“ไค…”อี้ฟานเรียกอีกฝ่ายด้วยความพรั่นพรึง เขามั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินมันมาจากเด็กคนนี้ เพราะรอบข้างตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย แต่……..เขาจะได้ยินมันได้ยังไงล่ะในเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ได้
ผมถ่ายทอดสิ่งที่คิดผ่านการสัมผัสได้…
เสียงของไคยังคงดังก้องอยู่ในหัว ร่างสูงมองตามฝ่ามือที่สัมผัสกันก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“นั่นคือความพิเศษของนายหรอ……รู้อนาคตและ..ส่งต่อความคิด”
ไม่ใช่….ผมรู้อนาคต อดีตของคนอื่น และส่งต่อความคิดได้จากการสัมผัส
“ทำไมที่ผ่านมานายไม่ใช้วิธีนี้แทนการเขียน”อี้ฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย เสียงของไคเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะดังขึ้น
…มันมีข้อจำกัด…..
“ทำ…”ร่างสูงเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่หม่นหมองลงไปของไคเขาก็เลิกที่จะอยากรู้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปสู่ความตั้งใจแรกแทน
“ทำไมนายถึงพูดไม่ได้…” อีกคนเงียบไปก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มหากแต่แววตากลับดูเศร้าสร้อย
มันคือบทลงโทษ…. บทลงโทษของคนบาปอย่างผม…
“นายอยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย” คนถูกถามผละมือออกไป สีหน้าหม่นหมองยิ่งกว่าที่เคย อี้ฟานถอดใจจะไม่ซักไซ้ต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมาแตะมือเขา แล้วภาพความทรงจำของไคก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นในความคิดของเขาราวกับเขาเป็นคนกระทำทุกอย่างขึ้นมาเองทั้งหมด…
เขากำลังมองบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินถนนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามเกาหลี การตกแต่งบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นน่าอยู่ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ ที่รั้วบ้านมีแปลงดอกไม้หลากสีสัน หมู่ผีเสื้อและผึ้งตัวน้อยๆต่างบินโฉบดูดน้ำหวานกันอย่างร่าเริง ตรงประตูบานเหล็กๆมีตู้รับจดหมายที่เจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนทำเองแขวนอยู่ เหนือขึ้นไปมีแผ่นไม้ขนาดกลางเขียนข้อความบางอย่างติดไว้…
บ้านตระกูลคิม
“บ้านนายหรอ” อี้ฟานถามขึ้นในความคิด ไคที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะพยักหน้ารับ แต่เสียงหนึ่งดันดังขึ้นขัดเสียก่อน
“แม่!!!! เนคไทผมอยู่ไหน!! แม่!! แม่!!”เสียงที่ฟังดูคล้ายไคดังออกมาตัวบ้าน เด็กหนุ่มกำลังวิ่งวุ่นหาของอยู่บนชั้นสอง ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ชั้นล่าง
“ก็อยู่ตรงลิ้นชักแรกไงไค หาเจอมั้ย” เกิดเสียงดังตึงตังจากด้านบน ก่อนที่เสียงปิดประตูดังปังจะดังขึ้น พร้อมกับไคที่วิ่งลงมาข้างล่างด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องมายุ่งกับตู้เสื้อผ้าของผม แม่มาจัดแบบนี้แล้วผมจะหาของผมเจอได้ยังไง” ลูกชายบอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะตรงไปคว้ากระเป๋าโดยไม่ทันมองเลยว่าเกือบจะทำให้แม่เซล้มตกบันใดลงมา อี้ฟานมองไคในโลกความจริงด้วยสายตาฉงน สื่อความหมายถามว่า นายทำอย่างนี้จริงๆน่ะหรอ นายเคยเป็นคนแบบนี้มาก่อนน่ะหรอ เด็กหนุ่มส่งยิ้มเศร้า ก่อนที่เสียงแม่ของเขาจะดังขึ้น
“ก็แม่เห็นว่ามันรก ลูกเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แม่ก็เลย..”
“วันหลังแม่ไม่ต้องทำแบบนี้อีกนะ ผมโตแล้วผมจัดการเองได้ ” ไคพูดแทรก พร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน
“ไค! ไค เดี๋ยวสิ! ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรอ!!” เสียงของแม่ดังขึ้น
“แม่อยากจะกินแม่ก็กินไปเถอะ!!!” ลูกชายแท้ๆตอบกลับมาก่อนจะเดินหายออกไป ทิ้งให้แม่มองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ก่อนจะฉีกยิ้มเศร้าๆ แล้วปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร ลูกคงโตแล้ว บางทีอาจจะไม่ต้องการรับการใส่ใจอะไรมากเท่านี้อีกแล้ว…
บาปของผมคือการด่าพ่อแม่… เสียงของไคดังขึ้นในความคิดของอี้ฟาน
ผมเบื่อ ผมรำคาญ ผมอยากให้ท่านเลิกทำตัววุ่นวายกับผมสักที และยิ่งนับวันบาปที่ผมทำก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…..
แล้วภาพก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยไคที่กำลังนั่งอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง นาฬิกาที่อยู่ข้างหน้าบ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ร่างสูงนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะละสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยพาดผ่านไปด้วยความเร็ว ไคค่อยๆเตรียมตัวลง ร่างสูงเดินไปที่ประตูรถอย่างไม่รีบร้อน สองมือยังกดมือถือแชทกับเพื่อนไป ก่อนจะเดินลงไปเมื่อประตูรถเปิดออก
สองขายาวเดินเอื่อยไปตามทางเดินเข้าซอยบ้านที่มืดมิด บ้านหลายหลังเริ่มเข้านอนกันหมดแล้ว ไฟเริ่มถูกปิดลงตามบ้านแต่ละหลัง จนตอนนี้ทั้งซอยมีเพียงบ้านหลังเดียวที่ยังคงสว่างโล่ท้าทายความมืดของรัตติกาลอยู่
“ยังไม่นอนอีกหรอวะ” ไคสบถเมื่อยืนอยู่หน้าบ้าน นี่ห้าทุ่มกว่าแล้ว แม่เขาควรจะนอนได้แล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตอนนี้เขาเหนื่อย แล้วเขาอยากจะนอนพักมากแล้ว มือใหญ่เอื้อมไปไขประตูบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไป ทันทีที่เท้าเหยียบเข้ามา เสียงแม่ก็ดังขึ้นทันที
“ทำไมกลับบ้านดึกอย่างนี้ นี่ไปเถลไถลที่ไหนมา!!!” ผู้เป็นแม่ที่นั่งรออยู่พูดขึ้นด้วยความโกรธจัด ไคกลอกตาก่อนจะพูด
“ไปเที่ยวกับเพื่อนมา”
“แล้วทำไมกลับดึกขนาดนี้ไค! นี่มันกี่โมงแล้ว จะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะ!!!”
“ผมโตแล้วนะแม่ แค่นี้ทำไมจะกลับเองไม่ได้!!” ไคพูดอย่างหัวเสีย เขาเบื่อ เบื่อที่ต้องเจอแม่บ่นเรื่องเดิมๆ ทำเหมือนเขาเป็นเด็ก ห่วงนู่นห่วงนี่ไม่เข้าท่า
“แม่รู้แต่เดี๋ยวนี้มันมีข่าวดักปล้นกันเยอะแยะ ถ้าเกิดมันมาทำร้ายเราขึ้นมา แม่จะทำยังไง!!!”
“โอ๊ยแม่!!! แม่เลิกดูข่าวสักทีเหอะ มันไม่มาทำอะไรผมหรอก เลิกฟุ้งซ่านสักที”
“ไค ทำไมลูกพูดจาแบบนี้ แม่เตือนเพราะแม่เป็นห่วง ”ไคกลอกตาไปทางอื่นก่อนจะพึมพำเบาๆ
“บางทีผมก็อยากจะเกิดเป็นลูกของคนอื่นเหมือนกันนั่นล่ะ” คำพูดเสียงเบา แต่มันกลับดังก้อง และบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้เป็นแม่ เธอชะงักค้าง มองลูกของเธออย่างตกตะลึง ลูกชายแท้ๆที่เธอเฝ้าเพียรดูแลมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ลูกชายแท้ๆที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กลับมาพูดจาอย่างนี้ใส่เธอน่ะหรือ… ทำไม ทำไม ทำไมถึงได้โหดร้ายกับคนที่ให้เขาได้แม้กระทั่งชีวิตอย่างนี้
“เงียบทำไม ไม่บ่นต่อแล้วหรอ” ไคพูดอย่างรำคาญ แต่ผู้เป็นแม่กลับยังคงนิ่งเฉย
“นี่จะไม่บ่นอะไรแล้วใช่มั้ย จะได้ไปนอน”เขาบอกก่อนจะคว้ากระเป๋า แล้วบ่นพึมพำเบาๆ
“น่ารำคาญจริงๆ” เสียงนั้นบางเบา แต่ความหมายของมันกลับทารุณจนบีบอัดให้หัวใจของคนฟังแหลกสลาย เธอมองดู
ลูกชายเดินหายลับตาขึ้นไปชั้นสอง พร้อมกับเสียงปิดประตูดังปังดังขึ้น ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับโซฟา หยดน้ำตาร่วงเผาะอย่างห้ามไม่อยู่
กว่าหลายชั่วโมงที่เธอนั่งรอลูกชาย
กว่าหลายนาทีที่เธอต้องทนทุกข์
กว่าหลายวินาทีที่เธอต้องร้อนรน
ทุกอย่างทำไปเพื่อ…....แม่มันน่ารำคาญ
เธอเจ็บ…เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนทั้งโลกด่า เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนรักตวาด เจ็บเสียยิ่งกว่าถูกคนที่ไว้ใจตอกหน้า เพราะคนที่ว่าเธอเมื่อกี้นั่นคือแก้วตาดวงใจของเธอ แก้วตาดวงใจที่เธอบ่มเพาะเลี้ยงดูมากว่าหลายหมื่นหลายแสนชั่วโมง ตั้งแต่ยังเป็นก้อนเลือดในท้อง ตั้งแต่เท้ายังเท่าฝาหอย ตั้งแต่เด็กน้อยที่ยังบอกรักเธอสุดหัวใจ แต่ทุกอย่างที่เธอทำกลับถูกทำลายลงด้วยหนึ่งวินาทีเดียวของคำพูดที่ไม่คิดเสียก่อนของลูกชาย…
“ไม่อยากเป็นลูกแม่งั้นหรอ….” เธอพูดเสียงเศร้า เธอรู้ รู้ว่าสำหรับไค เธออาจจะเป็นแม่ที่แย่ที่สุด ไม่ได้เรื่องมากที่สุด ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจมากที่สุด แต่สำหรับเธอ ไคคือลูกที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด และมีค่ามากที่สุด…แม้ว่าเขาจะเพิ่งพูดว่าไม่อยากเป็นลูกของเธอก็ตาม…
แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆหายไป หนึ่งฉากชีวิตจริงของไคได้จบลงไปแล้ว แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเหมือนฉากแรก เขาทำเพียงแค่นั่งหลับตาลง นิ่งเงียบ และจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง…
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะทนดูความผิดพลาดในอดีตได้โดยไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะอดีตที่เลวร้ายที่ยิ่งนึกถึงยิ่งตอกย้ำและกดลึกลงไปในรอยแผลที่ไม่เคยสมานสนิท เขาจำได้ทุกอย่าง ภาพที่เขาทำเลวทำชั่วก่อกรรมไว้กับแม่ยังไง ทุกอย่างเหมือนกับคีมเหล็กที่ง้างรอยแผลของเขาให้เปิดกว้างออก แล้วสาดน้ำกรดของความระอายและรู้สึกผิดลงไปในแผลนั้น ก่อนจะบดขยี้มันด้วยการที่เขาย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว…
การรู้สึกผิด ไม่เคยเจ็บปวดเท่า…การที่เราย้อนกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องไม่ได้…
ถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับแม่ เสียงของไคเบาหวิวเสียจนน่าใจหาย อี้ฟานเหลือบมองก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“ถ้านายไม่อยากนึกถึงมันอีก ก้ไม่เป็นไรนะ” ไคยิ้มบางๆก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ ผมอยากให้พี่ดูให้จบ” อี้ฝานไม่มีโอกาสได้แย้งอะไรต่อ ภาพความทรงจำม้วนใหม่ค่อยๆถูกคลี่ออกลงในห้วงคำนึงของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ซอยบ้านของไคเหมือนเดิม บรรยากาศโดยรอบอยู่ตอนค่ำคืน อาจจะสักประมาณสองสามทุ่ม เพราะไฟตามบ้านเรือนยังคงเปิดอยู่ ร่างสันทัดของไคเดินไปตามทางเข้าบ้านด้วยสีหน้าอิดโรย เสื้อนักเรียนสีขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ที่ขาแปะแผ่นร้อนไว้สองสามจุด ร่างกายดูเหนื่อยล้าเหมือนถูกออกกำลังมาอย่างหนัก
มือใหญ่ล้วงเข้าไปหยิบกุญแจบ้าน ก่อนจะไขมันแล้วเดินเข้าไป เด็กหนุ่มทรุดนั่งที่โซฟาอย่างแรง แล้วเปิดพัดลมจ่อหน้าหวังให้คลายความร้อนและเหน็ดเหนื่อย
“วันนี้มีอะไรให้กินบ้างแม่”ประโยคแรกถูกพูดออกมาถามผู้เป็นแม่ หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยตอบ
“แม่ไม่ได้ทำเผื่อ ลูกไม่ได้กินมากับเพื่อนหรอ” ไคชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด ความเหนื่อยทำให้เขาเบื่อที่จะตอบคำถาม
“ไม่ได้กิน ผมหิว แม่ไปทำอะไรให้กินหน่อย”
“จ๊ะๆ ลูกอยากกินอะไร” เด็กหนุ่มเริ่มกลอกตาด้วยความรำคาญ
“อะไรก็ได้ ผมกินได้หมด”
“จ่ะๆ งั้นรออยู่นี่แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวแม่ไปทำให้กิน” เธอบอกก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว ไคเร่งพัดลมให้แรงขึ้น ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างรอ
ตัวเลขของนาฬิกาบนโทรศัพท์ค่อยๆเพิ่มขึ้น จากที่รอห้านาที เริ่มกลายเป็นสิบ ยี่สิบนาที ความหิวและเหนื่อยล้าทวีคูณขึ้นจนทำให้ไคยิ่งหงุดหงิดและโมโห
“แม่ทำอะไรนักหนาวะ เมื่อไรจะเสร็จสักที” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว ขณะที่ชะเง้อมองแม่ในห้องครัว
“แม่! จะเสร็จรึยัง ผมหิวแล้ว” เขาตะโกนถาม ผู้เป็นแม่ที่สนใจแต่การทำอาหารสะดุ้งตกใจจนพลาดทำถ้วยหล่นจากมือ ไคมองด้วยสายตาไม่พอใจ แม่รีบกุลีกุจอก้มเก็บ พร้อมกับเอ่ยบอกกับเขา
“จะเสร็จแล้วๆ รอแปบนึงนะ” เธอบอกก่อนจะรีบหันกลับมาทำอาหารให้ไค เด็กหนุ่มพรูลมหายใจอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จะผ่านไปครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวสักคำ
เด็กหนุ่มนั่งรอต่อไปด้วยความหงุดหงิด น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มออกมาย่อยตัวมันเอง ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะสบถด้วยความฉุนเฉียว
“แม่งเมื่อไรจะเสร็จวะ” เขากระแทกของลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะลุกพรวดไปหาแม่ ประจวบเหมาะกับที่หญิงวัยกลางคนเดินถืออาหารออกมาพอดี
“กว่าจะเสร็จ” ไคพูดเสียงเรียบก่อนจะนั่งกระแทกลงบนโต๊ะกินข้าว ผู้เป็นแม่ยกอาหารขึ้นเสิร์ฟให้ ก่อนที่ไคจะรีบตักอาหารเข้าปาก
“แค่ก แค่ก…..โอ๊ยนี่แม่ทำอะไรของแม่เนี่ย!!” เสียงต่อว่าดังออกมาจากปาก พร้อมกับไคที่รีบคายข้าวทิ้ง
“ทำไม ทำไมหรอลูก มันเป็นอะไร”
“เนื้อมันยังไม่สุกเลย!!! ทำแบบนี้แล้วใครจะไปกินได้!!” เขาผลักจานข้าวออกห่างจากตัว ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“แม่ขอโทษๆ แม่ไม่ทันดู เดี๋ยวแม่ไปทำให้ใหม่นะ”
“ไม่ต้องแล้ว!! ไม่กงไม่กินมันแล้ว!!” ไคบอกก่อนจะเดินกระแทกเท้าขึ้นบ้านไปอย่างไม่พอใจ รอมาตั้งนาน หิวจนไส้จะขาด แต่แม่กลับทำอะไรให้เขากินก็ไม่รู้
“น่ารำคาญ น่ารำคาญจริงๆเลย!!” เด็กหนุ่มสบถอย่างเดือดดาล ทำไมแม่ของเขาน่ารำคาญขนาดนี้!!! แค่ทำเนื้อให้สุกก็ยังทำไม่ได้ วันๆไม่เคยจะทำให้เขาพอใจสักอย่าง!!! เดี๋ยวก็งุ่นง่าน เดี๋ยวก็ขี้บ่น เดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาเกิดมาเป็นลูกของคนแบบนี้ได้ยังไงกัน!!!
“แค่จะเลี้ยงลูกคนเดียวยังเลี้ยงให้สบายไม่ได้ แบบนี้อย่ามาเป็นแม่คนเลยหวะ!!!” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะปิดประตูกระแทกดังปัง
เสียงประตูที่ปิดดังแว่วมาจากชั้นบนให้คนที่อยู่ชั้นล่างได้ยิน หญิงวัยกลางคนทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างเศร้าสร้อย กี่ครั้งที่ลูกพูดจากร้ายๆใส่ กี่ครั้งที่เธอต้องทนเจ็บอยู่กับคำพูดชั่วร้ายเหล่านั้น แต่ทุกครั้งเธอไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของลูกชาย เธอคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่า เพราะเธอ เพราะเธอดูแลเขาไม่ดีพอ เลี้ยงเขาไม่ดี เขาถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้
“แม่ขอโทษ…” เธอพูดเสียงเบา พร้อมกับมองมือที่แดงก่ำของตัวเอง…
เมื่อบ่ายเธอถูกน้ำร้อนลวก เมื่อครู่นี้เธอจึงพลิกเนื้อให้สุกไม่ได้….
แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆถูกความมืดดูดกลืนไปอย่างช้าๆ อี้ฟานนั่งมองไคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ ไคกำลังร้องไห้อย่างเงียบงัน เขาไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้พร่ำเพ้อว่าเสียใจ เขาเพียงแต่ปล่อยให้เสียงของความรู้สึกผิดร่ำร้องออกมาผ่านสีหน้าและหยดน้ำตา
เราไม่เคยรู้ความเจ็บปวดของพ่อแม่… ไคพูดขึ้นในความคิดของอี้ฟาน
พ่อแม่ไม่เคยแสดงด้านอ่อนแอให้เราเห็น ท่านอนุญาตให้เรามองได้แค่ด้านที่เข้มแข็ง และเหมือนจะปกป้องเราได้…
ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัย สบายใจ และพอใจ…
แม่ผมยอมเจ็บตัวเพราะแค่ผมอยากกินข้าว…
แม่บางคนยอมทำงานหนักขึ้น หรือเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาให้ เพราะแค่ลูกบอกว่าอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่…
แม่บางคนเครียดกับการเงินที่เริ่มขัดสนของบ้าน แต่ท่านยังคงยิ้มและให้เงินค่าขนมกับลูกเหมือนเดิม
แม่บางคนยอมหักเงินของตัวเอง กินน้อยลง ใช้น้อยลง แต่ยังคงให้ลูกเท่าเดิม…
ทุกอย่างที่ผมพูดมา ลูกส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ เราคิดแต่เราอยากได้ เราอยากมี แต่เราไม่เคยคิดว่าพ่อกับแม่ต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อให้เราพึงพอใจ…
“ฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น…”อี้ฟานพูดขึ้นในความเงียบ ไคสบตาเล็กน้อย ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสักพักก่อนที่เขาจะพูดขึ้นช้าๆ
ผมเองก็เคยเป็น…เป็นมากกว่าที่พี่เคย ที่ลูกๆหลายคนเคย และความผิดพลาดของผม ก็ไม่เคยมีโอกาสได้กลับไปรู้ตัวหรือรู้สึกผิดอะไรอีก…
แล้วภาพความทรงจำม้วนใหม่ก็ค่อยๆถูกฉายขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ไม่ครุมเครือ ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในความคิดของผู้เฝ้ามอง…
“หายไปไหนหมดวะเนี่ย” เสียงของไคดังขึ้น พร้อมที่ภาพทุกอย่างค่อยๆเด่นชัด ร่างสันทัดกำลังง่วนอยู่กับการหาอะไรบางอย่างอยู่ตามลิ้นชัก และกล่องเก็บของภายในห้อง
“ไม่มีเลยหรอวะเนี่ย” เขาบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมานับซ้ำอีกรอบ
“ไม่พอ” ไคว่าก่อนจะลุกพรวดออกไปจากห้อง สองขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาชั้นล่าง ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นสบตา
“แม่! ผมขอเงินหน่อย”เด็กหนุ่มร้องบอก ผู้เป็นแม่เหลือบตาดูปฏิทิน
“ไค แม่เพิ่งให้ค่าขนมไปเองนะ ใช้หมดแล้วหรอ”
“แค่นั้นมันจะไปพอยาไส้อะไร! ผมขอเพิ่มอีกห้าแสนวอน” ไคตวาด คนฟังถึงกับเบิกตาโพล่ง
“ไคนั่นมันเยอะมากเลยนะ!!! ลูกจะเอาไปซื้ออะไร” เด็กนุ่มกลอกตาอย่างหัวเสีย
“ผมจะเอาไปใช้อะไรก็เรื่องของผมเถอะ แม่มีหน้าที่ให้ แม่ก็ให้มาเหอะ”
“แต่เงินนั่นมัน……”
“หรือแม่จะให้ผมไปยื่มคนอื่น”ไคพูดดักคอ ผู้เป็นแม่จำต้องเก็บคำต่อว่าไว้ เธอจำใจเดินเลี่ยงไปหยิบกล่องเก็บเงินออกมา จำนวนเงินที่มีอยู่ในกล่องเหลือน้อยลงมากแล้ว ดวงตาหม่นหมองของเธอมองแบงค์ย่อยและเศษเหรียญในนั้นก่อนจะหันไปหาไค
“แค่สามแสนวอนไม่ได้หรอ ไค”
“แค่นั้นจะไปพออะไร ผมขอห้าแสน!!”ไคตวาดใส่ คนเป็นแม่ทำหน้าหวาดกลัว หยาดน้ำตาพาลจะไหลอยู่รอมร่อ
“แต่แม่ให้ได้เท่านี้จริงๆ”
“ไหนเอามาดูดิ่! มีเท่านี้จริงรึเปล่า!” เขาตะคอกก่อนจะคว้ากล่องเงินไปนับเอง
“ไค!! ไม่ได้นะไค นั่นเงินเก็บของแม่นะ ลูกจะเอาไปไม่ได้”ผู้เป็นแม่พยายามยื้อกล่องกลับคืนมาแต่ถูกอีกฝ่ายกันเอาไว้
“ ทำไมผมจะเอาไปไม่ได้!! ผมเป็นลูกแม่นะ” เขาบอกพร้อมกับหยิบเงินออกมาจากกล่อง
“ไค!! ไค ไม่ได้นะ ขอคืนให้แม่เถอะ!!”ผู้เป็นแม่อ้อนวอน เธอรีบวิ่งตามหลัง ฝ่าเท้าเปล่าๆย้ำลงไปกับพื้นถนนที่ร้อนระอุ
“เดี๋ยวผมเอามาคืนน่า เลิกตามมาสักที!!” เขาบอกอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเริ่มออกวิ่งเร็วขึ้น
“ไค ไค!! แต่นั่นสำคัญกับแม่มากนะ ขอร้องล่ะ คืนให้แม่เถอะ”เธอบอกพร้อมกับรั้งแขนเขาเอาไว้ เด็กหนุ่มหันกลับมาผลักออกอย่างแรง
“น่ารำคาญ!!” เขาสบถออกมา ก่อนจะเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยทิ้งร่างของแม่ที่ถูกผลักลงกับพื้นจนข้อศอกเลือดไหลไว้ด้านหลัง สองขายาวค่อยๆชะลอความเร็วลงก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังว่าแม่ยังตามมาอยู่ไหม
“เหอะ! เลิกตามได้สักที”
“คุณ!!! ระวัง!!!” ไคหันกลับมาตามเสียงเรียก แต่ทุกอย่างก็ไม่ทันเสียแล้ว รถคันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างของไคกระเด็นขึ้นไปในอากาศ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วถนน ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียง
“มีคนถูกรถชน มีคนถูกรถชน!!!” เสียงชาวบ้านแถวนั้นร้องดังโหวกเหวก เจ้าของรถคันนั้นรีบจอดรถแล้ววิ่งลงมาดู ร่างของไคนอนจมกองเลือด กระดูกคอหัก ร่างกายบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพล่ง เศษกระจกกรีดที่ปากจนฉีกลึกถึงใบหู มือถูกชิ้นส่วนรถตัดจนเกือบขาด แทบจะทุกอวัยวะที่เคยทำร้ายร่างกายและจิตใจแม่ถูกลงทัณฑ์ ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างพากันมุงดู บางส่วนพยายามเรียกรถพยาบาล ในขณะที่บางส่วนแค่อยากรู้อยากเห็น
“คนบาปมักจะตายไม่ดี…” จู่ๆเสียงของไคก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ภาพในอดีตค่อยๆเลือนรางลง อี้ฟานพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ
“สภาพฉันตอนตายก็ไม่ดีเท่าไร” อี้ฟานนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาตื่นขึ้นมาในร่างโอปปาติกะแล้วมองดูสภาพศพในร่างมนุษย์ของเขาที่ถูกไม้แหลมคมเสียบที่ร่าง
“ผมพอจะเข้าใจ…” ไคตอบรับ ก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากที่ผมตายลง สภาพการเป็นโอปปาติกะก็เริ่มต้นขึ้น และตั้งแต่วินาทีแรกของการเป็นอมนุษย์ ผมก็ถูกลงทัณฑ์จากบาปที่ตัวเองก่อไว้ทันที” คำพูดของไคจางหายไป พร้อมกับภาพความทรงจำที่กลับมาอีกครั้ง
ผมถ่ายทอดสิ่งที่คิดผ่านการสัมผัสได้…
เสียงของไคยังคงดังก้องอยู่ในหัว ร่างสูงมองตามฝ่ามือที่สัมผัสกันก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“นั่นคือความพิเศษของนายหรอ……รู้อนาคตและ..ส่งต่อความคิด”
ไม่ใช่….ผมรู้อนาคต อดีตของคนอื่น และส่งต่อความคิดได้จากการสัมผัส
“ทำไมที่ผ่านมานายไม่ใช้วิธีนี้แทนการเขียน”อี้ฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย เสียงของไคเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะดังขึ้น
…มันมีข้อจำกัด…..
“ทำ…”ร่างสูงเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่หม่นหมองลงไปของไคเขาก็เลิกที่จะอยากรู้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปสู่ความตั้งใจแรกแทน
“ทำไมนายถึงพูดไม่ได้…” อีกคนเงียบไปก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มหากแต่แววตากลับดูเศร้าสร้อย
มันคือบทลงโทษ…. บทลงโทษของคนบาปอย่างผม…
“นายอยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย” คนถูกถามผละมือออกไป สีหน้าหม่นหมองยิ่งกว่าที่เคย อี้ฟานถอดใจจะไม่ซักไซ้ต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมาแตะมือเขา แล้วภาพความทรงจำของไคก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นในความคิดของเขาราวกับเขาเป็นคนกระทำทุกอย่างขึ้นมาเองทั้งหมด…
เขากำลังมองบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินถนนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามเกาหลี การตกแต่งบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นน่าอยู่ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ ที่รั้วบ้านมีแปลงดอกไม้หลากสีสัน หมู่ผีเสื้อและผึ้งตัวน้อยๆต่างบินโฉบดูดน้ำหวานกันอย่างร่าเริง ตรงประตูบานเหล็กๆมีตู้รับจดหมายที่เจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนทำเองแขวนอยู่ เหนือขึ้นไปมีแผ่นไม้ขนาดกลางเขียนข้อความบางอย่างติดไว้…
บ้านตระกูลคิม
“บ้านนายหรอ” อี้ฟานถามขึ้นในความคิด ไคที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะพยักหน้ารับ แต่เสียงหนึ่งดันดังขึ้นขัดเสียก่อน
“แม่!!!! เนคไทผมอยู่ไหน!! แม่!! แม่!!”เสียงที่ฟังดูคล้ายไคดังออกมาตัวบ้าน เด็กหนุ่มกำลังวิ่งวุ่นหาของอยู่บนชั้นสอง ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ชั้นล่าง
“ก็อยู่ตรงลิ้นชักแรกไงไค หาเจอมั้ย” เกิดเสียงดังตึงตังจากด้านบน ก่อนที่เสียงปิดประตูดังปังจะดังขึ้น พร้อมกับไคที่วิ่งลงมาข้างล่างด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องมายุ่งกับตู้เสื้อผ้าของผม แม่มาจัดแบบนี้แล้วผมจะหาของผมเจอได้ยังไง” ลูกชายบอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะตรงไปคว้ากระเป๋าโดยไม่ทันมองเลยว่าเกือบจะทำให้แม่เซล้มตกบันใดลงมา อี้ฟานมองไคในโลกความจริงด้วยสายตาฉงน สื่อความหมายถามว่า นายทำอย่างนี้จริงๆน่ะหรอ นายเคยเป็นคนแบบนี้มาก่อนน่ะหรอ เด็กหนุ่มส่งยิ้มเศร้า ก่อนที่เสียงแม่ของเขาจะดังขึ้น
“ก็แม่เห็นว่ามันรก ลูกเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แม่ก็เลย..”
“วันหลังแม่ไม่ต้องทำแบบนี้อีกนะ ผมโตแล้วผมจัดการเองได้ ” ไคพูดแทรก พร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน
“ไค! ไค เดี๋ยวสิ! ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรอ!!” เสียงของแม่ดังขึ้น
“แม่อยากจะกินแม่ก็กินไปเถอะ!!!” ลูกชายแท้ๆตอบกลับมาก่อนจะเดินหายออกไป ทิ้งให้แม่มองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ก่อนจะฉีกยิ้มเศร้าๆ แล้วปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร ลูกคงโตแล้ว บางทีอาจจะไม่ต้องการรับการใส่ใจอะไรมากเท่านี้อีกแล้ว…
บาปของผมคือการด่าพ่อแม่… เสียงของไคดังขึ้นในความคิดของอี้ฟาน
ผมเบื่อ ผมรำคาญ ผมอยากให้ท่านเลิกทำตัววุ่นวายกับผมสักที และยิ่งนับวันบาปที่ผมทำก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…..
แล้วภาพก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยไคที่กำลังนั่งอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง นาฬิกาที่อยู่ข้างหน้าบ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ร่างสูงนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะละสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยพาดผ่านไปด้วยความเร็ว ไคค่อยๆเตรียมตัวลง ร่างสูงเดินไปที่ประตูรถอย่างไม่รีบร้อน สองมือยังกดมือถือแชทกับเพื่อนไป ก่อนจะเดินลงไปเมื่อประตูรถเปิดออก
สองขายาวเดินเอื่อยไปตามทางเดินเข้าซอยบ้านที่มืดมิด บ้านหลายหลังเริ่มเข้านอนกันหมดแล้ว ไฟเริ่มถูกปิดลงตามบ้านแต่ละหลัง จนตอนนี้ทั้งซอยมีเพียงบ้านหลังเดียวที่ยังคงสว่างโล่ท้าทายความมืดของรัตติกาลอยู่
“ยังไม่นอนอีกหรอวะ” ไคสบถเมื่อยืนอยู่หน้าบ้าน นี่ห้าทุ่มกว่าแล้ว แม่เขาควรจะนอนได้แล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตอนนี้เขาเหนื่อย แล้วเขาอยากจะนอนพักมากแล้ว มือใหญ่เอื้อมไปไขประตูบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไป ทันทีที่เท้าเหยียบเข้ามา เสียงแม่ก็ดังขึ้นทันที
“ทำไมกลับบ้านดึกอย่างนี้ นี่ไปเถลไถลที่ไหนมา!!!” ผู้เป็นแม่ที่นั่งรออยู่พูดขึ้นด้วยความโกรธจัด ไคกลอกตาก่อนจะพูด
“ไปเที่ยวกับเพื่อนมา”
“แล้วทำไมกลับดึกขนาดนี้ไค! นี่มันกี่โมงแล้ว จะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะ!!!”
“ผมโตแล้วนะแม่ แค่นี้ทำไมจะกลับเองไม่ได้!!” ไคพูดอย่างหัวเสีย เขาเบื่อ เบื่อที่ต้องเจอแม่บ่นเรื่องเดิมๆ ทำเหมือนเขาเป็นเด็ก ห่วงนู่นห่วงนี่ไม่เข้าท่า
“แม่รู้แต่เดี๋ยวนี้มันมีข่าวดักปล้นกันเยอะแยะ ถ้าเกิดมันมาทำร้ายเราขึ้นมา แม่จะทำยังไง!!!”
“โอ๊ยแม่!!! แม่เลิกดูข่าวสักทีเหอะ มันไม่มาทำอะไรผมหรอก เลิกฟุ้งซ่านสักที”
“ไค ทำไมลูกพูดจาแบบนี้ แม่เตือนเพราะแม่เป็นห่วง ”ไคกลอกตาไปทางอื่นก่อนจะพึมพำเบาๆ
“บางทีผมก็อยากจะเกิดเป็นลูกของคนอื่นเหมือนกันนั่นล่ะ” คำพูดเสียงเบา แต่มันกลับดังก้อง และบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้เป็นแม่ เธอชะงักค้าง มองลูกของเธออย่างตกตะลึง ลูกชายแท้ๆที่เธอเฝ้าเพียรดูแลมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ลูกชายแท้ๆที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กลับมาพูดจาอย่างนี้ใส่เธอน่ะหรือ… ทำไม ทำไม ทำไมถึงได้โหดร้ายกับคนที่ให้เขาได้แม้กระทั่งชีวิตอย่างนี้
“เงียบทำไม ไม่บ่นต่อแล้วหรอ” ไคพูดอย่างรำคาญ แต่ผู้เป็นแม่กลับยังคงนิ่งเฉย
“นี่จะไม่บ่นอะไรแล้วใช่มั้ย จะได้ไปนอน”เขาบอกก่อนจะคว้ากระเป๋า แล้วบ่นพึมพำเบาๆ
“น่ารำคาญจริงๆ” เสียงนั้นบางเบา แต่ความหมายของมันกลับทารุณจนบีบอัดให้หัวใจของคนฟังแหลกสลาย เธอมองดู
ลูกชายเดินหายลับตาขึ้นไปชั้นสอง พร้อมกับเสียงปิดประตูดังปังดังขึ้น ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับโซฟา หยดน้ำตาร่วงเผาะอย่างห้ามไม่อยู่
กว่าหลายชั่วโมงที่เธอนั่งรอลูกชาย
กว่าหลายนาทีที่เธอต้องทนทุกข์
กว่าหลายวินาทีที่เธอต้องร้อนรน
ทุกอย่างทำไปเพื่อ…....แม่มันน่ารำคาญ
เธอเจ็บ…เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนทั้งโลกด่า เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนรักตวาด เจ็บเสียยิ่งกว่าถูกคนที่ไว้ใจตอกหน้า เพราะคนที่ว่าเธอเมื่อกี้นั่นคือแก้วตาดวงใจของเธอ แก้วตาดวงใจที่เธอบ่มเพาะเลี้ยงดูมากว่าหลายหมื่นหลายแสนชั่วโมง ตั้งแต่ยังเป็นก้อนเลือดในท้อง ตั้งแต่เท้ายังเท่าฝาหอย ตั้งแต่เด็กน้อยที่ยังบอกรักเธอสุดหัวใจ แต่ทุกอย่างที่เธอทำกลับถูกทำลายลงด้วยหนึ่งวินาทีเดียวของคำพูดที่ไม่คิดเสียก่อนของลูกชาย…
“ไม่อยากเป็นลูกแม่งั้นหรอ….” เธอพูดเสียงเศร้า เธอรู้ รู้ว่าสำหรับไค เธออาจจะเป็นแม่ที่แย่ที่สุด ไม่ได้เรื่องมากที่สุด ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจมากที่สุด แต่สำหรับเธอ ไคคือลูกที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด และมีค่ามากที่สุด…แม้ว่าเขาจะเพิ่งพูดว่าไม่อยากเป็นลูกของเธอก็ตาม…
แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆหายไป หนึ่งฉากชีวิตจริงของไคได้จบลงไปแล้ว แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเหมือนฉากแรก เขาทำเพียงแค่นั่งหลับตาลง นิ่งเงียบ และจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง…
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะทนดูความผิดพลาดในอดีตได้โดยไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะอดีตที่เลวร้ายที่ยิ่งนึกถึงยิ่งตอกย้ำและกดลึกลงไปในรอยแผลที่ไม่เคยสมานสนิท เขาจำได้ทุกอย่าง ภาพที่เขาทำเลวทำชั่วก่อกรรมไว้กับแม่ยังไง ทุกอย่างเหมือนกับคีมเหล็กที่ง้างรอยแผลของเขาให้เปิดกว้างออก แล้วสาดน้ำกรดของความระอายและรู้สึกผิดลงไปในแผลนั้น ก่อนจะบดขยี้มันด้วยการที่เขาย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว…
การรู้สึกผิด ไม่เคยเจ็บปวดเท่า…การที่เราย้อนกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องไม่ได้…
ถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับแม่ เสียงของไคเบาหวิวเสียจนน่าใจหาย อี้ฟานเหลือบมองก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“ถ้านายไม่อยากนึกถึงมันอีก ก้ไม่เป็นไรนะ” ไคยิ้มบางๆก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ ผมอยากให้พี่ดูให้จบ” อี้ฝานไม่มีโอกาสได้แย้งอะไรต่อ ภาพความทรงจำม้วนใหม่ค่อยๆถูกคลี่ออกลงในห้วงคำนึงของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ซอยบ้านของไคเหมือนเดิม บรรยากาศโดยรอบอยู่ตอนค่ำคืน อาจจะสักประมาณสองสามทุ่ม เพราะไฟตามบ้านเรือนยังคงเปิดอยู่ ร่างสันทัดของไคเดินไปตามทางเข้าบ้านด้วยสีหน้าอิดโรย เสื้อนักเรียนสีขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ที่ขาแปะแผ่นร้อนไว้สองสามจุด ร่างกายดูเหนื่อยล้าเหมือนถูกออกกำลังมาอย่างหนัก
มือใหญ่ล้วงเข้าไปหยิบกุญแจบ้าน ก่อนจะไขมันแล้วเดินเข้าไป เด็กหนุ่มทรุดนั่งที่โซฟาอย่างแรง แล้วเปิดพัดลมจ่อหน้าหวังให้คลายความร้อนและเหน็ดเหนื่อย
“วันนี้มีอะไรให้กินบ้างแม่”ประโยคแรกถูกพูดออกมาถามผู้เป็นแม่ หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยตอบ
“แม่ไม่ได้ทำเผื่อ ลูกไม่ได้กินมากับเพื่อนหรอ” ไคชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด ความเหนื่อยทำให้เขาเบื่อที่จะตอบคำถาม
“ไม่ได้กิน ผมหิว แม่ไปทำอะไรให้กินหน่อย”
“จ๊ะๆ ลูกอยากกินอะไร” เด็กหนุ่มเริ่มกลอกตาด้วยความรำคาญ
“อะไรก็ได้ ผมกินได้หมด”
“จ่ะๆ งั้นรออยู่นี่แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวแม่ไปทำให้กิน” เธอบอกก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว ไคเร่งพัดลมให้แรงขึ้น ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างรอ
ตัวเลขของนาฬิกาบนโทรศัพท์ค่อยๆเพิ่มขึ้น จากที่รอห้านาที เริ่มกลายเป็นสิบ ยี่สิบนาที ความหิวและเหนื่อยล้าทวีคูณขึ้นจนทำให้ไคยิ่งหงุดหงิดและโมโห
“แม่ทำอะไรนักหนาวะ เมื่อไรจะเสร็จสักที” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว ขณะที่ชะเง้อมองแม่ในห้องครัว
“แม่! จะเสร็จรึยัง ผมหิวแล้ว” เขาตะโกนถาม ผู้เป็นแม่ที่สนใจแต่การทำอาหารสะดุ้งตกใจจนพลาดทำถ้วยหล่นจากมือ ไคมองด้วยสายตาไม่พอใจ แม่รีบกุลีกุจอก้มเก็บ พร้อมกับเอ่ยบอกกับเขา
“จะเสร็จแล้วๆ รอแปบนึงนะ” เธอบอกก่อนจะรีบหันกลับมาทำอาหารให้ไค เด็กหนุ่มพรูลมหายใจอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จะผ่านไปครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวสักคำ
เด็กหนุ่มนั่งรอต่อไปด้วยความหงุดหงิด น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มออกมาย่อยตัวมันเอง ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะสบถด้วยความฉุนเฉียว
“แม่งเมื่อไรจะเสร็จวะ” เขากระแทกของลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะลุกพรวดไปหาแม่ ประจวบเหมาะกับที่หญิงวัยกลางคนเดินถืออาหารออกมาพอดี
“กว่าจะเสร็จ” ไคพูดเสียงเรียบก่อนจะนั่งกระแทกลงบนโต๊ะกินข้าว ผู้เป็นแม่ยกอาหารขึ้นเสิร์ฟให้ ก่อนที่ไคจะรีบตักอาหารเข้าปาก
“แค่ก แค่ก…..โอ๊ยนี่แม่ทำอะไรของแม่เนี่ย!!” เสียงต่อว่าดังออกมาจากปาก พร้อมกับไคที่รีบคายข้าวทิ้ง
“ทำไม ทำไมหรอลูก มันเป็นอะไร”
“เนื้อมันยังไม่สุกเลย!!! ทำแบบนี้แล้วใครจะไปกินได้!!” เขาผลักจานข้าวออกห่างจากตัว ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“แม่ขอโทษๆ แม่ไม่ทันดู เดี๋ยวแม่ไปทำให้ใหม่นะ”
“ไม่ต้องแล้ว!! ไม่กงไม่กินมันแล้ว!!” ไคบอกก่อนจะเดินกระแทกเท้าขึ้นบ้านไปอย่างไม่พอใจ รอมาตั้งนาน หิวจนไส้จะขาด แต่แม่กลับทำอะไรให้เขากินก็ไม่รู้
“น่ารำคาญ น่ารำคาญจริงๆเลย!!” เด็กหนุ่มสบถอย่างเดือดดาล ทำไมแม่ของเขาน่ารำคาญขนาดนี้!!! แค่ทำเนื้อให้สุกก็ยังทำไม่ได้ วันๆไม่เคยจะทำให้เขาพอใจสักอย่าง!!! เดี๋ยวก็งุ่นง่าน เดี๋ยวก็ขี้บ่น เดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาเกิดมาเป็นลูกของคนแบบนี้ได้ยังไงกัน!!!
“แค่จะเลี้ยงลูกคนเดียวยังเลี้ยงให้สบายไม่ได้ แบบนี้อย่ามาเป็นแม่คนเลยหวะ!!!” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะปิดประตูกระแทกดังปัง
เสียงประตูที่ปิดดังแว่วมาจากชั้นบนให้คนที่อยู่ชั้นล่างได้ยิน หญิงวัยกลางคนทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างเศร้าสร้อย กี่ครั้งที่ลูกพูดจากร้ายๆใส่ กี่ครั้งที่เธอต้องทนเจ็บอยู่กับคำพูดชั่วร้ายเหล่านั้น แต่ทุกครั้งเธอไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของลูกชาย เธอคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่า เพราะเธอ เพราะเธอดูแลเขาไม่ดีพอ เลี้ยงเขาไม่ดี เขาถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้
“แม่ขอโทษ…” เธอพูดเสียงเบา พร้อมกับมองมือที่แดงก่ำของตัวเอง…
เมื่อบ่ายเธอถูกน้ำร้อนลวก เมื่อครู่นี้เธอจึงพลิกเนื้อให้สุกไม่ได้….
แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆถูกความมืดดูดกลืนไปอย่างช้าๆ อี้ฟานนั่งมองไคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ ไคกำลังร้องไห้อย่างเงียบงัน เขาไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้พร่ำเพ้อว่าเสียใจ เขาเพียงแต่ปล่อยให้เสียงของความรู้สึกผิดร่ำร้องออกมาผ่านสีหน้าและหยดน้ำตา
เราไม่เคยรู้ความเจ็บปวดของพ่อแม่… ไคพูดขึ้นในความคิดของอี้ฟาน
พ่อแม่ไม่เคยแสดงด้านอ่อนแอให้เราเห็น ท่านอนุญาตให้เรามองได้แค่ด้านที่เข้มแข็ง และเหมือนจะปกป้องเราได้…
ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัย สบายใจ และพอใจ…
แม่ผมยอมเจ็บตัวเพราะแค่ผมอยากกินข้าว…
แม่บางคนยอมทำงานหนักขึ้น หรือเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาให้ เพราะแค่ลูกบอกว่าอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่…
แม่บางคนเครียดกับการเงินที่เริ่มขัดสนของบ้าน แต่ท่านยังคงยิ้มและให้เงินค่าขนมกับลูกเหมือนเดิม
แม่บางคนยอมหักเงินของตัวเอง กินน้อยลง ใช้น้อยลง แต่ยังคงให้ลูกเท่าเดิม…
ทุกอย่างที่ผมพูดมา ลูกส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ เราคิดแต่เราอยากได้ เราอยากมี แต่เราไม่เคยคิดว่าพ่อกับแม่ต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อให้เราพึงพอใจ…
“ฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น…”อี้ฟานพูดขึ้นในความเงียบ ไคสบตาเล็กน้อย ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสักพักก่อนที่เขาจะพูดขึ้นช้าๆ
ผมเองก็เคยเป็น…เป็นมากกว่าที่พี่เคย ที่ลูกๆหลายคนเคย และความผิดพลาดของผม ก็ไม่เคยมีโอกาสได้กลับไปรู้ตัวหรือรู้สึกผิดอะไรอีก…
แล้วภาพความทรงจำม้วนใหม่ก็ค่อยๆถูกฉายขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ไม่ครุมเครือ ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในความคิดของผู้เฝ้ามอง…
“หายไปไหนหมดวะเนี่ย” เสียงของไคดังขึ้น พร้อมที่ภาพทุกอย่างค่อยๆเด่นชัด ร่างสันทัดกำลังง่วนอยู่กับการหาอะไรบางอย่างอยู่ตามลิ้นชัก และกล่องเก็บของภายในห้อง
“ไม่มีเลยหรอวะเนี่ย” เขาบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมานับซ้ำอีกรอบ
“ไม่พอ” ไคว่าก่อนจะลุกพรวดออกไปจากห้อง สองขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาชั้นล่าง ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นสบตา
“แม่! ผมขอเงินหน่อย”เด็กหนุ่มร้องบอก ผู้เป็นแม่เหลือบตาดูปฏิทิน
“ไค แม่เพิ่งให้ค่าขนมไปเองนะ ใช้หมดแล้วหรอ”
“แค่นั้นมันจะไปพอยาไส้อะไร! ผมขอเพิ่มอีกห้าแสนวอน” ไคตวาด คนฟังถึงกับเบิกตาโพล่ง
“ไคนั่นมันเยอะมากเลยนะ!!! ลูกจะเอาไปซื้ออะไร” เด็กนุ่มกลอกตาอย่างหัวเสีย
“ผมจะเอาไปใช้อะไรก็เรื่องของผมเถอะ แม่มีหน้าที่ให้ แม่ก็ให้มาเหอะ”
“แต่เงินนั่นมัน……”
“หรือแม่จะให้ผมไปยื่มคนอื่น”ไคพูดดักคอ ผู้เป็นแม่จำต้องเก็บคำต่อว่าไว้ เธอจำใจเดินเลี่ยงไปหยิบกล่องเก็บเงินออกมา จำนวนเงินที่มีอยู่ในกล่องเหลือน้อยลงมากแล้ว ดวงตาหม่นหมองของเธอมองแบงค์ย่อยและเศษเหรียญในนั้นก่อนจะหันไปหาไค
“แค่สามแสนวอนไม่ได้หรอ ไค”
“แค่นั้นจะไปพออะไร ผมขอห้าแสน!!”ไคตวาดใส่ คนเป็นแม่ทำหน้าหวาดกลัว หยาดน้ำตาพาลจะไหลอยู่รอมร่อ
“แต่แม่ให้ได้เท่านี้จริงๆ”
“ไหนเอามาดูดิ่! มีเท่านี้จริงรึเปล่า!” เขาตะคอกก่อนจะคว้ากล่องเงินไปนับเอง
“ไค!! ไม่ได้นะไค นั่นเงินเก็บของแม่นะ ลูกจะเอาไปไม่ได้”ผู้เป็นแม่พยายามยื้อกล่องกลับคืนมาแต่ถูกอีกฝ่ายกันเอาไว้
“ ทำไมผมจะเอาไปไม่ได้!! ผมเป็นลูกแม่นะ” เขาบอกพร้อมกับหยิบเงินออกมาจากกล่อง
“ไค!! ไค ไม่ได้นะ ขอคืนให้แม่เถอะ!!”ผู้เป็นแม่อ้อนวอน เธอรีบวิ่งตามหลัง ฝ่าเท้าเปล่าๆย้ำลงไปกับพื้นถนนที่ร้อนระอุ
“เดี๋ยวผมเอามาคืนน่า เลิกตามมาสักที!!” เขาบอกอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเริ่มออกวิ่งเร็วขึ้น
“ไค ไค!! แต่นั่นสำคัญกับแม่มากนะ ขอร้องล่ะ คืนให้แม่เถอะ”เธอบอกพร้อมกับรั้งแขนเขาเอาไว้ เด็กหนุ่มหันกลับมาผลักออกอย่างแรง
“น่ารำคาญ!!” เขาสบถออกมา ก่อนจะเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยทิ้งร่างของแม่ที่ถูกผลักลงกับพื้นจนข้อศอกเลือดไหลไว้ด้านหลัง สองขายาวค่อยๆชะลอความเร็วลงก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังว่าแม่ยังตามมาอยู่ไหม
“เหอะ! เลิกตามได้สักที”
“คุณ!!! ระวัง!!!” ไคหันกลับมาตามเสียงเรียก แต่ทุกอย่างก็ไม่ทันเสียแล้ว รถคันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างของไคกระเด็นขึ้นไปในอากาศ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วถนน ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียง
“มีคนถูกรถชน มีคนถูกรถชน!!!” เสียงชาวบ้านแถวนั้นร้องดังโหวกเหวก เจ้าของรถคันนั้นรีบจอดรถแล้ววิ่งลงมาดู ร่างของไคนอนจมกองเลือด กระดูกคอหัก ร่างกายบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกโพล่ง เศษกระจกกรีดที่ปากจนฉีกลึกถึงใบหู มือถูกชิ้นส่วนรถตัดจนเกือบขาด แทบจะทุกอวัยวะที่เคยทำร้ายร่างกายและจิตใจแม่ถูกลงทัณฑ์ ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างพากันมุงดู บางส่วนพยายามเรียกรถพยาบาล ในขณะที่บางส่วนแค่อยากรู้อยากเห็น
“คนบาปมักจะตายไม่ดี…” จู่ๆเสียงของไคก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ภาพในอดีตค่อยๆเลือนรางลง อี้ฟานพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ
“สภาพฉันตอนตายก็ไม่ดีเท่าไร” อี้ฟานนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาตื่นขึ้นมาในร่างโอปปาติกะแล้วมองดูสภาพศพในร่างมนุษย์ของเขาที่ถูกไม้แหลมคมเสียบที่ร่าง
“ผมพอจะเข้าใจ…” ไคตอบรับ ก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากที่ผมตายลง สภาพการเป็นโอปปาติกะก็เริ่มต้นขึ้น และตั้งแต่วินาทีแรกของการเป็นอมนุษย์ ผมก็ถูกลงทัณฑ์จากบาปที่ตัวเองก่อไว้ทันที” คำพูดของไคจางหายไป พร้อมกับภาพความทรงจำที่กลับมาอีกครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Oct 17, 2014 1:58 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง