0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

โอปปาติกะ2

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1โอปปาติกะ2 Empty โอปปาติกะ2 Sun Apr 20, 2014 10:57 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

การฆ่าตัวตายถือเป็นบาปที่หนักที่สุดในคำสอนของทุกศาสนา ผู้ใดคิดฆ่าตัวตาย ผู้นั้นจำต้องทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์….



-----------------------------------------------



        ร่างสูงของคริสนอนแน่นิ่งในความมืด  ดวงตาคมเหลือบมองไปรอบๆอย่างงุนงง  สภาพแวดล้อมไม่ต่างอะไรจากภาพสุดท้ายที่เห็น ป่าไม้รกชัฏในความมืด เสียงสัตว์ป่าดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง นี่เขายังไม่ตายหรอกหรือ ไม่สิ ไม่มีทาง ตกจากที่สูงขนาดนั้นไม่มีทางจะรอดชีวิต หรือว่านี่คือความฝัน ร่างสูงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อหันไปเห็นอะไรบางอย่าง


“นั่น...ระ…เรา..”เสียงทุ้มพึมพำด้วยความตกใจ ดวงตาคมเบิกโพล่งอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างร่างหนึ่งนอนโชกไปด้วยเลือด  แขนขาถูกต้นไม้เสียบทะลุ ศีรษะถูกกระแทกจนแตก ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกโพล่งจ้องเขม็ง อี้ฟานสะดุ้งเฮือกผงะถอยห่างจนชนเข้ากับต้นไม้เสียหลักล้มลงกับพื้น


“ระ ระ เรา….เราตายแล้ว”คริสพึมพำ ความตกใจและความหวาดกลัวสั่นสะท้านให้หัวใจสั่นไหว ดวงตาคมมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ความรู้สึกที่มองเห็นร่างตัวเองผ่านมุมมองของวิญญาณนั้นแปลกใหม่จนเขารับมือไม่ทัน ร่างสูงค่อยๆก้มมองมือตัวเอง พร้อมเอื้อมสัมผัส ทดลองสภาพวิญญาณ มือหนาค่อยๆเคลื่อนเข้าหา ก่อนที่เหตุการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้น…


   มือของเขาไม่ทะลุไปอีกด้าน แต่กลับสัมผัสกันได้ราวกับเป็นมนุษย์!!!




“มะ มะ มะหมายความว่ายังไง”อี้ฟานถามอย่างไม่เข้าใจ เขาคือวิญญาณ เขาคือคนตาย แล้วทำไมมือของเขาถึงยังสัมผัสกันได้ หรือว่านี่เขายังไม่ตาย…ไม่ ไม่มีทาง เขาตายไปแล้วแน่ๆ สภาพศพตรงนั้นการันตีได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไม……..เขาถึงได้เป็นอย่างนี้ และมาอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งๆที่ควรจะไปอยู่ภพภูมิใหม่แล้วไม่ใช่หรอ….เพราะอะไรกัน…


“ท่านไม่ใช่วิญญาณ”จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหน้า ร่างสูงหันขวับไปยังต้นเสียง ร่างของใครคนหนึ่งค่อยๆโผล่ออกมาจากเงามืดช้าๆ


“นักบวช…”ร่างสูงพึมพำเสียงแผ่วด้วยความสับสนและตื่นกลัว


“ท่านไม่ใช่วิญญาณหรอก…..”นักบวชเว้นช่วงพร้อมกับเดินไปหาซากศพช้าๆ ก่อนย่อนั่งลงข้างศพของร่างสูงด้วยท่าทางสงบ


“แต่ท่านเป็นบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น”เสียงแหบแห้งเอ่ยบอก ความงุนงงจู่โจมร่างสูงโดยฉับพลัน


“ท่านหมายความว่ายังไง”


“ท่านเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกิดมาเพื่อความทรมาน และดับสูญเพื่อความว่างเปล่า พวกเราเรียกพวกท่านว่า….”ชายชราเว้นช่วง มือแห้งเหี่ยวเลื่อนปิดเปลือกตาซากศพ ก่อนจะหันมาสบตากับร่างสูง


“โอปปาติกะ…”อี้ฟานชะงักค้าง สมองหวนนึกถึงความหมาย จิตใจเริ่มว้าวุ่น จำได้ลางๆว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย…ทนทุกข์ ทรมาน และวนเวียน


“โอปปาติกะ……..”เสียงทุ้มพึมพำ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ความสงสัยและหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว ร่างสูงตัดสินใจเอ่ยถามความจริง ในใจภาวนาว่าขออย่าให้เป็นแบบที่เข้าใจ


“มันคืออะไร”อี้ฟานถาม นักบวชสบตาคม แววตาอัดแน่นไปด้วยความสงบและน่าเลื่อมใส ก่อนที่จะพูดขึ้นช้าๆ


“สิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน ไม่อาศัยบิดามารดาในการกำเนิด แต่ถือบาปบุญเป็นตัวนำพา โอปปาติกะใดที่เมื่อตอนเป็นคนมีชีวิตทำดี เมื่อตายก็จะไปเกิดเป็นเทวดา แต่โอปปาติกะใดที่ทำความชั่ว เมื่อตาย….”นักบวชหันมามองหน้าร่างสูงก่อนจะเอ่ยตอบ


“ก็จะเกิดเป็นอสูรกาย” อี้ฟานชะงักงัน สิ่งที่รู้มาตรงตามที่นักบวชเล่าทุกอย่าง แต่เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นอสูรกายจริงๆ


“มะ มะ..ไม่มีทาง….ผมจะเป็นอสูรกายได้ยังไง ….ร่างกายผมยังเหมือนเดิมอยู่เลย…”


“จิตใจของเจ้าต่างหากที่เป็นอสูรกาย…”ร่างสูงเถียงไม่ออก


“เที่ยวฆ่าทารกกว่าหลายร้อยศพ ทั้งมาจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย สิ่งที่เจ้าทำมาทั้งหมดถ้าไม่เรียกว่าอสูรกาย ก็ไม่มีคำใดตรงตามนี้อีกแล้ว”


ภาพในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง ชิ้นส่วนเด็กทารกที่เขาฉีกกระชากฉายชัดในหัว ชีวิตบริสุทธิ์ที่เขาเคยบดขยี้ กลับมาตอกย้ำ ภาพความโหดร้ายและเลวทรามกรีดแทงลงไปในจิตใจ….


“มันสายไปแล้วที่ท่านจะสำนึกผิด….วังวนแห่งโอปปาติกะของท่านได้เริ่มขึ้นแล้ว”นักบวชพูดแทรกขึ้น ดวงตาคมหันกลับไปมอง ก่อนที่ชายชราจะพูดขึ้น


“ไม่ใช่ทุกคนจะเกิดเป็นโอปปาติกะได้ บุคคลนั้นจะต้องทำความดีและความชั่วมาอย่างมากถึงจะได้เป็นได้ โดยโอปปาติกะทุกตนล้วนมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์”


“แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ…พวกอสูรกายอย่างท่านจำเป็นต้องจ่าย”


“จ่ายอะไร…”อี้ฟานเอ่ยถาม ใจคอเริ่มรู้สึกไม่ดี


“พวกอสูรกายต้องจ่ายโดยการถูกทรมานทางร่างกาย”


“โอปปาติกะบางตนถูกทำให้พูดไม่ได้ บางตนตาบอด  บางตนหูหนวก”ร่างสูงงุนงง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างน้อยเขาน่าจะได้รับบทลงโทษนั้นบ้าง แต่นี่...……เขากลับไม่เป็นอะไรเลย….


“แล้วพรสวรรค์ของผมคืออะไร แล้วค่างวดที่ต้องจ่ายล่ะ”นักบวชเหลือบตามอง ก่อนจะนิ่งงันไปครู่ใหญ่ แล้วจึงเอ่ยตอบ


“ท่านได้ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องจ่ายในราคาที่แพงที่สุดเช่นกัน”อี้ฟานนิ่งอึ้ง การที่ร่างกายของเขาปกติอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี ราวกับว่าเมื่อถึงยามสูญเสีย เขาจะต้องจ่ายเป็นความเจ็บปวดที่แสนสาหัส จนการสูญเสียประสาทสัมผัสต่างๆมิอาจทนแทนได้….


“เรามีหน้าที่มาบอกท่านเพียงเท่านี้…..นับจากนี้ชีวิตของท่านจะเปลี่ยนไป”ชายชราเอ่ยบอกก่อนจะค่อยๆเดินจากไปช้าๆ


“เดี๋ยวครับท่าน…”อี้ฟานเอ่ยรั้ง นักบวชค่อยๆหันกลับมา


“ที่ว่าดีและแพงที่สุดนั้นมันคืออะไรหรอครับ”



-------------------------------------------------------



   หากเราเปรียบว่านักบวชคือสีขาว คนทั่วไปคือสีดำ  คนที่อยู่ก่ำกึ่งจะเป็นสีอะไร….


   เสียงบทสวดมนตร์ดังแว่วมาจากศาสนสถานเก่าแก่แห่งหนึ่ง  ท่วงทำนองที่ดังสอดประสานขับไล้ให้บรรยากาศนิ่งสงบและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์  ร่างร่างหนึ่งของใครคนหนึ่งกำลังนั่งภาวนาอยู่วงนอกของกลุ่มนักบวช เปลือกตาบางที่ปิดสนิทบ่งบอกให้รู้ถึงสมาธิที่แน่วแน่ เสียงทุ้มนุ่มกล่าวคำสวดอย่างฉะฉานก่อนที่ปลายเสียงจะค่อยๆหยุดลง พร้อมกับที่ร่างนั้นค่อยๆลืมตาขึ้น


“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงสถิตแก่ลูกด้วย….”เขาเอ่ยบอกก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตากลมโตซึมซับภาพเบื้องหน้าด้วยความอิ่มเอม นานแล้วที่ไม่ได้มาเที่ยววัดต่างจังหวัดแบบนี้ เวลาส่วนใหญ่มักหมดไปกับการเรียน และ ‘เรื่องสำคัญเรื่องนั้น’ จนเขาไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นอย่างนี้


“สงบดีจัง~”ร่างโปร่งสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ของป่าเขาเข้าเต็มปอด ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะโดยอะไรบางอย่าง….


ตึก ตึก


สมุดโน้ตถูกสะกิดอยู่ที่ไหล่ของเขา  ร่างโปร่งเบ้ปาก ก่อนจะคว้ามาอ่านข้อความในกระดาษอย่างเซ็งๆ


จะกลับกันได้รึยัง


“เพิ่งมาถึงเองนะ ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย จะรีบไปไหน”ร่างโปร่งบ่นรัวพร้อมกับเดินลิ่วไปข้างหน้าโดยไม่รอให้คนที่เดินตามมาข้างหลังได้หยุดเขียนข้อความตอบกลับมาเลย


“อื้อ!!!”คนที่เดินตามส่งเสียงเรียก พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นใหม่มาให้


ที่นี่ไม่น่าอยู่ เมื่อกี้ฉันเห็น


“นายก็ไม่อยากอยู่ที่ไหนสักกะที่นั่นแหละ”ร่างโปร่งว่าก่อนจะเดินนำออกไปที่ลานโล่ง ร่างที่ตามมาจรดปากการีบเขียน แล้วยื่นมาให้คนข้างหน้า


เชื่อฉันเถอะน่า รีบกลับกันเถอะ!!


“โหยยย อีกนิดน่า เขาว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ อธิษฐานอะไรได้หมด มาถึงนี่ทั้งที ต้องไปอธิษฐาน!!!”ร่างโปร่งว่าก่อนจะเดินไปดูแผนที่ของวัด คนที่เดินตามรีบเขียนข้อความแล้วยื่นให้ แต่อีกคนกลับไม่สนใจ เดินนำไปที่จุดขอพรจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำศาสนสถานนี้แทน


“เฮ้ย! คนน้อย! เร็วๆ รีบไปขอพรเร็ว! เดี๋ยวคนแน่น”เด็กหนุ่มพูดรัวก่อนจะวิ่งพรวดไปที่จุดขอพร ในขณะที่อีกคนได้แต่วิ่งตามไปยื่นกระดาษให้จนลืมมองทาง



ผลั๊กกก!


เด็กผู้ชายวิ่งมาชนร่างของเขาอย่างแรงจนกระดาษกระเด็นตกลงไปในบ่อน้ำ  


“หื้อ!!!”เสียงคนพูดไม่ได้ร้องประท้วงในคอ


“ผมขอโทษนะ ผมขอโทษจริงๆ ผมรีบ ไปก่อนนะครับ”เด็กคนนั้นรีบบอกก่อนจะวิ่งออกไป คนถูกชนวิ่งพรวดไปดูกระดาษที่จมน้ำเปียกชุ่มไปเรื่อยๆ


“อื้อ!”ร่างสูงร้องประท้วงอย่างหัวเสีย พยายามคว้ากระดาษกลับมา แต่ก็ฉีกกระดาษมาได้แค่เสี้ยวเดียว


“นี่! ยืนทำอะไรอยู่ รอนานแล้วนะ!!!”ร่างโปร่งเอ่ยเร่งในมือเต็มไปด้วยธูปหลายสิบดอกที่ส่งควันโขม่ง ในขณะที่ร่างสูงกลับชี้โบ้ยชี้เบ้ไปทางกระดาษที่จมอยู่ในน้ำ


“อะไรอีกล่ะ กระดาษจม โอ๊ยยย ช่างมันเหอะ ซื้อใหม่ก็ได้!!!”ร่างโปร่งไม่สนใจแต่กลับคว้าข้อมือของเพื่อน ลากอีกฝ่ายไปยังจุดขอพร


“หื้อ หือ หือ!!!”


“ช่างมันเถอะน่า ….ซื้อใหม่ก็ได้….อะ…ธูป”ร่างโปร่งว่าก่อนจะยื่นธูปครึ่งหนึ่งให้กับเพื่อน


“เสร็จแล้วก็…ท่องบทสวด….อธิษฐาน….แล้วก็ไล่ปักตามที่เขาบอก….อ่าห๊ะ~….เข้าใจละ…”เด็กหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะหันมาหาเพื่อนตัวเอง


“ป่ะ! ไปทำกันเถอะ….ไค~”ร่างโปร่งว่าก่อนจะเดินนำไปไหว้ขอพร ในขณะที่เพื่อนได้แต่ชูกระดาษที่ฉีกมาได้อย่างเศร้าสร้อย เพราะเนื้อความมันเหลือแค่ชื่อของอีกฝ่ายและอีกคำหนึ่งเท่านั้น…


ชานยอล…


ไฟ และ ตะ


-------------------------------------------------


       เช้านี้ที่โซลอากาศไม่ค่อยดีนัก ท้องฟ้าขมุกขมัวไปด้วยเมฆสีเทา อากาศอบอ้าวและชื้นด้วยไอน้ำ ที่ปากทางเข้าตรอกแคบๆซอยหนึ่ง ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังนั่งพิงรถเกาหลีคันหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แววตาคู่คมไม่ฉายความรู้สึกใดๆนอกจากกลัดกลุ้ม  เข้าวันที่เจ็ดแล้วที่เขามีชีวิติอย่างโอปปาติกะ ต้องใช้ชีวิตผิดแผกไปจากเดิม และเผชิญความเจ็บปวดของราคาพรเหนือธรรมชาติที่ไม่ว่าใครก็ไม่เสี่ยงที่จะจ่าย….มันแพงเกินไป และไม่คุ้มกับราคา….


“ท่านครับ….ที่ว่าดีและแพงที่สุดคืออะไรหรอครับ”คำพูดในตอนนั้นย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง


“ท่านอยากรู้จริงๆหรือ”นักบวชถามย้ำ ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปอย่างมั่นใจ


“ครับ…”แล้วนั่นก็คือข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตที่เขาทำ เพราะหากเขาไม่รู้ว่าพรที่ได้มาและราคาค่างวดที่ต้องจ่ายไปคืออะไร ทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาพะวงกลัวเจ็บปวดอยู่อย่างนี้…


“ถ้าเลือกได้ ฉันคงไม่ทำบาปตั้งแต่แรก”ร่างสูงพูดอย่างเสียดาย เปลือกตาสีซีดหลับลง สมองนึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ยังมีโอกาสแก้ตัว ถ้าวันนั้นเขาเลือกที่จะเป็นแค่หมอธรรมดา คอยช่วยเหลือคนอื่น ไม่ทำแท้งฆ่าเด็กหลายร้อยศพ วันนี้เขาก็คงไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้  ต้องวนเวียนอยู่ในโลกอย่างโอปปาติกะที่เป็นผีก็ไม่ใช่ มนุษย์ก็ไม่เชิง ได้แต่อยู่เพื่อชดใช้บาปที่ตัวเองก่อไว้

    อี้ฟานพรูลมหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะพลิกตัวเดินเข้าไปในซอยแคบๆนั้น  จุดหมายที่จะไปเหมือนกับทุกครั้งที่มาที่นี่ หากแต่ครั้งนี้ความต้องการกลับต่างกัน เขาไม่ได้ไปเพื่อฆ่าคน แต่เขาไปเพื่อหยุดวงจรความชั่วเหล่านั้น….


“คุณหมอ…”เสียงพยาบาลสาวเรียกชื่อเขาอย่างหวาดกลัว หากแต่เป็นความกลัวในฆาตกรไม่ใช่ผีสางอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเธอไม่รู้ข่าวการตายของเจ้านาย อี้ฟานผงะเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของเธอ เขารู้อยู่แล้วว่าเธอต้องกลัว แค่ฟังจากน้ำเสียงตอนโทรไปนัดให้มาพบก็รู้แล้วว่าเธอจะต้องเกลียดเขา ก็แล้วใครจะไม่เกรงกลัวฆาตกรที่ฆ่าได้ทั้งเด็กทั้งผู้หญิงที่ตัวเองรักได้ล่ะ…


“ผมแค่นัดมาตกลง…”


“ตกลงอะไร…ถ้ากลัวฉันจะบอกตำรวจ ฉันไม่บอกหรอกค่ะ”เธอเอ่ยบอกอย่างหวาดกลัว


“เปล่า ผมไม่ได้มาตกลงเรื่องนั้น”อี้ฟานไม่ยี่หระ ไม่คิดอยู่แล้วว่าเธอจะแจ้งตำรวจ เพราะถ้าแจ้งยังไงเธอก็ต้องโดนจับไปด้วย หรือต่อให้เขาจะโดนจับจริงๆ เขาก็ไม่กลัว เพราะตอนนี้….เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป…


“ผมมาตกลงเรื่องที่จะปิดคลินิก เงินเดือนเดือนนี้ของคุณผมจะจ่ายให้เหมือนเดิม”ร่างสูงอธิบายต่อ  พยาบาลสาวเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ ที่ผ่านมาอี้ฟานแทบไม่มีความคิดเรื่องจะปิดคลินิกเลยสักครั้ง


“คุณ….คุณหมอพูดจริงๆหรอคะ…”


“ผมพูดจริง จากนี้คุณก็กลับไปเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมเถอะ แล้วอย่าคิดจะทำอย่างนี้อีกแล้วกัน”


“…….ค่ะ….ขอบคุณค่ะ……ขอบคุณคุณหมอมากจริงๆ…..”เธอพูดอย่างตื้นตัน ที่ผ่านมาเธอคงจะรู้สึกผิดมาตลอด แต่บาปบุญคุณโทษไม่ได้ใจดีพอจะละเว้นให้ความรู้สึกผิด….มันตามติดอยู่เสมอ และไม่เคยอนุโลมให้ใคร…


“ครับ…เดี๋ยววันนี้ผมจะอยู่เคลียร์ของเอง คุณกลับไปเถอะ”อี้ฟานเอ่ยบอกก่อนที่พยาบาลสาวจะขอตัวกลับ แล้วเขาค่อยๆเก็บของช้าๆ ด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินในหัวใจ ทุกซอกทุกมุมที่นี้ล้วนแล้วมีแต่กลิ่นไอของความตาย และภาพที่เขาฆ่าคน…


“กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้วสินะ”ร่างสูงยิ้มสมเพชตัวเอง ก่อนจะเหลือบตาไปมองยังเตียงทำแท้ง ภาพของเรลล่าย้อนกลับเข้ามาในหัว เรียกน้ำตาให้หลั่งริน เขาเจ็บ เขาเสียใจ แต่เขา…ทำอะไรไม่ได้แล้ว


“ขอโทษ…”อี้ฟานพูดก่อนจะหันหลังกลับ แล้วปิดประตูลงกอนเอาไว้อย่างแน่นหนา ทิ้งความชั่วร้าย และเจ็บปวดไว้เบื้องหลัง ก่อนจะค่อยๆเดินออกมา ขายาวก้าวเข้าไปในรถ ก่อนจะซบหน้ากับพวงมาลัย ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ พร้อมๆกับที่สายฝนกระหน่ำตกลงมา ความเย็นจากด้านนอกค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาด้านในจนเยือกแข็งหัวใจของร่างสูง ก่อนที่อี้ฟานจะค่อยๆสลัดเกล็ดน้ำแข็งแห่งความเศร้าออกไป แล้วเหยียบคันเร่ง ขับรถไปตามท้องถนน มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลทำธุระที่คั่งค้าง
   


  แผนกของเขายังคงเหมือนเดิม นางพยาบาลนั่งอยู่ตรงหน้าเค้าเตอร์ คนไข้ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้รอตรวจ เพื่อนร่วมจรรยาบรรณยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือคนอยู่ในห้องตรวจ หากแต่ความรู้สึกของเขาตอนนี้กลับเปลี่ยนไป เขาไม่ได้มองมันด้วยความรู้สึกแบบเดิมอีกต่อไป...



“หมอลีลงตรวจมั้ยครับ”


“อ้าว! คุณหมออี้ฟาน มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย คุณหมอลีหรอคะ ลงตรวจค่ะ คุณหมอไม่สบายหรอคะ”พยาบาลคิมคนเดิมถามอย่างสนอกสนใจ


“เปล่าครับ ผมจะขอเข้าพบหน่อย  รบกวนบอกหมอให้ผมด้วย”


“อ๋อ ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”เธอเอ่ยบอกก่อนที่จะโทรไปหาอีกฝ่ายด้านในห้องตรวจ คุยกันอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะบอกให้อี้ฟานเข้าพบได้


“อ้าว คุณหมออี้ฟาน มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”นายแพทย์สูงวัยกว่าเอ่ยทัก อี้ฟานเพียงแค่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนซองจดหมายที่เตรียมมาให้……..ซองสีขาว….


“คุณหมออี้ฟาน….”


“ผมทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับคุณหมอลี”


“คุณอี้ฟาน…คุณแน่ใจแล้วหรอว่าจะทำแบบนี้….คุณเป็นหมอรุ่นใหม่ที่อนาคตไกล ความสามารถของคุณอาจได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกแทนผมเลยด้วยซ้ำ”อี้ฟานยิ้มอย่างเจ็บปวด ใครว่าล่ะ ใครว่าเขาคือหมอคนนั้น เขาคือฆาตกร คือแพทย์ที่ไม่มีแม้แต่จรรยาบรรณแพทย์


“ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ผมคงทำหน้าที่นั้นไม่ได้แล้วจริงๆ”


“…….คุณหมออี้ฟาน….คุณตัดสินใจแล้วจริงๆใช่มั้ย…”


“ครับ….ผมตัดสินใจแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าวันไหนคุณเกิดอยากกลับมาที่นี่ ขอให้บอกผม ผมยินดีจะช่วยทุกเมื่อ”


“ขอบคุณมากจริงๆครับ”อี้ฟานโค้งขอบคุณก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เขาทำไม่ได้จริงๆ จะให้อยู่ช่วยชีวิตคน ทั้งๆที่เพิ่งฆ่าคนไปไม่รู้กี่ศพ เขาทำไม่ได้แล้วจริงๆ….


---------------------------------------------------


“ปักธูปที่องค์นี้ เสร็จแล้วก็ไป….ไป….เวียนไหน ซ้ายหรือขวา ขวามั้ง เค ไปองค์นู่นกันต่อ”ชานยอลเอ่ยบอกก่อนจะเดินไปปักธูปตามองค์พระต่อ


“หืออ อื้อ!!!”เสียงเรียกจากไคดังมาจากด้านหลังพร้อมแรงสะกิด


“น่า…ไม่มีอะไรหรอก แค่ไหว้ๆเสร็จแล้วก็กลับแล่ว ทำอย่างกับทุกครั้งมันจะถูกทุกครั้งอะ คนเราต้องมีพลาดกันมั่งน่า”ร่างโปร่งพูดตัดรำคาญ ก่อนจะเดินไหว้พระขอพรต่อ


“อื้อ!”


“เงียบน่า มาๆ อธิษฐานกัน”ชานยอลตัดบทก่อนจะหลับตาสวดมนตร์ขอพรพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ประจำวัด ในขณะที่ไคได้แต่หันลีหันขวางคอยสังเกตเหตุการณ์รอบตัวอย่างกังวลราวกับว่าเขากำลังไม่ไว้ใจสถานที่แห่งนี้ ราวกับว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น


“นี่ๆ องค์ต่อไปอะ เขาบอกว่าจะสมหวังในเรื่องเรียนด้วยยยย~ คราวนี้Aก็จะมาเป็นของฉันแล้วละ!”ร่างโปร่งกระแซะไหล่ก่อนจะเดินตรงไปยังจุดต่อไปด้วยท่าทีร่าเริง หากแต่แววตาก็ฉายแววกังวลเล็กน้อย เขารู้ รู้ดีว่าคำเตือนของไคมีประโยชน์ แต่บางครั้งเขาก็อยากจะหลงลืมมันไป และใช้ชีวิตอย่างปกติบ้าง….อย่างน้อยก็แค่ช่วงเวลานี้ก็พอ


“อา!”ไคร้องประท้วง ต่อให้ชานยอลแปลไม่ออก แต่ก็เข้าใจว่าเพื่อนคนเดียวของเขากำลังจะบอกว่าอะไร


“ขอแค่วันนี้วันเดียวน่า”ร่างโปร่งเถียงกลับก่อนจะเดินตรงไป ฉับพลันนั้นที่เดินสวนผ่านกับคนอีกคน ดวงตากลมโตเบิกโพล่ง ปลายมืออีกฝ่ายสัมผัสที่ชายเสื้อ ก่อนที่ประกายไฟจะลุกพรึ่บขึ้น


“จงตายไปซะ….ผู้ปลดปล่อย”ร่างนั้นเอ่ยบอกก่อนจะรีบผละออกไปจากศาลเจ้าก่อนที่จะมีใครเห็น


“ไฟไหม้!!!! ไฟไหม้!!!”ชายคนหนึ่งชี้มาที่ชานยอล ร่างโปร่งพยายามดับไฟอย่างร้อนรน แต่ยิ่งดับไฟประหลาดนี่กลับยิ่งลุกลาม


“ไฟไหม้ ไฟไหม้ หนีเร็ว! ไฟไหม้!!!”ผู้คนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย พร้อมกับวิ่งหนีกันอย่างอลหม่านทั่วศาลเจ้า


“หื้อ หื้อ!!!”ไคร้องอย่างร้อนรนพยายามช่วยดับไฟ


“น้ำ น้ำ น้ำ!!!”ร่างโปร่งร้องหาน้ำ ก่อนที่ไคจะหันไปคว้าน้ำศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าขึ้นสาดใส่ร่างโปร่ง เปลวไฟที่ติดอยู่บนร่างพลันดับไป หากแต่ตอนนี้เปลวไฟส่วนใหญ่ได้ลุกลามไปทั่วศาลเจ้าเรียบร้อยแล้ว…


“ไค!...เรายังมีน้ำอีกมั้ย!”คนถูกถามส่ายหน้า ก่อนจะรีบพยุงร่างของชานยอลออกไปจากศาล แต่แล้วจู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น! คานจากด้านบนตกลงมาทับขาของพวกเขา ทั้งสองติดอยู่ในวงล้อมกองเพลิง ทั้งสี่มือคอยผลักคานที่หล่นทับ แต่ยิ่งออกแรงมากร่างกายก็ยิ่งเหนื่อย อากาศในศาลเจ้าก็ยิ่งน้อย ร่างกายค่อยๆขาดออกซิเจนไปทีละนิด ทีละนิดจนทั้งสองเริ่มหมดแรง


“ไค….เราจะตายมั้ย”


“หือ!!!”ร่างสูงตอบพร้อมกับโบกมือน้อยๆอย่างอ่อนแรง เขากล้าตอบอย่างนั้นได้แม้ว่าพวกเขาจะถูกไฟล้อมไว้หมดแล้วก็ตาม เพราะเขารู้….รู้ในสิ่งที่ชานยอลไม่มีวันรู้…นั่นก็คือ….



อนาคต…




----------------------------------------------------




      ร่างสูงขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งตรงไปยังเขตชานเมือง  ชีวิตไร้ทิศทางที่จะเดินต่อ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจากนี้เขาจะละมือจากการเป็นหมออย่างจริงจัง แต่หากถามว่าแล้วจะไปทำอะไรต่อ ตัวเขาเองก็ตอบยาก ถ้ามีชีวิตปกติเขาคงจะไปเรียน  บำเพ็ญประโยชน์หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่เขาไม่ได้มีชีวิตธรรมดา ต่อให้เขาทำงานสักกี่ร้อยกี่พันงานมันก็ไร้ค่าเท่าเดิม…..เวลาของเขามีมากจนใช้ไม่หมด



    มือหนาบังคับพวกมาลัยขับไปเรื่อยๆ ก่อนที่ทัศนวิสัยเบื้องหน้าจะถูกบดบังลงโดยกลุ่มหมอกควันที่ลอยมาจากเชิงเขา และฝูงชนกว่าหลายสิบชีวิตวิ่งออกมายืนอยู่กลางถนน สายตามองไปที่กลุ่มควัน แววตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว ร่างสูงหักเลี้ยวรถเข้าไหล่ทาง ก่อนจะเดินลงมาจากรถ


“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”อี้ฟานถามด้วยความสงสัย


“ไฟ….ไฟไหม้….ไฟไหม้วัด!!”หนึ่งในคนที่เพิ่งวิ่งหนีออกมาร้องบอก  ร่างสูงรีบวิ่งพรวดเข้าไปข้างใน อย่างไม่ลังเล สวนทางกับคนหลายสิบคนที่วิ่งหนีกันออกมา


“มีคนติดอยู่ข้างใน มีคนติดอยู่ข้างใน!!!”เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะโกนบอก ร่างสูงรีบวิ่งเร็วขึ้น สายตามองหาต้นเพลิง แต่ก็เป็นได้ยากเมื่อควันไฟปกคลุมไปทั่วลานวัด อีกทั้งหน่วยดับเพลิงและปฐมพยาบาลก็ยังไม่มา อี้ฟานวิ่งไปตามทางที่คนวิ่งกรูกันออกมา


      ศาลเจ้าขนาดใหญ่ถูกไหม้ไปทั้งหลัง เปลวไฟลุกโหมสูงเสียดฟ้า อี้ฟานยกแขนขึ้นบังหน้า พุ่งเข้าไปในกองเพลิง ถ้าเขามีพรเหนือธรรมชาตินั้นจริง แค่ไฟนี่….เขาก็คงไม่เป็นไร ร่างสูงพยายามมองหาร่างของผู้เคราะห์ร้ายท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโหม ซากคานไม้ข้างบนค่อยๆร่อนตกลงมา สะเก็ดไฟตกใส่แขนแกร่ง ร่างสูงรีบตบไฟให้ดับ หากแต่ ความปวดแสบปวดร้อนแผ่ซ่าน ผิวหนังแทบหลุดร่อน ร่างสูงกัดฟันสู้ หาผู้รอดชีวิตท่ามกลางเปลวเพลิงต่อ


“คุณครับ คุณ! ผมมาช่วยคุณ…แล้ว…แค่ก แค่ก”อี้ฟานสำลักเขม่าควัน  น้ำตาไหลจากการแสบตา


“ชะ….ชะ…ชะช่วยด้วย”เสียงแหบแห้งตอบรับอย่างแผ่วเบา ร่างสูงรีบวิ่งไปยังจุดนั้น ก่อนจะเจอเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มสองคนที่ถูกคานทับขาไว้


“ผมมาช่วยคุณแล้วๆ”อี้ฟานพูดปลอบใจตามนิสัยแพทย์ มือหนาพยายามยกคานไม้ออกจากข้อเท้าของทั้งสอง


“หื้อ!”เด็กอีกคนส่งเสียงร้อง ดวงตาคู่นั้นหันไปมองเพื่อน


“อดทนหน่อยนะ”ร่างสูงตีเสียงร้องนั้นว่าเป็นการตื่นกลัว ก่อนจะพยายามยกคานไม้ขึ้นมา


“ผม…ผม…จะทนไม่…..ไหวแล้ว…”เสียงทุ้มต่ำร้องบอก สีหน้าอิดโรยใกล้หมดสติ


“อดทนไว้นะครับ!”อี้ฟานร้องบอก ก่อนจะออกแรงดันคานออก คานไม้เริ่มขยับเขยื้อน


“อีกนิดเดียวนะครับคุณ อดทนไว้!”ร่างสูงร้องบอก ก่อนจะผลักคานออกอย่างแรง


“คุณ….คุณไปเถอะ”เด็กหนุ่มร้องบอกเมื่อไม่เห็นวี่แววของปาฏิหาริย์


“ไม่! ผมต้องช่วยคุณออกไปให้ได้!” อี้ฟานบอกก่อนจะผลักคานออกเต็มแรง


ครืดดด


เสียงคานหล่นลงไป พร้อมกับที่เสียงคานด้านบนร่างสูงส่งเสียงร้อง


“คุณ!”


“ถอยไป!!”อี้ฟานผลักร่างของเด็กทั้งสอง ก่อนจะเข้ารับคานแทน


“อั่ก!!!”


“คุณ!!!!!!”เด็กหนุ่มส่งเสียงร้อง ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นด้านหลัง


“เจ้าหน้าที่กู้ภัยนะครับ ถ้าได้ยินเสียงแล้วตอบกลับผมด้วย”


“รีบไป…”อี้ฟานบอกด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ก่อนที่จะสลบไป พร้อมกับเศษไฟที่ตกลงมาบดบังการมองเห็นของเด็กหนุ่ม


“คุณ คุณ…..แค่ก แค่ก…..มีคนติด…..”


“รีบออกไปก่อนเถอะครับ!!!!”เจ้าหน้าที่คนหนึ่งร้องบอก ก่อนจะรีบพยุงร่างของเด็กหนุ่ม และเพื่อนออกไปข้างนอก


“มีคนติด…แค่ก…แค่ก….อยู่ข้างใน!!”ร่างโปร่งชี้ไปที่จุดที่คานตกลงมา  เจ้าหน้าที่อีกส่วนรีบกรูกันไปที่ตรงนั้น พร้อมกับที่ร่างโปร่งถูกพาตัวออกมาข้างนอก


“พาส่งโรงพยาบาลเร็ว!!!”เจ้าหน้าที่คนหนึ่งร้องบอก ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพยายามขืนตัวไว้


“ผม…ผม…ขอรอ…..ผู้ชายคนนั้นก่อน”ร่างโปร่งชี้กลับไปที่ศาลเจ้าที่ค่อยพังทลายลงมา


“แต่คุณครับ คุณต้องไปโรงพยาบาลนะครับ”


“มะ…ไม่….”


“หือ…”เพื่อนที่อยู่ข้างหลังพยายามประท้วง พร้อมกับดันให้ร่างโปร่งขึ้นรถ


“รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้เจอ”ร่างโปร่งและเพื่อนถูกบุรุษพยาบาลจับขึ้นรถพยาบาล ก่อนจะถูกนำตัวส่งไปรักษา ทันทีที่มาถึง ทีมแพทย์และพยาบาลมากมายต่างกรูกันเข้ามาช่วยปฐมพยาบาล ข้อเท้าของคนทั้งคู่ถูกตรวจดู ออกซิเจนถูกสวมที่จมูก การรักษาถูกเริ่มขึ้น ทีมแพทย์เดินกันให้ทั่วห้อง อุปกรณ์ต่างๆที่หยิบขึ้นมาใช้ กว่าที่แพทย์และพยาบาลจะละความสนใจจากคนทั้งคู่ได้ก็เป็นเวลานานกว่าชั่วโมง


“ติดต่อญาติคนไข้ได้รึยัง”เสียงนายแพทย์เจ้าของไข้เอ่ยถาม พยาบาลที่รับหน้าที่ส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด


“ติดต่อไปจนกว่าจะได้ ตอนนี้ให้ดูอาการคนไข้ไปก่อน”นายแพทย์เอ่ยบอก ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น


“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อยครับ!!!!”บุรุษพยาบาลตะโกนบอกก่อนจะเข็นเตียงหนึ่งเข้ามา ดวงตากลมโตชะงักค้างเมื่อเห็นร่างที่นอนอยู่บนนั้น….


   ร่างทั้งร่างถูกไฟไหม้ เนื้อหนังเกรียมดำและหลุดลอกเห็นเนื้อแดง น้ำเหลืองไหลเยิ้ม สภาพแทบไม่น่าจะมีชีวิตรอด หากแต่ปอดที่ขยับขึ้นลงอยู่นั้นย้ำให้รู้ว่าเขายังมีลมหายใจจอยู่ ร่างโปร่งเพ่งมอง หัวใจสั่นระริก ภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ช่วยเหลือตนไว้ ก่อนจะน้ำตาร่วงเผาะเมื่อเหลือบไปเห็นแหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายเหมือนกับชายหนุ่มคนนั้น….


“เตรียมทำCPR!!!”เสียงหมอคนหนึ่งร้องบอก ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะกระตุกเฮือก ร่างกายเกร็งกระตุก ก่อนจะแน่นิ่งต่อหน้าต่อตาเด็กหนุ่ม….


  ดวงตากลมโตมองค้าง ก่อนจะพึมพำขึ้นมาเสียงเบา…


“ไค…..เขาตายแล้ว”

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ