแล้วไม่เจอหน้าตัวอันตรายคนนั้น.....
ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ยินเสียงที่น่ารำคาญนั้น.....
ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนทำนิสัยขัดหูขัดตาใส่แบบนั้น.....
ชานยอลนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ ร่างสูงลอบมองชานยอลผ่านช่องบานประตูที่ถูกแง้มเปิดออกเล็กน้อย.....
ขายาวเดินออกจากห้องออกมาช้าๆ แม้เรี่ยวแรงของเขาลดน้อยถอยลงไปทุกที แต่เขาก็ปล่อยให้ชานยอลอยู่คนเดียวไม่ได้ มือใหญ่ค่อยๆยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ชานยอล ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูง แต่ก็ไม่ยอมรับของไปเสียที
“ร้องไห้ ทำไม” คริสถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มือใหญ่ค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้อีกฝ่าย ระวังไม่ให้นิ้วของเขาสัมผัสกับผิวแก้มเนียน กลัวว่าจะได้รอยแผลอีก
ชานยอลนั่งนิ่งให้คริสเช็ดน้ำตา ตากลมมองใบหน้าคนตรงหน้านิ่ง คิดว่าถ้าวันหนึ่งคนคนนี้หายไปเขาจะทำยังไง.......
“ร้องไห้เป็นเด็กเลย ถ้าร้องบ่อยนายอาจจะตาบอดได้นะ”
“ร้อง บ่อยงั้นหรอ........ผมกับคุณไม่ใช่แค่แขกกับเจ้าของบ้านใช่มั้ย” คริสนิ่งเงียบไป ความเศร้าแวบเข้ามาในดวงตาคมก่อนจะถูกสลัดออกไปด้วยความความอบอุ่น คริสหันกลับมามองชานยอล ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้
“เราเป็นแค่แขกกับเจ้าของบ้าน......อย่าคิดมากเลย”
“ผม ถ้าวันหนึ่งคุณ.....” มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มกร้านเบาๆ ดวงตากลมมองคนตรงหน้าด้วยความรัก ผิดจากเมื่อก่อนที่เขามักจะมองด้วยสายตาเย็นชา
“ตาย งั้นหรอ........ฉันไม่ปล่อยให้นายตายไปด้วยหรอก”คริสยิ้มออกมา ราวกับคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องตลก ร่างโปร่งโผเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มแรง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำทำไม แต่เขาทนไม่ได้ถ้าคนคนนี้หายไปจากโลกนี้.....
มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้น อยากจะกอดปลอบคนในอ้อมกอด แต่เขา.......ก็ทำไม่ได้
“ขอ โทษนะ ที่กอดตอบไม่ได้” ชานยอลยิ่งกอดอีกคนแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่อยากให้คนคนนี้ตายเลย ไม่อยากให้ไปไหน ไม่อยากให้จากกันเลย.....
คริสปล่อยให้ชานยอลกอดอยู่อย่างนั้น นานจนเห็นว่าควรจะพาชานยอลไปพักในห้องได้แล้ว ร่างสูงขยับตัวออกจากอ้อมกอดชานยอลช้าๆ
“ไปพักในห้องเถอะ” ร่างโปร่งพยักหน้าช้าๆก่อนจะเดินตามคริสเข้าห้องไป
ร่างสูงเอ่ยให้ชานยอลไปนอนพักที่เตียง ทีแรกร่างโปร่งก็ไม่ยอม แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องยอมมานอนอยู่ดี ชานยอลนอนเล่น มองหน้าคริสไปสักพัก จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป....
คริสมองใบหน้าคนที่หลับใหลอยู่บนเตียงด้วยแววตาเศร้าหมอง ร่างสูงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เคยให้ชานยอลมาไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆลุกเดินออกจากห้องไป ขายาวพาร่างตัวเองเข้ามาในห้องสมุด เลือกนั่งเก้าอี้ที่อยู่ริมในสุด ก่อนจะหลับตานิ่ง นึกย้อนไปถึงคำพูดที่เขาบังเอิญไปได้ยินเข้า......
“ผมไม่รักคุณคริส” สิ่งที่กลัวที่สุด......มันเกิดขึ้นแล้ว....
“ผมไม่รักคุณคริส”
“ผมไม่รักคุณคริส”
“ผมไม่รักคุณคริส”
คำพูดเดิมๆดังซ้ำๆในหัวสมองของเขา
ทำไมคำว่าไม่รักของนายมันถึงได้พูดง่ายจังนะชานยอล
ขนาดฉันยังไม่เคยพูดมันออกไปเลย......
มือใหญ่เปิดหนังสือออกช้าๆ พร้อมกับอ่านข้อความนึงซ้ำๆ.....
//Q : ทำไมพี่ถึงรักไอ้คุณคริสนั่น
A: ไม่รู้ รู้แค่ว่ารัก//
“นายคงลืมไปแล้วว่านายรักใคร” คริสยิ้มเศร้า ไล่นิ้วไปตามตัวหนังสือที่ชานยอลเขียน
แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้นะ ว่าไม่ว่าผมจะจำคุณได้หรือไม่ได้ ยังไงผมก็รักคุณอยู่ดี ผมรักคุณนะคุณคริส.....
“………….งั้นหรอ นายไม่ได้รักฉันแล้ว” ตาคมเลื่อนมาดูรูปที่ชานยอลวาด สัญลักษณ์มังกรของเขา....ที่ใต้ภาพเขียนคำว่า
“นาย จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันเป็นของฉัน” คริสยิ้มทั้งน้ำตา ร่างสูงหลับตานิ่งปล่อยให้หยาดน้ำใสอาบสองแก้ม มือใหญ่กำหนังสือในมือแน่นจนข้อนิ้วซีดเซียว
ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ชานยอลบอกไม่รักเขา แล้วก็มากอดเขา......ร่างโปร่งจะรู้มั้ยว่าที่ทำมันทำร้ายจิตใจเขาแค่ ไหน......
แม้ใจจะเจ็บปวดแค่ไหนแต่เขาก็ต้องฝืนทนกล้ำกลืนมันเอาไว้ในใจ แล้วหันไปสนใจอีกคนที่นั่งร้องไห้อยู่นอกห้อง ไม่อยากจะเห็นน้ำตาคนคนนี้อีกแล้ว ความเศร้าของคนนี้ควรสิ้นสุดเสียที เขาแสร้งทำเป็นคนแข็งแกร่ง เดินไปปลอบชานยอล
จะ รู้มั้ยว่าทุกคำปลอบของเขามันมีความโศกเศร้าเสียใจอยู่ในนั้นด้วย จะรู้มั้ยว่าทุกรอยยิ้มที่ยิ้มให้มันแฝงไปด้วยหยาดน้ำตาของเขา จะรู้มั้ยว่ามือของเขาสั่นเทาแค่ไหนตอนที่เช็ดน้ำตาให้ ชานยอลจะรู้มั้ย.....
คริสปล่อยให้น้ำตาชำระล้างบาดแผลในจิตใจอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาที่ร้องไห้ คำพูดของชานยอลก็ดังซ้ำๆขึ้นในหัวสมอง
“ผมไม่รักคุณคริส” คำไม่กี่คำแต่มีอิทธิพลต่อหัวใจอย่างมหาศาล....
ระหว่างที่ร้องไห้ รสชาติคาวๆในลำคอก็เข้ามารบกวนสติของคริส ร่างสูงแสยะยิ้มให้กับตัวเอง รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง.....
“แค่ก แค่ก” คริสไอจนตัวโยน มือใหญ่ยกขึ้นป้องปากตัวเอง ก่อนจะค่อยๆแบมือออก....
หลังจากวันที่ชานยอลตัดขาดออกจากชีวิตของเขา เขาก็เริ่มไม่มีพลังใจในการอยู่ต่อ เขาไม่ยอมรักษา ไม่ยอมกินเลือด ทำให้พิษจากบาดแผลเริ่มเรื้อรังไปเรื่อยๆ แต่พอวันนี้ วันที่ชานยอลเข้ามาดูแลเขา เขาเริ่มมีหวังว่าชานยอลอาจกลับมา คริสตัดสินใจว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะหายารักษาอาการของตัวเอง......
แต่ความฝันทั้งหมดมันก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินคำพูดนั้นของชานยอล....
“ผมไม่รักคุณคริส”
ต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ในเมื่อแรงใจสุดท้ายมันไม่มีอีกแล้ว....
คริสยกมือใหญ่ขึ้นดูช้าๆ หัวเราะให้ตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นว่าสีเลือดเริ่มผิดเพี้ยนไป ร่างกายนี้มันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ เวลาของเขาคงลดน้อยลงทุกทีๆ แล้ว ช่วงเวลามีค่าที่เหลืออยู่ เขาจะพยายามทำให้ชานยอลมีความสุขมากที่สุด ชดเชยในสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดไป....
มือใหญ่เปิดหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้งตั้งแต่ต้น บางคำพูดที่ทำให้คิดถึงคนเขียนมากเขาก็จะไล่นิ้วไปตามตัวอักษร หยดเลือดบนฝ่ามือหยดลงบนหน้าหนังสือ ร่างสูงรีบลุกขึ้น หาทิชชู่มาซับเลือด ด้วยความที่เคลื่อนไหวเร็วจนเกินไปทำให้เกิดอาการหน้ามืด คริสรีบฉวยขอบโต๊ะเป็นที่ยึด ร่างสูงเหยียดยิ้มให้ตัวเอง ไม่นึกว่าร่างกายจะอ่อนแอถึงขนาดนี้ เขาทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้นสักพัก รอให้อาการดีขึ้น ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตาคมมองหาทิชชู่ไปรอบๆห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ สุดท้ายเลยต้องใช้มือตัวเองเช็ดแทน
คราบเลือดเปื้อนเป็นทางที่ริมหน้ากระดาษ ร่างสูงหัวเสียเล็กน้อยที่เขาทำหนังสือเล่มสำคัญเล่มนี้เลอะ นิ้วยาวเปิดหน้าต่อไปอ่านแทน ทุกหน้าคริสมักจะอ่านซ้ำๆอย่างน้อยสักสองถึงสามรอบ ปากหนามักจะยิ้มทุกครั้งที่เห็นรูปวาดบ๊องๆของชานยอล
นิ้วยาวเลื่อนไปลูบลายเส้นต่างๆช้าๆ ตลอดเวลาที่มองมันร่างสูงก็ยิ้มอยู่ตลอด ครั้งหนึ่งชานยอลเคยรักคนเลวๆอย่างเขา.....
ร่างสูงหยิบดินสอที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะวาดรูปต่อจากชานยอล เผื่อว่าในวันที่เขาตายไปจากโลกนี้แล้วชานยอลจะได้มาเห็น แล้วรู้ว่าความจริงเขาเองก็รักชานยอลไม่แพ้กัน.....
คริสวาดรูปอย่างตั้งใจ เขาพยายามวาดออกมาให้ดูสวยและน่ารักที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลก็เขาขัดขวางเสียก่อน ร่างสูงชะงักมือ กัดปากตัวเองแน่น ข่มความทรมานเอาไว้ ก่อนจะลงดินสอวาดรูปต่อ มือของเขาสั่นเทา ลายเส้นเริ่มไม่นิ่ง แต่คริสก็พยายามฝืนร่างกายตัวเองวาดจนเสร็จ
รูปวาดเล็กๆ ที่ใช้หัวใจวาด
ตาคมมองรูปที่ตัวเองวาดด้วยความรู้สึกไม่พอใจเท่าไร มันยังไม่สวยพอ ร่างสูงลบ แล้วก็วาดใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำๆจนกระดาเริ่มยุ่ย วาดแล้วดู วาดแล้วดู จนกว่าตัวเองจะพอใจ....
เมื่อวาดเสร็จคริสก็ค่อยๆเขียนข้อความใต้ภาพ นิ้วยาวหยุดชะงักบางทีที่พิษบาดแผลเข้าเล่นงาน แต่สักพักหนึ่งเขาก็กลับมาเขียนต่อ ปากหนาคลี่ยิ้มบางๆเมื่อเขียนข้อความครบ
“เผื่อ นายมาเห็น นายจะได้รู้นะว่า.......แค่ก แค่ก” คริสไอออกมาเป็นเลือด หยดเลือดบางส่วนกระเด็นเปรอะรูปที่วาดไปจุดๆ ร่างสูงรีบใช้มือเช็ดออกทันที สีหน้าหมองลงทันทีที่รูปวาดของเขาเปื้อน คริสหยิบดินสอขึ้นมาเขียนข้อความบางอย่างลงไป
คริสนั่งนิ่งๆสักพัก รอให้ร่างกายกลับมาปกติ ไม่หอบหายใจเร็วเหมือนอย่างตอนนี้ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น ร่างสูงก็ค่อยๆพูดต่อ
“นายจะได้รู้นะว่าฉันก็รักนาย” ปากหนาคลี่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อนึกถึงใครอีกคน
นิ้วยาวเปิดหน้าถัดไป เมื่อไรที่เจอข้อความของชานยอลคริสก็จะเขียนข้อความตอบกลับเสมอ เลขหน้าที่เคยมีแต่ชื่อของเขา ตอนนี้ก็มีชื่อของชานยอลอยู่ข้างๆด้วย
“นาย คงไม่โกรธนะ ที่เขียนชื่อนายไว้ข้างๆฉัน” คริสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล กลัวว่าชานยอลจะโกรธที่เขาเขียนชื่อร่างโปร่งอยู่ข้างๆชื่อเขา.....
ร่างสูงค่อยๆเขียนหนังสือต่อไปเรื่อยๆจนจบ ตลอดเวลาที่เขียน เขาก็มักจะร้องไห้ไป ยิ้มไป ยิ้มในความน่ารักของชานยอล และร้องไห้ที่ตัวเองอาจได้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้อีกไม่นานนัก....
มือใหญ่ปิดหนังสือ วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูวิวที่หน้าต่าง ตาคมสะดุดเข้ากับร่างของชานยอล ร่างสูงรีบเดินลงไปข้างล่างทันที
คริสเดินตามหลังชานยอลมาเงียบๆ ไม่ส่งเสียงทักให้อีกฝ่ายรู้การมาเยือนของตน ตาคมมองแผ่นหลังบางตรงหน้าด้วยความรักใคร่ นึกอยากจะเข้าไปสวมกอดใจแทบขาด แต่เขาก็ทำไม่ได้
คริสเดินตามชานยอลไปได้สักพัก ร่างโปร่งก็เริ่มรู้สึกตัว หันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขา ตากลมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา ชานยอลรีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะยื่นมือมาจับแขนข้างที่เป็นแผลของเขา
“คุณหายไปไหนมา”
“ไปห้องสมุดมา”
“คุณป่วย ทำไมไม่อยู่ในห้อง”
“.........ห่วงหรอ ไม่ต้องหรอก” คริสยิ้มอบอุ่นให้ หากแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชานยอลต้องการ
“ทำไมพูดแบบนี้”
“แล้วนี่ตื่นนานรึยัง ทำไมมาอยู่นี่”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ก็....ดี”
“หรอ แต่ทำไมปากคุณซีดจัง” นิ้วเรียวชี้ริมฝีปากอีกคน ก่อนจะเอื้อมไปแตะสัมผัสมันเบาๆ
“ฉัน ไม่....”
“ถ้าจะโกหก ก็อย่าตอบดีกว่า”
“ขอโทษ…...”ความเศร้าเจือในแววตาอีกฝ่าย คริสรีบเสตามองไปทางอื่นทันทีเมื่อชานยอลหันมามองหน้า
“…..... เป็นอะไรไป” ไม่รู้ทำไม แค่คนคนนี้เศร้า หัวใจของเขาก็ว้าวุ่นแล้ว ชานยอลเอียงหน้า พยายามจะมองหน้าอีกฝ่าย แต่คริสก็หันหลบไม่ยอมให้อีกคนมอง
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เดินเล่นกันเถอะ” ร่างสูงยิ้มบางๆให้ ก่อนจะออกเดินนำหน้าไป
“เดี๋ยว รอด้วย” ชานยอลรั้งมืออีกฝ่ายเอาไว้ ร่างสูงหันหลังกลับมามองมือเรียวที่จับข้อมือของเขาด้วยแววตาเศร้า
รู้มั้ยว่าทำแบบนี้ มันสบสน
“จับ ไม่ได้หรอ”
“หืม ปะ เปล่าหรอก จับได้สิ” คริสแสร้งยิ้มให้ หากแต่ดวงตาก็ไม่ยอมสบกับชานยอลอยู่ดี ร่างโปร่งยื่นมือไปประคองใบหน้าอีกฝ่าย ให้หันมามองตนช้าๆ
“คุณ เป็นอะไร”
“เปล่า” ร่างโปร่งพยายามสบตาอีกฝ่าย นิ้วเรียวลูบไล้แก้มกร้านอีกคนเบาๆ ไล่ต่ำลงมาจนถึงริมฝีปากสีซีด
“เจ็บแผลหรอ”
“เปล่า”
“คุณ กำลังเศร้า” คริสเผลอสบตากับชานยอล แปลกใจไม่น้อยที่เห็นความห่วงใยในดวงตากลมนั้น มือเรียวค่อยๆยกขึ้นมาลูบแก้มกร้านเบาๆ ราวกับต้องการจะปลอบให้เขาหายเศร้า แต่ชานยอลจะรู้มั้ยว่าการทำแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาเจ็บ....
ไม่รักแล้วจะห่วงทำไม
ร่างโปร่งค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้เสียจนปลายจมูกทั้งสองสัมผัสกัน ปากอิ่มเม้มกลีบปากของเขาเบาๆสองสามทีก่อนจะเอ่ย
“อย่า เศร้า” เปลือกตาหนาหลับตาลงช้าๆ แม้จะเจ็บ แต่เขาก็อยากจะซึมซับสัมผัสทุกๆอย่างของคนคนนี้ เพราะอีกไม่นาน.....เวลาของเขาก็คงหมดลง
ปากอิ่มค่อยๆทามทับลงมา สัมผัสที่บางเบาแต่อ่อนโยนชะโลมหัวใจของคริสช้าๆ ร่างสูงยืนนิ่งปล่อยให้ชานยอลได้จูบเขาอยู่อย่างนั้น จนร่างโปร่งเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“ขะ ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจ” คริสยิ้มเศร้า
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือ........” เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบว่าอย่างไรดี เขาไม่ได้รู้สึกแย่ที่จูบคริส แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้คริสเข้าใจ จิตใจของเขากำลังสับสน ชานยอลคนหนึ่งกำลังด่าการกระทำของเขา คนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่เขาดันไปจูบเขาซะอย่างนั้น มันดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย แต่ชานยอลอีกคนกลับบอกว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คริสกับเขาเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ไม่ผิดที่เขาจะทำอย่างนั้น สองขั้วความคิดตีกันอยู่อย่างนั้น นานจนคริสทนไม่ไหวตั้งท่าจะเดินออกไป
“เอ่อ นี่ดูสิ!!! วันนี้อากาศดีนะ” ร่างสูงหันกลับมามองเป็นเชิงถามว่า อากาศดีแล้วมันทำไม
“เอ่อ คุณ คุณไม่ควรจะเศร้าในวันอากาศดีแบบนี้นะ เรา เราไปเดินเล่นกันมั้ย”
“อืม ไปสิ” ร่างสูงยิ้มบางๆให้
“คุณยิ้มแล้ว! ผมชอบเวลาคุณยิ้มนะ” ร่างโปร่งจับมือของเขา ก่อนจะลากให้เดินไปด้วยกัน.....
ชานยอลลากคริสให้มาหยุดยืนแถวบริเวณที่ชุมไปด้วยดอกไม้มากที่สุด ตากลมมองดอกไม้พวกนั้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะนั่งยองๆ มองดอกไม้ใกล้ๆ พร้อมกับก้มลงไปสูดกลิ่นหอมของพวกมัน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสแก้มเนียน ชานยอลหันไปมองดอกไม้ที่ร่างสูงยื่นมาให้ด้วยความแปลกใจ
“คุณคริส”
“ดอกหญ้านะ ฉันเห็นมันเหมือนนายเลยอยากให้”
“เหมือนผม?”
“บอบบางแต่แข็งแกร่ง”
“ผม น่ะหรอ ฮ่ะฮ่ะ ขอบคุณนะครับ” ชานยอลยิ้มก่อนจะรับดอกไม้มา แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองรับมันมาง่ายดาย โดยไม่ที่ไม่คิดจะปฎิเสธอะไรเลย
ชานยอลมองดอกไม้ในมือตัวเอง แค่ดอกไม้ ทำไมถึงต้องดีใจนะ ร่างโปร่งครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ สุดท้ายจึงหันกลับมาสนใจดอกไม้ตรงหน้าแทน ตากลมสบตาเข้ากับดอกกุหลาบสีแดงเข้ม ร่างโปร่งค่อยๆเอื้อมมือไปเด็ดมันขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้คริสที่ยืนห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“ผมให้” ร่างสูงรับดอกกุหลาบมาไว้ในมือ เขามองมันด้วยแววตาเศร้าสร้อยจนชานยอลใจหาย คิดว่าเขาไม่ชอบมัน
“ไม่ชอบหรอ”
“เปล่า หรอก แต่มันทำให้ฉันคิดถึงเรื่องในอดีต” ค่ำคืนทำพันธสัญญาที่สะพรั่งไปด้วยดอกกุหลาบหวนกลับเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง ความเศร้าเริ่มเกาะกินหัวใจช้าๆ ดอกไม้ดอกเดิม คนตรงหน้าก็คนคนเดิม หากแต่วันนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ไกลเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะเอื้อมมือถึง.....
ตาคมมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายหลาย ทั้งคิดถึง ทั้งรัก ทั้งเศร้าโศก ถ้าในวันนั้นเขารู้ว่าเวลาของตัวเองมันสั้นเสียขนาดนี้ เขาก็คงไม่ทำตัวเลวๆแบบนั้น คงจะเป็นคนดี คอยดูแลคนตรงหน้านี้ให้มีความสุข มาคิดได้ตอนนี้ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว......
ชานยอลพาคริสเดินเล่นในสวนไปเรื่อยๆ จนลมหนาวเริ่มพัดผ่านมามากขึ้นถึงได้ยอมกลับเข้าคฤหาสถ์ สาเหตที่ร่างโปร่งอยากจะพาร่างสูงเดินเล่นก็เพราะคิดว่ามันคงจะดีสำหรับคน ป่วยอย่างคริสที่วันๆเอาแต่นอนซมหมกตัวอยู่แต่ในห้อง หากแต่เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นตัดสินใจที่ผิด สายลมหนาวทำให้ความรุนแรงของพิษบาดแผลทวีคูณเพิ่มขึ้น ร่างสูงต้องอดทนกัดฟัน ข่มความเจ็บปวดไว้ในร่างกาย ไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ เพราะไม่อยากให้ห่วง ไม่อยากให้ทุกข์ใจ ชีวิตคนเลวๆอย่างเขามันไม่มีค่าพอให้เด็กที่จิตใจบริสุทธิ์อย่างชานยอลมา สนใจหรอก.......
หลังจากเข้ามาในคฤหาสถ์สักพัก ชานยอลก็บ่นหิวข้าว ร่างโปร่งมุ่งตรงไปที่ห้องครัว พยายามหาของง่ายๆในตู้เย็นมาทำอาหาร ตลอดเวลาที่เข้าครัวคริสก็จะยืนดูอยู่ที่ประตู ยิ้มบางๆให้เมื่อสบตากัน ช่วยหยิบของบ้างเมื่อชานยอลต้องการความช่วยเหลือ มีบ้างที่ร่างสูงจะชอบหายตัวแวบไปแวบมาระหว่างห้องน้ำกับห้องครัว ทีแรกชานยอลก็แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรออกไป แต่เขาจะรู้มั้ยนะ ว่าที่คริสหายไป เพราะเริ่มทนพิษบาดแผลไม่ไหว แอบไปไอในห้องน้ำ.....
เมื่อรู้สึกดีขึ้นคริสก็จะรีบกลับมาหาชานยอล ยืนดูต่อไปเรื่อยๆจนร่างโปร่งทำเสร็จ ยกจานอาหารเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารเรียบง่าย หน้าตาไม่ค่อยน่าทานเท่าไร แต่คริสก็ออกปากชมว่ามันดูดีกว่าที่เขาเคยลองทำ ร่างสูงตักเข้าปากอย่างไม่นึกลังเล ชานยอลถึงกับทำหน้าเหวอ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้ากินอาหารของเขา
“คุณกล้ากินมันได้ไงอะ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมว่ามันไม่น่าจะอร่อย” จะอร่อย ไม่อร่อย ก็อยากกิน เพราะนี่อาจเป็นมื้อสุดท้ายของเขาแล้ว…...
“ฉันอยากกิน ฉันคงไม่ได้กินฝีมือนายบ่อยนักหรอก” ร่างสูงยิ้มให้ก่อนจะตักอาหารเข้าปากไปอีกคำ
ชานยอลจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ร่างกายคริสต้องการเลือดมากที่สุด ไม่ใช่ข้าวผัดแสนธรรมดานี้
ทั้งคู่ทานอาหารกันไปด้วยสีหน้ามีความสุข ชานยอลเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วคริสเป็นคนอบอุ่น มีอารมณ์ขันบ้างบางที และที่สำคัญคริสเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก สังเกตที่ร่างสูงมักจะเล่าเรื่องตลกเล็กๆน้อยๆที่เขาเคยเจอมาในชีวิต ทุกเรื่องที่เล่ามาทำชานยอลหัวเราะได้เสมอ
“จริงหรอครับ คุณคริส โห ฮ่ะฮ่ะ”
“จริง” อย่างน้อยฉันก็ทำให้นายหัวเราะได้แล้วนะ ถึงมันจะช้าไปสักหน่อยก็เถอะ.....
“ความจริงคุณคริสก็เป็นคนอารมณ์ขันนะเนี่ย”
“นิดหน่อยน่ะ” แค่อยากจะให้นายจดจำฉันในด้านดีๆบ้างก็เท่านั้นเอง....
“ฮ่ะฮ่ะ ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
“กินเสร็จแล้ว ก็ขึ้น.....แค่ก” ร่างสูงรีบยกผ้าเช็ดปากขึ้นมาป้องปาก กลัวว่าชานยอลจะเห็นว่าเขาไอเป็นเลือด
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันแค่สำลัก” คริสโกหก ร่างสูงค่อยๆใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดคราบเลือดทั้งหมดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะซ่อนมันเอาไว้ที่เก้าอี้
“กินเสร็จแล้วก็ขึ้นบ้านกันเถอะ” คริสเอ่ยบอก รู้ว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
ทั้งสองขึ้นไปพักบนห้องของคริส ทันทีที่มาถึงร่างสูงก็ล้มตัวนอนกับเตียง ชานยอลผู้ไม่รู้อะไรเอ่ยแซวว่ากินอิ่มก็จะนอนเลยหรอ คริสแค่ยิ้มบางตอบกลับมา ร่างโปร่งหัวเราะคิกคักของตัวเองอยู่คนเดียว โดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่าใบหน้าของคริสซีดเซียวกว่าเดิมลงไปมาก.....
“หัวเราะอยู่นั่น ฉันจะขี้เกียจบ้างไม่ได้รึไง”
“ฮ่ะฮ่ะ ตลกออก คนอย่างคุณที่มีมาดเนียบจะมีนิสัยแบบนี้” ชานยอลพูดไปหัวเราะไป
“มันน่าตลกตรงไหน”
“เถอะน่า ก็ผมตลกของผม ผิดตรงไหน” คริสมองเสี้ยวหน้าของชานยอล ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ชานยอล”
“หื้อ”
“เปล่า แค่อยากเรียกเฉยๆ”
“เพี้ยน นี่ ผมไปเปิดหน้าต่างนะ ลมจะได้เข้า คุณจะได้สดชื่นบ้าง”
“อืม” สายลมหนาวค่อยๆพัดเข้ามาในห้อง สัมผัสผิวกายของร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียง นิ้วมือค่อยๆเย็นเยียบและซีดเซียว พิษจากบาดแผลยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ความเจ็บปวดของมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย
“เป็นไง สดชื่นขึ้นมั้ย” คริสพยักหน้าเบาๆ พิษมนตร์กีดกันเข้าเล่นงานร่างกายเขาเรื่อยๆ
“ดี ละ คุณจะได้สดชื่นขึ้น.....เฮ้ นี่คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” ชานยอลรีบถลาร่างเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าคริสตัวสั่น ริมฝีปากซีดเซียวจนเริ่มเขียว ผิวกายซีดขาวเสียจนน่ากลัว
“ฉัน ไม่ แค่ก แค่ก” เกินกว่าที่จะอดทน ร่างสูงไอออกมาเป็นเลือด
“คุณคริส!!!”
“ฉันไม่ เป็นไร”ยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย พร้อมกับยกมือขึ้นพยายามแสดงว่าตัวเองปกติดี
“แต่คุณไอเป็นเลือด”
“ฉัน แค่ก แค่ก” ร่างสูงไอออกมาเป็นลิ่มเลือดสีเข้มเกือบดำ
“คุณเป็นอะไร” หยาดน้ำใสคลอหน่วงที่ดวงตากลม เตรียมที่จะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ
“แค่ ขาด เลือด” ชานยอลรีบหาของมีคมมากรีดข้อมือตัวเอง แล้วยื่นให้ร่างสูงกิน
มีบางอย่างผิดไป มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา แต่เขาไม่สามารถตอบตัวเองได้เลยว่ามันคืออะไร ความทรงจำของเขาเหมือนถูกลบออกไปบางส่วน หาที่มาของเรื่องทั้งหมดไม่ได้ ร่างโปร่งนั่งครุ่นคิด พยายามจะนึกภาพความทรงจำ แต่ภาพเหตุการณืต่างๆในอดีตล้วนไม่มีคริส ไม่มีรอยมังกร ไม่มีอะไรเลยที่พอจะชี้ทางให้เขาเดินไปหาคำตอบของเรื่องนี้ได้ แล้วเขาจะไขความสงสัยในใจนี้ได้อย่างไร!!!
“มัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชานยอลถามตัวเอง หากแต่มันก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้ถามอีกสักพันครั้งเขาก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ ร่างโปร่งตัดสินใจเลิกพึ่งความทรงจำตัวเอง แล้วหันไปทบทวนว่าใครที่พอมีความทรงจำร่วมกับเขา ใครที่จะไขข้อข้องใจนี้ได้......
ตากลมเปร่งประกายเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรดีๆออก มือเรียวหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง สองขาเรียวพาร่างเจ้าของเดินออกมาห่างจากหน้าห้องคริสเล็กน้อย พอให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัยที่เสียงของเขาจะไม่ไปรับกวนการหลับของอีกคน
ร่างโปร่งยื่นจ้องเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจ้องสักพักก่อนจะกดโทรออก ต่อสายสักพักปลายสายก็กดรับ
“เซ ฮุน.....อยู่ไหน ว่างมั้ย พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะถาม” น้ำเสียงที่จริงจังผิดวิสัยปกติของชานยอล ทำให้ปลายสายขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนจะตอบกลับมา
“ว่า ไงพี่ ผมไคนะ ไอ้เซฮุนมันไปห้องน้ำ พี่มีอะไรหรอ” คยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ หันหน้ามามองร่างเข้ม ไคเลื่อนมือไปกดเปิดลำโพงให้ร่างเล็กได้ยินบทสนทนาด้วย
“ไค........”
“ครับพี่ มีอะไรหรอ ทะเลาะกับพี่คริสหรอ”
“เปล่า” สีหน้าทั้งสองเริ่มตึงเครียดขึ้นทีละน้อย ลางสังหรณ์มันบอกถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังจะคลืบคลานเข้ามา......
“แล้ว มีอะไรหรอพี่” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยตอบ ขณะนั้นเองเซฮุนกับลู่ฮานก็เดินเข้ามาพอดี
“ไค พี่กับคุณคริสเป็นอะไรกัน รอยมังกรที่หลังนั่นคืออะไร ไคพี่ไม่เข้าใจ พี่งงไปหมดแล้ว เหมือน........พี่ลืมเรื่องบางอย่างไปหมด แต่หลักฐานมันยังเหลือไว้เตือนให้พี่นึกถึงมันอยู่ แต่พี่จำไม่ได้ไค พี่ไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่” ทั้งสี่หันมามองหน้ากัน ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไง พวกเขารู้ รู้ว่าสักวันหนึ่งชานยอลอาจเจอร่องรอยความทรงจำเกี่ยวกับคริส แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วถึงขนาดนี้ แต่นั่นไม่ย้ำแย่ไปกว่าการที่พวกเขา..........ยังไม่ได้หาคำตอบให้กับคำถาม ของชานยอลเลย สักข้อ!!!
ไคนิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ยตอบอะไร ในหัวรีบคิดหาคำตอบที่มีเหตผลพอจะไขความข้องใจของชานยอลได้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งตัน เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี ร่างเข้มหันไปขอความช่วยเหลือจากลู่ฮานที่นั่งหน้าเครียด ร่างเล็กหลบสายตา ไม่ยอมมองหน้า เขาจึงหันไปพึ่งเซฮุนกับคยองซูแทน แต่ทั้งคู่ก็ส่ายศรีษะหมดหนทางจะช่วยเหลือ สุดท้ายเขาจึงตกที่นั่งลำบากต้องเป็นตัวตอบคำถามชานยอลเสียเอง.....
“ไค ไค อยุ่มั้ย”
“อยู่ๆ คือ…...พี่ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตอบยังไง คือพี่กับพี่คริส”
“นาย พูดแบบนี้แสดงว่าพี่กับเขาต้องเป็นอะไรมากกว่าเจ้าของบ้านกับแขกใช่มั้ย” ร่างเข้มหลับตา จิ๊ย์ปากขัดใจ โมโหที่ตัวเองคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะแก้สถาณการณ์ยังไง
“จะว่างั้นมันก็ คือ ก็ใช่”
“แล้วทำไมพี่จำอะไรไม่ได้เลย!!! ไคพี่ไม่ป่วยเป็นความจำเสื่อม พี่จำทุกอย่างได้หมดนะ แต่ทำไม ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องเขาเลยไค”
“พี่ ผม ผมไม่ตอบได้มั้ย”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันใคร พี่ไม่เข้าใจ”
“........................คือ บ้าจริง! ผม” ร่างเข้มนิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยตอบอะไรกลับไปนานจนชานยอลเริ่มทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียก่อน
“อะไรไค”
“คือ…...”
“ชานยอล ฉันจะเล่าเรื่องให้ฟังก็ได้ แต่แค่นายตอบคำถามฉันมาแค่ข้อเดียว” ลู่ฮานพูดแทรกขึ้นมา ช่วยกู้สถาณการณ์ให้ไค
“ครับ?”
“นายรักคริสมั้ย”
“เกี่ยวอะไรกัน”
“ตอบ มา แค่รัก หรือไม่รัก แค่นั้น” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปสักพัก เขาถามคำถามกับตัวเองซ้ำ ว่ารักคริสมั้ย.......คำตอบ คือ ไม่
รู้ เขาคงรักคริสไม่ได้เพราะเพิ่งเคยรู้จักกัน หากแต่เขากลับรู้สึกลึกๆว่าห่วงใยคนคนนี้เกินกว่าที่แขกจะมีให้เจ้าของบ้าน สองขั้วความคิดตีกันให้วุ่นภายในจิตใจของเขา ไม่นานนักมันก็สงบลง แล้วเขาก็เอ่ยตอบคำตอบในใจออกไป.....
“ผมไม่รักคุณคริส” พูดช้า ฟังชัดถ้อยชัดคำ
“งั้น นายก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องที่ผ่านมาหรอก ปล่อยให้เวลาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปเถอะชานยอล” จะมีความจำเป็นอะไรที่ชานยอลจะต้องรู้เรื่องราวทั้งหมด ในเมื่อตอนนี้แม้แต่เศษเสี้ยวของความรักที่มีให้คริสยังไม่หลงเหลือในจิตใจ ต่อให้รู้ไป........มันก็เท่านั้น
มันก็แค่ความทรงจำไร้ค่า ลบไปซะ
ก็ไม่เป็นไร
ก็ไม่เป็นไร
“………ทำ ไม”
“ไม่ ต้องสงสัยมันหรอกชานยอล แล้วนี่คริสเป็นยังไงบ้าง นายไม่ได้ปล่อยให้เขาตายคากองเลือดไปแล้วหรอกนะ” ร่างเล็กถามตามที่เขากลัว คำตอบของชานยอลเมื่อครู่เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าตอนนี้ชานยอลคงเกลี ยดคริสไปแล้ว…...ไอ้จะให้มาดูแล นี่คงเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อไปสักหน่อย
“ปะเปล่า” ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธของลู่ฮาน แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโกรธ แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถามอะไรอีกแล้วในตอนนี้
“..........ก็ ดี เฮ้อออ ฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากดูแลเขา แต่ช่วยฝืนใจตัวเองสักพักหนึ่งได้มั้ย คริสกำลังอ่อนแอมากๆ ฉันไม่อยากให้ไอ้ปีศาจแวมไพร์นั่นตายนะ”
“ตายหรอ”
“ใช่! นายไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวฉันจะรีบกลับ ระหว่างนั้นก็ดูแลเขาให้ที แค่นี้นะ” ร่างเล็กกระแทกนิ้วกดตัดสาย
“ลู่ฮาน จะโมโหอะไรเนี่ย”
“นายรู้มั้ยว่าถ้าคริสได้ยินประโยคนั้น จะเกิดอะไรขึ้น”
“เขาคงไม่ตรอมใจตายหรอกน่า ปานนี้พี่ชานยอลไม่ช็อคไปแล้วหรอโดนเหวี่ยงใส่เนี่ย”
“ใช่!! เขาจะตรอมใจตาย”
“ห๊ะ!!”
“นาย ไม่เห็นรึไงว่าแค่นี้คริสยังปล่อยตัวเองให้ร่างกายแย่ขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าไม่รักแล้ว จะขนาดไหน!!!” ทั้งสี่ตกอยู่ในความเงียบ จริงอย่างที่ลู่ฮานพูด ถึงพวกเขาจะไม่ได้คลุกคลีอยู่กับคริส แต่ก็พอจับความผิดปกติของร่างกายคริสได้บ้าง......
แล้วถ้าเมื่อกี้คริสได้ยินคำพูดของชานยอล......อะไรจะเกิดขึ้น
“แต่พันธะนั้น.....ถ้าคุณคริสตายพี่ชานยอลก็จะตายไม่ใช่หรอ”
“................... คริสไม่มีทางให้ชานยอลตายตามไปด้วยหรอก”ร่างเล็กพูดเสียงอ่อนลง ตากวางหันไปสบตากับไค ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เขาจะทำลายพันธะก่อนที่ตัวเองจะตาย”
----------------------------------------
ร่าง โปร่งยืนนิ่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น ประโยคที่ลู่ฮานพูดดังซ้ำไปซ้ำมาในหัว “คริสกำลังอ่อนแอมากๆ ฉันไม่อยากให้ไอ้ปีศาจแวมไพร์นั่นตายนะ”
ตาย......ตายหรอ
ก้อนเนื้อที่หน้าอกด้านซ้ายเจ็บแปลบแปลกๆ รู้สึกหน่วงๆในจิตใจ ไม่รู้ทำไมพอคิดว่าวันหนึ่งคริสจะหายไปจากโลกนี้ หัวใจของเขาถึงได้เจ็บปวดถึงขนาดนี้......
ชานยอลทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง สองมือยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง เขาไม่อยากให้คริสตาย ไม่อยากให้คนคนนั้นหายไปจากโลกนี้........
ทั้งๆที่ตอนอยู่ด้วยกันก็รำคาญ ทั้งๆที่เกลียดแสนเกลียด ไม่คิดแม้แต่จะแตะต้องด้วยซ้ำ แต่พอคิด......
ว่าถ้าวันหนึ่งตื่นมาแล้วไม่เจอหน้าตัวอันตรายคนนั้น.....
ถ้าวันหนึ่งไม่ได้ยินเสียงที่น่ารำคาญนั้น.....
ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนทำนิสัยขัดหูขัดตาใส่แบบนั้น.....
บางครั้ง.....สิ่งที่เรารำคาญมากที่สุด
อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราไขว่คว้าหามากที่สุด
เมื่อไม่มีเขาอีกแล้ว
อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราไขว่คว้าหามากที่สุด
เมื่อไม่มีเขาอีกแล้ว
ชานยอลนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ ร่างสูงลอบมองชานยอลผ่านช่องบานประตูที่ถูกแง้มเปิดออกเล็กน้อย.....
ขายาวเดินออกจากห้องออกมาช้าๆ แม้เรี่ยวแรงของเขาลดน้อยถอยลงไปทุกที แต่เขาก็ปล่อยให้ชานยอลอยู่คนเดียวไม่ได้ มือใหญ่ค่อยๆยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ชานยอล ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูง แต่ก็ไม่ยอมรับของไปเสียที
“ร้องไห้ ทำไม” คริสถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มือใหญ่ค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้อีกฝ่าย ระวังไม่ให้นิ้วของเขาสัมผัสกับผิวแก้มเนียน กลัวว่าจะได้รอยแผลอีก
ชานยอลนั่งนิ่งให้คริสเช็ดน้ำตา ตากลมมองใบหน้าคนตรงหน้านิ่ง คิดว่าถ้าวันหนึ่งคนคนนี้หายไปเขาจะทำยังไง.......
“ร้องไห้เป็นเด็กเลย ถ้าร้องบ่อยนายอาจจะตาบอดได้นะ”
“ร้อง บ่อยงั้นหรอ........ผมกับคุณไม่ใช่แค่แขกกับเจ้าของบ้านใช่มั้ย” คริสนิ่งเงียบไป ความเศร้าแวบเข้ามาในดวงตาคมก่อนจะถูกสลัดออกไปด้วยความความอบอุ่น คริสหันกลับมามองชานยอล ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนให้
“เราเป็นแค่แขกกับเจ้าของบ้าน......อย่าคิดมากเลย”
“ผม ถ้าวันหนึ่งคุณ.....” มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มกร้านเบาๆ ดวงตากลมมองคนตรงหน้าด้วยความรัก ผิดจากเมื่อก่อนที่เขามักจะมองด้วยสายตาเย็นชา
“ตาย งั้นหรอ........ฉันไม่ปล่อยให้นายตายไปด้วยหรอก”คริสยิ้มออกมา ราวกับคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องตลก ร่างโปร่งโผเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มแรง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำทำไม แต่เขาทนไม่ได้ถ้าคนคนนี้หายไปจากโลกนี้.....
มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้น อยากจะกอดปลอบคนในอ้อมกอด แต่เขา.......ก็ทำไม่ได้
“ขอ โทษนะ ที่กอดตอบไม่ได้” ชานยอลยิ่งกอดอีกคนแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่อยากให้คนคนนี้ตายเลย ไม่อยากให้ไปไหน ไม่อยากให้จากกันเลย.....
คริสปล่อยให้ชานยอลกอดอยู่อย่างนั้น นานจนเห็นว่าควรจะพาชานยอลไปพักในห้องได้แล้ว ร่างสูงขยับตัวออกจากอ้อมกอดชานยอลช้าๆ
“ไปพักในห้องเถอะ” ร่างโปร่งพยักหน้าช้าๆก่อนจะเดินตามคริสเข้าห้องไป
ร่างสูงเอ่ยให้ชานยอลไปนอนพักที่เตียง ทีแรกร่างโปร่งก็ไม่ยอม แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องยอมมานอนอยู่ดี ชานยอลนอนเล่น มองหน้าคริสไปสักพัก จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป....
คริสมองใบหน้าคนที่หลับใหลอยู่บนเตียงด้วยแววตาเศร้าหมอง ร่างสูงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เคยให้ชานยอลมาไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆลุกเดินออกจากห้องไป ขายาวพาร่างตัวเองเข้ามาในห้องสมุด เลือกนั่งเก้าอี้ที่อยู่ริมในสุด ก่อนจะหลับตานิ่ง นึกย้อนไปถึงคำพูดที่เขาบังเอิญไปได้ยินเข้า......
“ผมไม่รักคุณคริส” สิ่งที่กลัวที่สุด......มันเกิดขึ้นแล้ว....
“ผมไม่รักคุณคริส”
“ผมไม่รักคุณคริส”
“ผมไม่รักคุณคริส”
คำพูดเดิมๆดังซ้ำๆในหัวสมองของเขา
ทำไมคำว่าไม่รักของนายมันถึงได้พูดง่ายจังนะชานยอล
ขนาดฉันยังไม่เคยพูดมันออกไปเลย......
มือใหญ่เปิดหนังสือออกช้าๆ พร้อมกับอ่านข้อความนึงซ้ำๆ.....
//Q : ทำไมพี่ถึงรักไอ้คุณคริสนั่น
A: ไม่รู้ รู้แค่ว่ารัก//
“นายคงลืมไปแล้วว่านายรักใคร” คริสยิ้มเศร้า ไล่นิ้วไปตามตัวหนังสือที่ชานยอลเขียน
แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้นะ ว่าไม่ว่าผมจะจำคุณได้หรือไม่ได้ ยังไงผมก็รักคุณอยู่ดี ผมรักคุณนะคุณคริส.....
“………….งั้นหรอ นายไม่ได้รักฉันแล้ว” ตาคมเลื่อนมาดูรูปที่ชานยอลวาด สัญลักษณ์มังกรของเขา....ที่ใต้ภาพเขียนคำว่า
Chanyeol’s Kris
“นาย จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันเป็นของฉัน” คริสยิ้มทั้งน้ำตา ร่างสูงหลับตานิ่งปล่อยให้หยาดน้ำใสอาบสองแก้ม มือใหญ่กำหนังสือในมือแน่นจนข้อนิ้วซีดเซียว
ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ชานยอลบอกไม่รักเขา แล้วก็มากอดเขา......ร่างโปร่งจะรู้มั้ยว่าที่ทำมันทำร้ายจิตใจเขาแค่ ไหน......
แม้ใจจะเจ็บปวดแค่ไหนแต่เขาก็ต้องฝืนทนกล้ำกลืนมันเอาไว้ในใจ แล้วหันไปสนใจอีกคนที่นั่งร้องไห้อยู่นอกห้อง ไม่อยากจะเห็นน้ำตาคนคนนี้อีกแล้ว ความเศร้าของคนนี้ควรสิ้นสุดเสียที เขาแสร้งทำเป็นคนแข็งแกร่ง เดินไปปลอบชานยอล
จะ รู้มั้ยว่าทุกคำปลอบของเขามันมีความโศกเศร้าเสียใจอยู่ในนั้นด้วย จะรู้มั้ยว่าทุกรอยยิ้มที่ยิ้มให้มันแฝงไปด้วยหยาดน้ำตาของเขา จะรู้มั้ยว่ามือของเขาสั่นเทาแค่ไหนตอนที่เช็ดน้ำตาให้ ชานยอลจะรู้มั้ย.....
คริสปล่อยให้น้ำตาชำระล้างบาดแผลในจิตใจอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาที่ร้องไห้ คำพูดของชานยอลก็ดังซ้ำๆขึ้นในหัวสมอง
“ผมไม่รักคุณคริส” คำไม่กี่คำแต่มีอิทธิพลต่อหัวใจอย่างมหาศาล....
หมดแล้ว.......พลังใจ
ในการมีชีวิตอยู่
ในการมีชีวิตอยู่
ระหว่างที่ร้องไห้ รสชาติคาวๆในลำคอก็เข้ามารบกวนสติของคริส ร่างสูงแสยะยิ้มให้กับตัวเอง รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง.....
“แค่ก แค่ก” คริสไอจนตัวโยน มือใหญ่ยกขึ้นป้องปากตัวเอง ก่อนจะค่อยๆแบมือออก....
เลือดสีเข้มปรากฎบนฝ่ามือ
หลังจากวันที่ชานยอลตัดขาดออกจากชีวิตของเขา เขาก็เริ่มไม่มีพลังใจในการอยู่ต่อ เขาไม่ยอมรักษา ไม่ยอมกินเลือด ทำให้พิษจากบาดแผลเริ่มเรื้อรังไปเรื่อยๆ แต่พอวันนี้ วันที่ชานยอลเข้ามาดูแลเขา เขาเริ่มมีหวังว่าชานยอลอาจกลับมา คริสตัดสินใจว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะหายารักษาอาการของตัวเอง......
แต่ความฝันทั้งหมดมันก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินคำพูดนั้นของชานยอล....
“ผมไม่รักคุณคริส”
ต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ในเมื่อแรงใจสุดท้ายมันไม่มีอีกแล้ว....
คริสยกมือใหญ่ขึ้นดูช้าๆ หัวเราะให้ตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นว่าสีเลือดเริ่มผิดเพี้ยนไป ร่างกายนี้มันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ เวลาของเขาคงลดน้อยลงทุกทีๆ แล้ว ช่วงเวลามีค่าที่เหลืออยู่ เขาจะพยายามทำให้ชานยอลมีความสุขมากที่สุด ชดเชยในสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดไป....
มือใหญ่เปิดหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้งตั้งแต่ต้น บางคำพูดที่ทำให้คิดถึงคนเขียนมากเขาก็จะไล่นิ้วไปตามตัวอักษร หยดเลือดบนฝ่ามือหยดลงบนหน้าหนังสือ ร่างสูงรีบลุกขึ้น หาทิชชู่มาซับเลือด ด้วยความที่เคลื่อนไหวเร็วจนเกินไปทำให้เกิดอาการหน้ามืด คริสรีบฉวยขอบโต๊ะเป็นที่ยึด ร่างสูงเหยียดยิ้มให้ตัวเอง ไม่นึกว่าร่างกายจะอ่อนแอถึงขนาดนี้ เขาทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้นสักพัก รอให้อาการดีขึ้น ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตาคมมองหาทิชชู่ไปรอบๆห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ สุดท้ายเลยต้องใช้มือตัวเองเช็ดแทน
คราบเลือดเปื้อนเป็นทางที่ริมหน้ากระดาษ ร่างสูงหัวเสียเล็กน้อยที่เขาทำหนังสือเล่มสำคัญเล่มนี้เลอะ นิ้วยาวเปิดหน้าต่อไปอ่านแทน ทุกหน้าคริสมักจะอ่านซ้ำๆอย่างน้อยสักสองถึงสามรอบ ปากหนามักจะยิ้มทุกครั้งที่เห็นรูปวาดบ๊องๆของชานยอล
.... เขาจะได้ยิ้มเพราะมันอีกกี่ครั้งกันนะ.....
นิ้วยาวเลื่อนไปลูบลายเส้นต่างๆช้าๆ ตลอดเวลาที่มองมันร่างสูงก็ยิ้มอยู่ตลอด ครั้งหนึ่งชานยอลเคยรักคนเลวๆอย่างเขา.....
ร่างสูงหยิบดินสอที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะวาดรูปต่อจากชานยอล เผื่อว่าในวันที่เขาตายไปจากโลกนี้แล้วชานยอลจะได้มาเห็น แล้วรู้ว่าความจริงเขาเองก็รักชานยอลไม่แพ้กัน.....
คริสวาดรูปอย่างตั้งใจ เขาพยายามวาดออกมาให้ดูสวยและน่ารักที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลก็เขาขัดขวางเสียก่อน ร่างสูงชะงักมือ กัดปากตัวเองแน่น ข่มความทรมานเอาไว้ ก่อนจะลงดินสอวาดรูปต่อ มือของเขาสั่นเทา ลายเส้นเริ่มไม่นิ่ง แต่คริสก็พยายามฝืนร่างกายตัวเองวาดจนเสร็จ
รูปวาดเล็กๆ ที่ใช้หัวใจวาด
ตาคมมองรูปที่ตัวเองวาดด้วยความรู้สึกไม่พอใจเท่าไร มันยังไม่สวยพอ ร่างสูงลบ แล้วก็วาดใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำๆจนกระดาเริ่มยุ่ย วาดแล้วดู วาดแล้วดู จนกว่าตัวเองจะพอใจ....
สิ่งสุดท้ายที่อยากให้
....มันต้องดีที่สุด.....
....มันต้องดีที่สุด.....
เมื่อวาดเสร็จคริสก็ค่อยๆเขียนข้อความใต้ภาพ นิ้วยาวหยุดชะงักบางทีที่พิษบาดแผลเข้าเล่นงาน แต่สักพักหนึ่งเขาก็กลับมาเขียนต่อ ปากหนาคลี่ยิ้มบางๆเมื่อเขียนข้อความครบ
Me & My heart
Me อยู่ใต้รูปตัวเอง My heartอยู่ใต้รูปชานยอล......
Me อยู่ใต้รูปตัวเอง My heartอยู่ใต้รูปชานยอล......
“เผื่อ นายมาเห็น นายจะได้รู้นะว่า.......แค่ก แค่ก” คริสไอออกมาเป็นเลือด หยดเลือดบางส่วนกระเด็นเปรอะรูปที่วาดไปจุดๆ ร่างสูงรีบใช้มือเช็ดออกทันที สีหน้าหมองลงทันทีที่รูปวาดของเขาเปื้อน คริสหยิบดินสอขึ้นมาเขียนข้อความบางอย่างลงไป
ขอโทษ ที่ทำมันเลอะ
คริสนั่งนิ่งๆสักพัก รอให้ร่างกายกลับมาปกติ ไม่หอบหายใจเร็วเหมือนอย่างตอนนี้ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น ร่างสูงก็ค่อยๆพูดต่อ
“นายจะได้รู้นะว่าฉันก็รักนาย” ปากหนาคลี่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อนึกถึงใครอีกคน
นิ้วยาวเปิดหน้าถัดไป เมื่อไรที่เจอข้อความของชานยอลคริสก็จะเขียนข้อความตอบกลับเสมอ เลขหน้าที่เคยมีแต่ชื่อของเขา ตอนนี้ก็มีชื่อของชานยอลอยู่ข้างๆด้วย
“นาย คงไม่โกรธนะ ที่เขียนชื่อนายไว้ข้างๆฉัน” คริสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล กลัวว่าชานยอลจะโกรธที่เขาเขียนชื่อร่างโปร่งอยู่ข้างๆชื่อเขา.....
คนไม่รัก
.....เขาก็คงไม่อยากอยู่ใกล้.....
.....เขาก็คงไม่อยากอยู่ใกล้.....
ร่างสูงค่อยๆเขียนหนังสือต่อไปเรื่อยๆจนจบ ตลอดเวลาที่เขียน เขาก็มักจะร้องไห้ไป ยิ้มไป ยิ้มในความน่ารักของชานยอล และร้องไห้ที่ตัวเองอาจได้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้อีกไม่นานนัก....
มือใหญ่ปิดหนังสือ วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูวิวที่หน้าต่าง ตาคมสะดุดเข้ากับร่างของชานยอล ร่างสูงรีบเดินลงไปข้างล่างทันที
คริสเดินตามหลังชานยอลมาเงียบๆ ไม่ส่งเสียงทักให้อีกฝ่ายรู้การมาเยือนของตน ตาคมมองแผ่นหลังบางตรงหน้าด้วยความรักใคร่ นึกอยากจะเข้าไปสวมกอดใจแทบขาด แต่เขาก็ทำไม่ได้
คริสเดินตามชานยอลไปได้สักพัก ร่างโปร่งก็เริ่มรู้สึกตัว หันหน้ามาเผชิญหน้ากับเขา ตากลมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา ชานยอลรีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะยื่นมือมาจับแขนข้างที่เป็นแผลของเขา
“คุณหายไปไหนมา”
“ไปห้องสมุดมา”
“คุณป่วย ทำไมไม่อยู่ในห้อง”
“.........ห่วงหรอ ไม่ต้องหรอก” คริสยิ้มอบอุ่นให้ หากแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชานยอลต้องการ
“ทำไมพูดแบบนี้”
จะให้พูดยังไง ในเมื่อรู้
.......ว่าเขาไม่ได้ห่วงเราจริงๆ.......
.......ว่าเขาไม่ได้ห่วงเราจริงๆ.......
“แล้วนี่ตื่นนานรึยัง ทำไมมาอยู่นี่”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ก็....ดี”
“หรอ แต่ทำไมปากคุณซีดจัง” นิ้วเรียวชี้ริมฝีปากอีกคน ก่อนจะเอื้อมไปแตะสัมผัสมันเบาๆ
“ฉัน ไม่....”
“ถ้าจะโกหก ก็อย่าตอบดีกว่า”
“ขอโทษ…...”ความเศร้าเจือในแววตาอีกฝ่าย คริสรีบเสตามองไปทางอื่นทันทีเมื่อชานยอลหันมามองหน้า
“…..... เป็นอะไรไป” ไม่รู้ทำไม แค่คนคนนี้เศร้า หัวใจของเขาก็ว้าวุ่นแล้ว ชานยอลเอียงหน้า พยายามจะมองหน้าอีกฝ่าย แต่คริสก็หันหลบไม่ยอมให้อีกคนมอง
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เดินเล่นกันเถอะ” ร่างสูงยิ้มบางๆให้ ก่อนจะออกเดินนำหน้าไป
“เดี๋ยว รอด้วย” ชานยอลรั้งมืออีกฝ่ายเอาไว้ ร่างสูงหันหลังกลับมามองมือเรียวที่จับข้อมือของเขาด้วยแววตาเศร้า
รู้มั้ยว่าทำแบบนี้ มันสบสน
“จับ ไม่ได้หรอ”
“หืม ปะ เปล่าหรอก จับได้สิ” คริสแสร้งยิ้มให้ หากแต่ดวงตาก็ไม่ยอมสบกับชานยอลอยู่ดี ร่างโปร่งยื่นมือไปประคองใบหน้าอีกฝ่าย ให้หันมามองตนช้าๆ
“คุณ เป็นอะไร”
“เปล่า” ร่างโปร่งพยายามสบตาอีกฝ่าย นิ้วเรียวลูบไล้แก้มกร้านอีกคนเบาๆ ไล่ต่ำลงมาจนถึงริมฝีปากสีซีด
“เจ็บแผลหรอ”
“เปล่า”
“คุณ กำลังเศร้า” คริสเผลอสบตากับชานยอล แปลกใจไม่น้อยที่เห็นความห่วงใยในดวงตากลมนั้น มือเรียวค่อยๆยกขึ้นมาลูบแก้มกร้านเบาๆ ราวกับต้องการจะปลอบให้เขาหายเศร้า แต่ชานยอลจะรู้มั้ยว่าการทำแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาเจ็บ....
ไม่รักแล้วจะห่วงทำไม
ร่างโปร่งค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้เสียจนปลายจมูกทั้งสองสัมผัสกัน ปากอิ่มเม้มกลีบปากของเขาเบาๆสองสามทีก่อนจะเอ่ย
“อย่า เศร้า” เปลือกตาหนาหลับตาลงช้าๆ แม้จะเจ็บ แต่เขาก็อยากจะซึมซับสัมผัสทุกๆอย่างของคนคนนี้ เพราะอีกไม่นาน.....เวลาของเขาก็คงหมดลง
ปากอิ่มค่อยๆทามทับลงมา สัมผัสที่บางเบาแต่อ่อนโยนชะโลมหัวใจของคริสช้าๆ ร่างสูงยืนนิ่งปล่อยให้ชานยอลได้จูบเขาอยู่อย่างนั้น จนร่างโปร่งเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“ขะ ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจ” คริสยิ้มเศร้า
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือ........” เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบว่าอย่างไรดี เขาไม่ได้รู้สึกแย่ที่จูบคริส แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้คริสเข้าใจ จิตใจของเขากำลังสับสน ชานยอลคนหนึ่งกำลังด่าการกระทำของเขา คนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่เขาดันไปจูบเขาซะอย่างนั้น มันดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย แต่ชานยอลอีกคนกลับบอกว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คริสกับเขาเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ไม่ผิดที่เขาจะทำอย่างนั้น สองขั้วความคิดตีกันอยู่อย่างนั้น นานจนคริสทนไม่ไหวตั้งท่าจะเดินออกไป
“เอ่อ นี่ดูสิ!!! วันนี้อากาศดีนะ” ร่างสูงหันกลับมามองเป็นเชิงถามว่า อากาศดีแล้วมันทำไม
“เอ่อ คุณ คุณไม่ควรจะเศร้าในวันอากาศดีแบบนี้นะ เรา เราไปเดินเล่นกันมั้ย”
“อืม ไปสิ” ร่างสูงยิ้มบางๆให้
“คุณยิ้มแล้ว! ผมชอบเวลาคุณยิ้มนะ” ร่างโปร่งจับมือของเขา ก่อนจะลากให้เดินไปด้วยกัน.....
ช่วยแกล้งรักฉันไปนานๆนะ......ชานยอล
ชานยอลลากคริสให้มาหยุดยืนแถวบริเวณที่ชุมไปด้วยดอกไม้มากที่สุด ตากลมมองดอกไม้พวกนั้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะนั่งยองๆ มองดอกไม้ใกล้ๆ พร้อมกับก้มลงไปสูดกลิ่นหอมของพวกมัน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสแก้มเนียน ชานยอลหันไปมองดอกไม้ที่ร่างสูงยื่นมาให้ด้วยความแปลกใจ
“คุณคริส”
“ดอกหญ้านะ ฉันเห็นมันเหมือนนายเลยอยากให้”
“เหมือนผม?”
“บอบบางแต่แข็งแกร่ง”
“ผม น่ะหรอ ฮ่ะฮ่ะ ขอบคุณนะครับ” ชานยอลยิ้มก่อนจะรับดอกไม้มา แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองรับมันมาง่ายดาย โดยไม่ที่ไม่คิดจะปฎิเสธอะไรเลย
ชานยอลมองดอกไม้ในมือตัวเอง แค่ดอกไม้ ทำไมถึงต้องดีใจนะ ร่างโปร่งครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ สุดท้ายจึงหันกลับมาสนใจดอกไม้ตรงหน้าแทน ตากลมสบตาเข้ากับดอกกุหลาบสีแดงเข้ม ร่างโปร่งค่อยๆเอื้อมมือไปเด็ดมันขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้คริสที่ยืนห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“ผมให้” ร่างสูงรับดอกกุหลาบมาไว้ในมือ เขามองมันด้วยแววตาเศร้าสร้อยจนชานยอลใจหาย คิดว่าเขาไม่ชอบมัน
“ไม่ชอบหรอ”
“เปล่า หรอก แต่มันทำให้ฉันคิดถึงเรื่องในอดีต” ค่ำคืนทำพันธสัญญาที่สะพรั่งไปด้วยดอกกุหลาบหวนกลับเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง ความเศร้าเริ่มเกาะกินหัวใจช้าๆ ดอกไม้ดอกเดิม คนตรงหน้าก็คนคนเดิม หากแต่วันนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ไกลเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะเอื้อมมือถึง.....
ตาคมมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายหลาย ทั้งคิดถึง ทั้งรัก ทั้งเศร้าโศก ถ้าในวันนั้นเขารู้ว่าเวลาของตัวเองมันสั้นเสียขนาดนี้ เขาก็คงไม่ทำตัวเลวๆแบบนั้น คงจะเป็นคนดี คอยดูแลคนตรงหน้านี้ให้มีความสุข มาคิดได้ตอนนี้ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว......
ไม่มีเมื่อวานให้หวนกลับ
ไม่มีพรุ่งนี้ให้เดินต่อ
.....เวลาของเขามีเพียงวันนี้เท่านั้น.....
ไม่มีพรุ่งนี้ให้เดินต่อ
.....เวลาของเขามีเพียงวันนี้เท่านั้น.....
ชานยอลพาคริสเดินเล่นในสวนไปเรื่อยๆ จนลมหนาวเริ่มพัดผ่านมามากขึ้นถึงได้ยอมกลับเข้าคฤหาสถ์ สาเหตที่ร่างโปร่งอยากจะพาร่างสูงเดินเล่นก็เพราะคิดว่ามันคงจะดีสำหรับคน ป่วยอย่างคริสที่วันๆเอาแต่นอนซมหมกตัวอยู่แต่ในห้อง หากแต่เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นตัดสินใจที่ผิด สายลมหนาวทำให้ความรุนแรงของพิษบาดแผลทวีคูณเพิ่มขึ้น ร่างสูงต้องอดทนกัดฟัน ข่มความเจ็บปวดไว้ในร่างกาย ไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ เพราะไม่อยากให้ห่วง ไม่อยากให้ทุกข์ใจ ชีวิตคนเลวๆอย่างเขามันไม่มีค่าพอให้เด็กที่จิตใจบริสุทธิ์อย่างชานยอลมา สนใจหรอก.......
หลังจากเข้ามาในคฤหาสถ์สักพัก ชานยอลก็บ่นหิวข้าว ร่างโปร่งมุ่งตรงไปที่ห้องครัว พยายามหาของง่ายๆในตู้เย็นมาทำอาหาร ตลอดเวลาที่เข้าครัวคริสก็จะยืนดูอยู่ที่ประตู ยิ้มบางๆให้เมื่อสบตากัน ช่วยหยิบของบ้างเมื่อชานยอลต้องการความช่วยเหลือ มีบ้างที่ร่างสูงจะชอบหายตัวแวบไปแวบมาระหว่างห้องน้ำกับห้องครัว ทีแรกชานยอลก็แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรออกไป แต่เขาจะรู้มั้ยนะ ว่าที่คริสหายไป เพราะเริ่มทนพิษบาดแผลไม่ไหว แอบไปไอในห้องน้ำ.....
เมื่อรู้สึกดีขึ้นคริสก็จะรีบกลับมาหาชานยอล ยืนดูต่อไปเรื่อยๆจนร่างโปร่งทำเสร็จ ยกจานอาหารเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารเรียบง่าย หน้าตาไม่ค่อยน่าทานเท่าไร แต่คริสก็ออกปากชมว่ามันดูดีกว่าที่เขาเคยลองทำ ร่างสูงตักเข้าปากอย่างไม่นึกลังเล ชานยอลถึงกับทำหน้าเหวอ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้ากินอาหารของเขา
“คุณกล้ากินมันได้ไงอะ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมว่ามันไม่น่าจะอร่อย” จะอร่อย ไม่อร่อย ก็อยากกิน เพราะนี่อาจเป็นมื้อสุดท้ายของเขาแล้ว…...
“ฉันอยากกิน ฉันคงไม่ได้กินฝีมือนายบ่อยนักหรอก” ร่างสูงยิ้มให้ก่อนจะตักอาหารเข้าปากไปอีกคำ
ชานยอลจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ร่างกายคริสต้องการเลือดมากที่สุด ไม่ใช่ข้าวผัดแสนธรรมดานี้
ทั้งคู่ทานอาหารกันไปด้วยสีหน้ามีความสุข ชานยอลเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วคริสเป็นคนอบอุ่น มีอารมณ์ขันบ้างบางที และที่สำคัญคริสเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก สังเกตที่ร่างสูงมักจะเล่าเรื่องตลกเล็กๆน้อยๆที่เขาเคยเจอมาในชีวิต ทุกเรื่องที่เล่ามาทำชานยอลหัวเราะได้เสมอ
“จริงหรอครับ คุณคริส โห ฮ่ะฮ่ะ”
“จริง” อย่างน้อยฉันก็ทำให้นายหัวเราะได้แล้วนะ ถึงมันจะช้าไปสักหน่อยก็เถอะ.....
“ความจริงคุณคริสก็เป็นคนอารมณ์ขันนะเนี่ย”
“นิดหน่อยน่ะ” แค่อยากจะให้นายจดจำฉันในด้านดีๆบ้างก็เท่านั้นเอง....
“ฮ่ะฮ่ะ ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
“กินเสร็จแล้ว ก็ขึ้น.....แค่ก” ร่างสูงรีบยกผ้าเช็ดปากขึ้นมาป้องปาก กลัวว่าชานยอลจะเห็นว่าเขาไอเป็นเลือด
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันแค่สำลัก” คริสโกหก ร่างสูงค่อยๆใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดคราบเลือดทั้งหมดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะซ่อนมันเอาไว้ที่เก้าอี้
“กินเสร็จแล้วก็ขึ้นบ้านกันเถอะ” คริสเอ่ยบอก รู้ว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
ทั้งสองขึ้นไปพักบนห้องของคริส ทันทีที่มาถึงร่างสูงก็ล้มตัวนอนกับเตียง ชานยอลผู้ไม่รู้อะไรเอ่ยแซวว่ากินอิ่มก็จะนอนเลยหรอ คริสแค่ยิ้มบางตอบกลับมา ร่างโปร่งหัวเราะคิกคักของตัวเองอยู่คนเดียว โดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่าใบหน้าของคริสซีดเซียวกว่าเดิมลงไปมาก.....
“หัวเราะอยู่นั่น ฉันจะขี้เกียจบ้างไม่ได้รึไง”
“ฮ่ะฮ่ะ ตลกออก คนอย่างคุณที่มีมาดเนียบจะมีนิสัยแบบนี้” ชานยอลพูดไปหัวเราะไป
“มันน่าตลกตรงไหน”
“เถอะน่า ก็ผมตลกของผม ผิดตรงไหน” คริสมองเสี้ยวหน้าของชานยอล ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
เจ้าลูกหมาน้อย รอยยิ้มของนายสวยมากเลยนะ
....ฉันจะได้เห็นมันอีกกี่ครั้งกันนะ.....
....ฉันจะได้เห็นมันอีกกี่ครั้งกันนะ.....
“ชานยอล”
“หื้อ”
“เปล่า แค่อยากเรียกเฉยๆ”
“เพี้ยน นี่ ผมไปเปิดหน้าต่างนะ ลมจะได้เข้า คุณจะได้สดชื่นบ้าง”
“อืม” สายลมหนาวค่อยๆพัดเข้ามาในห้อง สัมผัสผิวกายของร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียง นิ้วมือค่อยๆเย็นเยียบและซีดเซียว พิษจากบาดแผลยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ความเจ็บปวดของมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย
“เป็นไง สดชื่นขึ้นมั้ย” คริสพยักหน้าเบาๆ พิษมนตร์กีดกันเข้าเล่นงานร่างกายเขาเรื่อยๆ
“ดี ละ คุณจะได้สดชื่นขึ้น.....เฮ้ นี่คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” ชานยอลรีบถลาร่างเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าคริสตัวสั่น ริมฝีปากซีดเซียวจนเริ่มเขียว ผิวกายซีดขาวเสียจนน่ากลัว
“ฉัน ไม่ แค่ก แค่ก” เกินกว่าที่จะอดทน ร่างสูงไอออกมาเป็นเลือด
“คุณคริส!!!”
“ฉันไม่ เป็นไร”ยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย พร้อมกับยกมือขึ้นพยายามแสดงว่าตัวเองปกติดี
“แต่คุณไอเป็นเลือด”
“ฉัน แค่ก แค่ก” ร่างสูงไอออกมาเป็นลิ่มเลือดสีเข้มเกือบดำ
“คุณเป็นอะไร” หยาดน้ำใสคลอหน่วงที่ดวงตากลม เตรียมที่จะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ
“แค่ ขาด เลือด” ชานยอลรีบหาของมีคมมากรีดข้อมือตัวเอง แล้วยื่นให้ร่างสูงกิน
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Mon Dec 17, 2012 10:49 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง