“พ่อของฉันเอาเกียรติยศของนายไป”
“…….”
“ฉันก็จะคืนเกียรติของฉันให้นายแทน”
.
.
.
ชั่ววูบหนึ่งที่ความสงสารเข้ามาทักทายหัวใจของอี้เอิน จิตใจด้านสว่างกระชากความคิดให้หยุดยั้ง จิตใต้สำนึกตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ที่ทำอยู่นี้ถูกต้องแล้วหรือ ยุติธรรมแล้วหรือ สมควรจะทำต่อไปหรือ ทุกความรู้สึกเดินทางมาสู่ความสับสน ทว่า…
มันก็เป็นแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น
เมื่อบวกลบคูณหารสิ่งที่เขาได้เจอมา เทียบกับสิ่งที่อีกฝ่ายเจอยังไม่เท่าเศษเสี้ยวเลยด้วยซ้ำ…
ร่างสูงแสยะยิ้มร้ายก่อนจะดันอีกฝ่ายให้ล้มลงบนเตียงแล้วมอบรสจูบที่ร้อนแรงกว่าให้
“นายเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เองนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคู่คมจับจ้องดวงตาที่ว่างเปล่าอย่างเยาะเย้ยก่อนจะหัวเราะในลำคอแล้วประกบปากจูบซ้ำลงไปอีกครั้ง
การลงทัณฑ์จากมัจจุราชเริ่มต้นขึ้น ศักดิ์ศรีของนางฟ้าค่อยๆถูกเหยียบย่ำ ริมฝีปากร้อนเข้าดูดเม้มแล้วบดขยี้ ลิ้นสากสอดเกี่ยวพันไปมาอย่างจาบจ้วง ฝ่ามือแกร่งบีบขยำฟอนเฟ้นทั่วร่างอย่างหยาบโลน โดยไม่สนใจแม้กระทั่งร่างกายน้อยๆที่สั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร
แบมแบมกำผ้าปูที่นอนแน่น สัมผัสที่แสนจะน่ากลัวเขย่าหัวใจจนความเข้มแข็งสึกกร่อนพังทลาย แล้วร่วงลงสู่หุบเหวแห่งความอดสู ได้แต่นอนแน่นิ่งปล่อยให้สัมผัสจากอีกฝ่ายเหยียบย่ำแล้วบดขยี้ลงบนศักดิ์ศรีผ่านทางร่างกาย ให้ตอก ให้ย้ำถึงความอัปยศของชีวิตของบุตรแห่งราชันย์แห่งเทพที่ถูกกระทำเยี่ยงสิ่งของอันไร้ค่า
‘บุตรแห่งข้า เจ้าจงจำไว้เสมอ เกิดเป็นบุตรแห่งซุส จงรักศักดิ์ศรีไว้เหนือชีพ ยอมตายได้ แต่อย่ายอมให้ใครเหยียดหยาม’ ถ้อยคำที่พ่อเคยสอนไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว
‘ชีวิตนับเป็นสิ่งไร้ค่า คุณค่าในตัวเจ้าต่างหากที่สำคัญ’
‘ศักดิ์ศรี เกียรติยศ และคุณค่าเป็นสิ่งที่เจ้าต้องดำรงเอาไว้ตราบสิ้นชีวา’
เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขากำลังถูกเหยียบย่ำมัน ร่างเล็กกัดริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย สัมผัสจากมาร์คยังคงจาบจ้วงไปทั่วร่าง กลีบปากหนาพรมจูบทั่วหน้าอก ลิ้นร้อนตวัดเลียเขี่ยดุนยอดอกให้สั่นสะท้าน
“อึก! อื้ออออ” ยิ่งร่างกายตอบสนอง หัวใจก็ยิ่งแหลกลาน ร่างเล็กพยายามอั้นเสียงคราง บอกกับตัวเองว่าให้รู้สึกกับมันน้อยที่สุด ทรยศต่อศักดิ์ศรีน้อยที่สุด
ร่างสูงยิ่งหยิ่งผยอง ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มร้ายก่อนจะระรัวลงลิ้นเลียถี่ๆ ร่างบางเผลอบิดเร่าด้วยความเสียว อี้เอินยิ่งได้ใจเพิ่มรสสัมผัสพร้อมกับใช้นิ้วสะกิดเขี่ยยอดอกอีกข้างไปด้วย
“อ๊ะ อ้ะ!” เสียงครางหวานเริ่มหลุดรอด อี้เอินเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงลูบไล้แกนกายเล็กแล้วกดบี้ที่ช่องทางด้านหลังเบาๆ
............ลงพาร์ท NC ในทวิตlong ............
ฉับพลันนั้นแบมแบมก็ร้องเสียงหลง ความเสียวซ่านวิ่งแปลบไปทั่วร่าง สะโพกมนลอยหวือ อี้เอินจับกระชากเข้าหา สองมือจับแยกขากว้างก่อนจะรัวลิ้นตวัดเลียรอบปากทางแสนบริสุทธิ์
“อ อ อ๊า” ร่างบางร้องคราง สติสัมปชัญญะเริ่มหลุดลอย ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในช่องทางแล้วรัวลิ้นเลียไปทั่วจนร่างกายสั่นสะท้าน
ความเสียวซ่านที่มาพร้อมความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ร่างเล็กเผลอหยัดกายขึ้น เรือนร่างบิดเร่าอย่างทรมาน อี้เอินดูดเม้มปากทางแรงๆจนสั่นกระตุกก่อนจะลงลิ้นเลียภายในระรัวแล้วดึงแกนกายใหญ่โตของตนออกมาถูไถที่ช่องทาง
แบมแบมเบือนสายตาไปทางอื่น เขาไม่อาจทนดูต่อไปได้ มันน่าอดสูเกินไป อัปยศเกินไป และบาดลึกหัวใจของเขาเกินไป
“เบือนหน้าหนีทำไมล่ะ เป็นคนเสนอเองไม่ใช่หรอ” อี้เอินกระชากใบหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมาสบตาด้วย วินาทีนั้นหัวใจที่แสนจะบิดเบี้ยวก็สั่นกระตุกอย่างรุนแรง…
คราบน้ำตาที่รินไหล
ความโศกเศร้าที่คั้นกลั่นออกมาเป็นสายเลือด
.
.
.
เด็กคนนี้ ร้องไห้ ออกมาเป็นสายเลือดเลยหรอ
“อยากจะทำอะไรก็ทำ” บุตรแห่งซุสเอ่ยบอก เปลือกตาบางปิดลง น้ำตาที่กลายเป็นสายเลือดค่อยๆหลั่งริน เขารู้ เขารู้ รู้ดีว่าร่างนี้ใกล้จะแตกสลายเต็มทีแล้ว หัวใจของเด็กคนนี้รวดร้าวจนแค่แรงสั่นเพียงเบาๆก็พร้อมจะพังทลายลงมาได้ทันที แต่ถึงจะอย่างนั้น…
เขาก็ยินดีที่จะเป็นคนทำลายมัน
อี้เอินจับแกนกายสอดเข้าไปในช่องทางทีเดียวจนสุด แบมแบมหวีดร้องลั่น ร่างสูงยังดันทุรังขยับสอดใส่อย่างไร้การเบิกทาง ไร้การหลอลื่น สะโพกสอบเริ่มขยับเข้าออก มือแกร่งบีบเคล้นสะโพกมน กลีบปากดูดเม้มยอดอกเร็วๆไปด้วย
“อ๊ะ อ่ะ อื้อออออ” เสียงครางเล็กรอด อี้เอินจงใจกระแทกจุดกระสันอย่างแรง ร่างบางเผลอขมิบตอดรัดถี่รัว เสียงหวานครวญครางลั่นห้อง ร่างสูงยิ่งเพิ่มแรงสอดใส่มากขึ้นเรื่อยๆ
การลงทัณฑ์จากมัจจุราชค่อยๆเพิ่มแรงเป็นเท่าทวี ร่างกายของแบมแบมค่อยๆแตกสลาย จิตใจค่อยๆดำดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งการไม่รับรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังขับเคลื่อนเป็นเพียงแค่พลังงานจากร่างกาย หาใช่จากจิตใจไม่
ร่างสูงยังคงสอดใส่เร็วขึ้นเรื่อยๆ มือแกร่งจับขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า ปากได้รูปขบกัดและดูดเม้มซอกขาอย่างกระหาย แกนกายใหญ่โตขยายพองคับภายในจนแน่น ส่วนปลายบวมร้อนรูดไปกับผนังจนเลือดซิบ อี้เอินกระแทกจุดกระสันถี่ๆหวังให้อีกฝ่ายตอบสนอง
“ฮ่ะ อึก! อื้ออออ” แบมแบมหวีดคราง สองแขนเผลอโอบรัดต้นคออีกฝ่าย ร่างสูงโน้มหน้าลงไปบดขยี้จูบอย่างเร่าร้อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าจิตวิญญาณทั้งหมดของแบมแบมได้ดับสูญไปแล้ว…
เสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังยังต่อเนื่อง ร่างสูงเร่งแรงสอดใส่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เพลิงแห่งราคะลุกโหมจนถึงขีดสุด อี้เอินจับอีกฝ่ายแยกขาออกกว้าง กระแทกแกนกายเข้าไปจนสุดก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยหลักฐานแห่งความอัปยศภายในร่างอีกฝ่าย แบมแบมเหลือบตาที่ไร้แววขึ้นดู ใบหน้าอีกฝ่ายที่สุขสม นัยน์ตาคมเข้มที่จับจ้อง ร่างกายสมส่วนที่คร่อมอยู่เหนือร่าง
ปีศาจ…
เขาเห็นเพียงปีศาจ
เป็นแค่เงาอันดำทมิฬของมัจจุราชที่พรากความเป็นคนของเขาไป
“แค่รอบเดียวก็เหนื่อยแล้วหรอ” เขาได้ยินปีศาจตนนั้นพูดอย่างเลือนราง
“แค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ” ปีศาจตนนั้นกระชากเขาเข้าไปหา ภาพทั้งหมดพร่าเรือนเหมือนภาพโฮโลแกรมไร้คุณภาพ
“เรามาสนุกด้วยกันต่อดีกว่า” เสียงนั้นช่างฟังดูห่างไกล ภาพนั้นช่างหมองมัว เขารับรู้ได้เพียงแรงที่เริ่มกระแทกกระทั้นเข้ามาในร่างเขาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวใจของตัวเองที่จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของการไม่รับรู้…
.... เอานี่กลับไปลงที่เด็กดี อย่าลืมบอกในทวิตlong ว่าอ่านต่อในเด็กดี....
เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งของความเจ็บปวด หัวใจของคนเราจะเข้า
ใกล้กับคำว่า ‘ไร้ความรู้สึก’…
แบมแบมไม่แน่ใจว่าเขากำลังเป็นอย่างนั้นอยู่รึเปล่า แต่สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับความรู้สึกนั้น เพราะหลังจากผ่านการเหยียบย่ำแล้วบดขยี้ศักดิ์ศรีของเขาให้แหลกละเอียดแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ็บปวดอะไรมากนัก….ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เหมือนคนที่ถูกทรมานมาอย่างหนักที่เมื่อถึงจุดหนึ่งจิตใต้สำนึกจะหันหลังให้กับการรับรู้อย่างสิ้นเชิง
การนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องที่กรุกระจกเห็นวิวทิวทัศน์ของโลกใต้ท้องทะเลน้ำลึกให้ความรู้สึกเงียบสงบและหงอยเหงาในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาคู่เรียวกวาดตามองร่องรอยความป่าเถื่อนอย่างเลื่อนลอย ในแววตาไม่มีแม้กระทั่งความเจ็บปวด หรือเคียดแค้น ฝ่ามือเรียวเพียงแค่เอื้อมมือแตะคราบเลือดเบาๆ ยกมือขึ้นมาดูแล้วลูบมันช้าๆ นึกย้อนกลับไปถึงที่มาของมันอย่างเรื่อยเปื่อย
เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนถูกอีกฝ่ายทำร้ายกันไปกี่รอบ รู้แค่ราวๆว่าถูกกระแทกกระทั้นเข้ามาจนเลือดไหล กระชากไปจูบอย่างป่าเถื่อนอีกหลายครั้ง แล้วจบลงได้การปลดปล่อยความเกลียดชังในร่างกายเขาอีกนับครั้งไม่ถ้วน
มันก็แค่สิ่งที่เขาต้องชดใช้…
เขาคิดอย่างนั้น จวบจนวินาทีนี้แทบไม่มีความเกลียดชังอยู่ในใจของเขาแล้ว…
.
.
.
เขาเหนื่อย
อ่อนและล้าเกินกว่าจะสู้แล้ว
ร่างบางค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำช้าๆ ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้น ฝ่ามือเรียวแบมือที่เปื้อนคราบเลือดที่หน้าตักอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยมองมันด้วยแววตาเหม่อลอย ตั้งคำถามกับหัวสมองอันว่างเปล่าของตัวเอง
“ตอนที่แม่โดนพ่อข่มขืน แม่รู้สึกอย่างนี้มั้ยครับ”เสียงหวานที่แหบแห้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
“เจ็บปวดจนไร้ความรู้สึกอย่างนี้รึเปล่า” ตาคู่สวยเหลือบมองไปตามรอยรักที่แปดเปื้อน
“ทรมานจน…”
.
.
.
“รู้สึกอยากจะตายอย่างนี้รึเปล่า” ฝ่ามือน้อยหยิบขวดยาพิษที่ทานาทอสเคยแอบให้ไว้ออกมา พิษไฮดราเข้มข้น สามารถคร่าวิญญาณเขาออกจากร่างได้ตั้งแต่พิษหยดแรก
เหนื่อยเหลือเกิน
ทรมานเหลือเกิน
สิ้นหวังเหลือเกิน
“ถ้าไม่มีผมสักคน อะไรๆก็คงดีกว่านี้ ท่านพ่อครับ” ใบหน้านวลที่แสนจะอ่อนล้าแหงนหน้าขึ้นมองยังเบื้องบน ภาวนาว่าขอให้ขอความนี้ส่งไปถึงพ่อที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กๆ
“ผมขอโทษ…” ขวดยาพิษถูกกระดกดื่มทีเดียวจนหมดขวด
“แค่ก แค่ก!!” พิษเริ่มทำลายระบบทางเดินอาหาร ของเหลวสีดำลวกหลอดอาหารราวกับน้ำกรดจนร่างเล็กสำลักออกมาเป็นเลือดย้อมผ้าปูที่นอนให้กลายเป็นสีแดงฉาน ความทรงจำตลอดช่วงอายุ ทั้งเสียงหัวเราะ ร้องไห้ ความสุข ความทุกข์ ไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิด
ภาพตอนที่พ่อแกล้งปลอมเป็นมนุษย์เพื่อเซอร์ไพส์วันพ่อที่โรงเรียนของเขา ภาพของพ่อที่เช็ดน้ำตาให้เขาตอนถามถึงแม่ ภาพของเขาตอนฝันถึงแม่ที่รักและห่วงใยเขา ภาพตอนที่แม่ทำร้ายเขา ภาพตอนที่พ่อโกรธเขา ทุกๆอย่างถูกกลั่นกรองออกมาเป็นความทรงจำของคนคนหนึ่ง แม้มันจะไม่สวยงาม แต่มันคือเครื่องยืนยัน ยืนยันว่าครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้ ผู้ชายคนนี้เคยมีชีวิตอยู่ในฐานะของบุตรแห่งซุส จอมราชันย์แห่งสรวงสวรรค์
“ผมรัก พ่อนะ ผม รัก พ่อนะ” พิษกัดกินไปถึงกระเพาะ ลวกทุกสิ่งทุกอย่างให้หลอมละลาย
“แค่ก แค่ก”ร่างเล็กอาเจียนออกมาเป็นเลือด พิษบางส่วนไหลย้อนเข้าระบบทางเดิน
หายใจ หลอดลมเริ่มตีบตัน ทวารทั้งห้าเริ่มเปิด ตัวคุดคู้ บิดเร่าไปมาอย่างทรมาน สติสัมปชัญญะใกล้ถึงจุดแตกดับ
“แบมแบม!! แบมแบม!!” เสียงอี้เอินตะโกนดังมาจากอีกฝั่งพร้อมกับเสียงวิ่งมาที่ประตู
“พ่อ พ่อครับ ผม ผม” ร่างกายชักกระตุก ดวงตาเหลือกขึ้นจนเหลือแต่ตาขาว พิษของไฮดราแพร่กระจายเข้าเส้นเลือด อี้เอินเคาะประตูอย่างรุนแรง
“แบมแบม!! เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!! แบมแบม!! แบม!!”
“พ่อ ผม ผม”เอื้อมมือจับคอตัวเองที่ถูกพิษไฮดราลวกจนหลอดลมและหลอดอาหารแทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
“แบม!!!”
“ผมรัก….พ่อนะ” ฉับพลันนั้นร่างเล็กก็หยุดชัก เลือดไหลเจิ่งออกมาจากร่าง ดวงตามองขึ้นไปยังเบื้องบนพร้อมด้วยกลีบปากที่แย้มยิ้มเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อี้เอินสามารถเปิดประตูเข้ามาได้
“แบมแบมๆ!!!”ร่างสูงรีบถลาเข้ามาช้อนตัวอีกคนขึ้นมาไว้ในอ้อมอก พยายามเขย่าเรียกให้ได้สติ
“แบม! ตื่นสิ! ตื่น! แบมแบม!!” เขาพยายามตบแก้มอีกฝ่ายแรงๆให้ตื่นขึ้นมา ไอแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายยังมีไม่มาก ยังพอมีหวังที่จะพาอีกฝ่ายกลับมา
“มาร์ค เกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันได้ยิน แบมแบม!!” เจบีที่เพิ่งตามเข้ามาร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างที่นอนแน่นิ่ง
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!?”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน รีบมาช่วยฉันก่อน!” ร่างสูงตวาดพร้อมกับอุ้มร่างของแบมแบมให้กลับไปนอนที่เตียงก่อนจะหันมาเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“นายพอจะรู้จักใครที่พอจะช่วยรักษาได้แล้วอยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุดบ้างมั้ย”
“ใครที่พอจะช่วยรักษาได้มากที่สุดงั้นหรอ” เจบีพยายามเค้นความคิด ใต้บาดาลอย่างนี้จะมีใครที่พอจะช่วยได้บ้าง
“……..”
“ถ้าจากนี้ใกล้ที่สุดก็วิหารอมอร์ฟอร์ซิส”
“งั้นก็รีบไป” อี้เอินพูดรัวพร้อมกับอุ้มแบมแบมออกไปจากห้องโดยมีแจบอมตามมาข้างหลัง
“เดี๋ยวมาร์ค” จู่ๆบุตรแห่งโพไซดอนก็ร้องเรียกให้หยุด ร่างสูงหันขวับกลับไปอย่างฉุนเฉียว
“ฉันว่าบางทีเราอาจต้องไปบ้านของนายแทน”
“หมายความว่ายังไง” อี้เอินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรมากกว่า คลื่นความตกใจจะเข้าจู่โจมเมื่อดวงตาสบเข้ากับอะไรบางอย่างที่เจบีหยิบขึ้นมาจากพื้น
“ยาพิษไฮดรา” เจบีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เนื้อความในประโยคนั้นก็ชัดเจนมากพอที่จะเขย่าความรู้สึกของผู้ชายทั้งสองคนให้สั่นไหว
พิษไฮดรา
หนึ่งในสัตว์ประหลาดที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในตำนาน
และในประวัติศาสตร์…
.
.
.
ยังไม่มีใครคิดยาถอนพิษได้
“ถ้าเรารีบ เราจะพาแบมแบมกลับมาก่อนที่จะไปถึงนรกได้มั้ย” เจ้าชายแห่งท้องทะเลเอ่ยถาม อี้เอินที่เคยมีท่าทีร้อนรนกลับเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง สองแขนที่เคยอุ้มอีกฝ่ายไว้ค่อยๆผ่อนแรงลงจนปล่อยให้อีกฝ่ายนอนลงกับพื้น
“ไม่…”เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ดังนัก ทว่ากลับหนักแน่น
“………”
“กฎของความตาย ถ้าวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะไม่มีวันกลับมาได้” นัยน์ตาคู่คมสบตากับเพื่อน เจบียืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น
“…….”
“ฉันก็จะคืนเกียรติของฉันให้นายแทน”
.
.
.
ชั่ววูบหนึ่งที่ความสงสารเข้ามาทักทายหัวใจของอี้เอิน จิตใจด้านสว่างกระชากความคิดให้หยุดยั้ง จิตใต้สำนึกตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ที่ทำอยู่นี้ถูกต้องแล้วหรือ ยุติธรรมแล้วหรือ สมควรจะทำต่อไปหรือ ทุกความรู้สึกเดินทางมาสู่ความสับสน ทว่า…
มันก็เป็นแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น
เมื่อบวกลบคูณหารสิ่งที่เขาได้เจอมา เทียบกับสิ่งที่อีกฝ่ายเจอยังไม่เท่าเศษเสี้ยวเลยด้วยซ้ำ…
ร่างสูงแสยะยิ้มร้ายก่อนจะดันอีกฝ่ายให้ล้มลงบนเตียงแล้วมอบรสจูบที่ร้อนแรงกว่าให้
“นายเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เองนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคู่คมจับจ้องดวงตาที่ว่างเปล่าอย่างเยาะเย้ยก่อนจะหัวเราะในลำคอแล้วประกบปากจูบซ้ำลงไปอีกครั้ง
การลงทัณฑ์จากมัจจุราชเริ่มต้นขึ้น ศักดิ์ศรีของนางฟ้าค่อยๆถูกเหยียบย่ำ ริมฝีปากร้อนเข้าดูดเม้มแล้วบดขยี้ ลิ้นสากสอดเกี่ยวพันไปมาอย่างจาบจ้วง ฝ่ามือแกร่งบีบขยำฟอนเฟ้นทั่วร่างอย่างหยาบโลน โดยไม่สนใจแม้กระทั่งร่างกายน้อยๆที่สั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร
แบมแบมกำผ้าปูที่นอนแน่น สัมผัสที่แสนจะน่ากลัวเขย่าหัวใจจนความเข้มแข็งสึกกร่อนพังทลาย แล้วร่วงลงสู่หุบเหวแห่งความอดสู ได้แต่นอนแน่นิ่งปล่อยให้สัมผัสจากอีกฝ่ายเหยียบย่ำแล้วบดขยี้ลงบนศักดิ์ศรีผ่านทางร่างกาย ให้ตอก ให้ย้ำถึงความอัปยศของชีวิตของบุตรแห่งราชันย์แห่งเทพที่ถูกกระทำเยี่ยงสิ่งของอันไร้ค่า
‘บุตรแห่งข้า เจ้าจงจำไว้เสมอ เกิดเป็นบุตรแห่งซุส จงรักศักดิ์ศรีไว้เหนือชีพ ยอมตายได้ แต่อย่ายอมให้ใครเหยียดหยาม’ ถ้อยคำที่พ่อเคยสอนไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว
‘ชีวิตนับเป็นสิ่งไร้ค่า คุณค่าในตัวเจ้าต่างหากที่สำคัญ’
‘ศักดิ์ศรี เกียรติยศ และคุณค่าเป็นสิ่งที่เจ้าต้องดำรงเอาไว้ตราบสิ้นชีวา’
เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขากำลังถูกเหยียบย่ำมัน ร่างเล็กกัดริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย สัมผัสจากมาร์คยังคงจาบจ้วงไปทั่วร่าง กลีบปากหนาพรมจูบทั่วหน้าอก ลิ้นร้อนตวัดเลียเขี่ยดุนยอดอกให้สั่นสะท้าน
“อึก! อื้ออออ” ยิ่งร่างกายตอบสนอง หัวใจก็ยิ่งแหลกลาน ร่างเล็กพยายามอั้นเสียงคราง บอกกับตัวเองว่าให้รู้สึกกับมันน้อยที่สุด ทรยศต่อศักดิ์ศรีน้อยที่สุด
ร่างสูงยิ่งหยิ่งผยอง ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มร้ายก่อนจะระรัวลงลิ้นเลียถี่ๆ ร่างบางเผลอบิดเร่าด้วยความเสียว อี้เอินยิ่งได้ใจเพิ่มรสสัมผัสพร้อมกับใช้นิ้วสะกิดเขี่ยยอดอกอีกข้างไปด้วย
“อ๊ะ อ้ะ!” เสียงครางหวานเริ่มหลุดรอด อี้เอินเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงลูบไล้แกนกายเล็กแล้วกดบี้ที่ช่องทางด้านหลังเบาๆ
............ลงพาร์ท NC ในทวิตlong ............
ฉับพลันนั้นแบมแบมก็ร้องเสียงหลง ความเสียวซ่านวิ่งแปลบไปทั่วร่าง สะโพกมนลอยหวือ อี้เอินจับกระชากเข้าหา สองมือจับแยกขากว้างก่อนจะรัวลิ้นตวัดเลียรอบปากทางแสนบริสุทธิ์
“อ อ อ๊า” ร่างบางร้องคราง สติสัมปชัญญะเริ่มหลุดลอย ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในช่องทางแล้วรัวลิ้นเลียไปทั่วจนร่างกายสั่นสะท้าน
ความเสียวซ่านที่มาพร้อมความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ร่างเล็กเผลอหยัดกายขึ้น เรือนร่างบิดเร่าอย่างทรมาน อี้เอินดูดเม้มปากทางแรงๆจนสั่นกระตุกก่อนจะลงลิ้นเลียภายในระรัวแล้วดึงแกนกายใหญ่โตของตนออกมาถูไถที่ช่องทาง
แบมแบมเบือนสายตาไปทางอื่น เขาไม่อาจทนดูต่อไปได้ มันน่าอดสูเกินไป อัปยศเกินไป และบาดลึกหัวใจของเขาเกินไป
“เบือนหน้าหนีทำไมล่ะ เป็นคนเสนอเองไม่ใช่หรอ” อี้เอินกระชากใบหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมาสบตาด้วย วินาทีนั้นหัวใจที่แสนจะบิดเบี้ยวก็สั่นกระตุกอย่างรุนแรง…
คราบน้ำตาที่รินไหล
ความโศกเศร้าที่คั้นกลั่นออกมาเป็นสายเลือด
.
.
.
เด็กคนนี้ ร้องไห้ ออกมาเป็นสายเลือดเลยหรอ
“อยากจะทำอะไรก็ทำ” บุตรแห่งซุสเอ่ยบอก เปลือกตาบางปิดลง น้ำตาที่กลายเป็นสายเลือดค่อยๆหลั่งริน เขารู้ เขารู้ รู้ดีว่าร่างนี้ใกล้จะแตกสลายเต็มทีแล้ว หัวใจของเด็กคนนี้รวดร้าวจนแค่แรงสั่นเพียงเบาๆก็พร้อมจะพังทลายลงมาได้ทันที แต่ถึงจะอย่างนั้น…
เขาก็ยินดีที่จะเป็นคนทำลายมัน
อี้เอินจับแกนกายสอดเข้าไปในช่องทางทีเดียวจนสุด แบมแบมหวีดร้องลั่น ร่างสูงยังดันทุรังขยับสอดใส่อย่างไร้การเบิกทาง ไร้การหลอลื่น สะโพกสอบเริ่มขยับเข้าออก มือแกร่งบีบเคล้นสะโพกมน กลีบปากดูดเม้มยอดอกเร็วๆไปด้วย
“อ๊ะ อ่ะ อื้อออออ” เสียงครางเล็กรอด อี้เอินจงใจกระแทกจุดกระสันอย่างแรง ร่างบางเผลอขมิบตอดรัดถี่รัว เสียงหวานครวญครางลั่นห้อง ร่างสูงยิ่งเพิ่มแรงสอดใส่มากขึ้นเรื่อยๆ
การลงทัณฑ์จากมัจจุราชค่อยๆเพิ่มแรงเป็นเท่าทวี ร่างกายของแบมแบมค่อยๆแตกสลาย จิตใจค่อยๆดำดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งการไม่รับรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังขับเคลื่อนเป็นเพียงแค่พลังงานจากร่างกาย หาใช่จากจิตใจไม่
ร่างสูงยังคงสอดใส่เร็วขึ้นเรื่อยๆ มือแกร่งจับขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า ปากได้รูปขบกัดและดูดเม้มซอกขาอย่างกระหาย แกนกายใหญ่โตขยายพองคับภายในจนแน่น ส่วนปลายบวมร้อนรูดไปกับผนังจนเลือดซิบ อี้เอินกระแทกจุดกระสันถี่ๆหวังให้อีกฝ่ายตอบสนอง
“ฮ่ะ อึก! อื้ออออ” แบมแบมหวีดคราง สองแขนเผลอโอบรัดต้นคออีกฝ่าย ร่างสูงโน้มหน้าลงไปบดขยี้จูบอย่างเร่าร้อน โดยที่ไม่รู้เลยว่าจิตวิญญาณทั้งหมดของแบมแบมได้ดับสูญไปแล้ว…
เสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังยังต่อเนื่อง ร่างสูงเร่งแรงสอดใส่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เพลิงแห่งราคะลุกโหมจนถึงขีดสุด อี้เอินจับอีกฝ่ายแยกขาออกกว้าง กระแทกแกนกายเข้าไปจนสุดก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยหลักฐานแห่งความอัปยศภายในร่างอีกฝ่าย แบมแบมเหลือบตาที่ไร้แววขึ้นดู ใบหน้าอีกฝ่ายที่สุขสม นัยน์ตาคมเข้มที่จับจ้อง ร่างกายสมส่วนที่คร่อมอยู่เหนือร่าง
ปีศาจ…
เขาเห็นเพียงปีศาจ
เป็นแค่เงาอันดำทมิฬของมัจจุราชที่พรากความเป็นคนของเขาไป
“แค่รอบเดียวก็เหนื่อยแล้วหรอ” เขาได้ยินปีศาจตนนั้นพูดอย่างเลือนราง
“แค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ” ปีศาจตนนั้นกระชากเขาเข้าไปหา ภาพทั้งหมดพร่าเรือนเหมือนภาพโฮโลแกรมไร้คุณภาพ
“เรามาสนุกด้วยกันต่อดีกว่า” เสียงนั้นช่างฟังดูห่างไกล ภาพนั้นช่างหมองมัว เขารับรู้ได้เพียงแรงที่เริ่มกระแทกกระทั้นเข้ามาในร่างเขาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวใจของตัวเองที่จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของการไม่รับรู้…
.... เอานี่กลับไปลงที่เด็กดี อย่าลืมบอกในทวิตlong ว่าอ่านต่อในเด็กดี....
เคยมีคนพูดเอาไว้ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งของความเจ็บปวด หัวใจของคนเราจะเข้า
ใกล้กับคำว่า ‘ไร้ความรู้สึก’…
แบมแบมไม่แน่ใจว่าเขากำลังเป็นอย่างนั้นอยู่รึเปล่า แต่สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับความรู้สึกนั้น เพราะหลังจากผ่านการเหยียบย่ำแล้วบดขยี้ศักดิ์ศรีของเขาให้แหลกละเอียดแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ็บปวดอะไรมากนัก….ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เหมือนคนที่ถูกทรมานมาอย่างหนักที่เมื่อถึงจุดหนึ่งจิตใต้สำนึกจะหันหลังให้กับการรับรู้อย่างสิ้นเชิง
การนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องที่กรุกระจกเห็นวิวทิวทัศน์ของโลกใต้ท้องทะเลน้ำลึกให้ความรู้สึกเงียบสงบและหงอยเหงาในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาคู่เรียวกวาดตามองร่องรอยความป่าเถื่อนอย่างเลื่อนลอย ในแววตาไม่มีแม้กระทั่งความเจ็บปวด หรือเคียดแค้น ฝ่ามือเรียวเพียงแค่เอื้อมมือแตะคราบเลือดเบาๆ ยกมือขึ้นมาดูแล้วลูบมันช้าๆ นึกย้อนกลับไปถึงที่มาของมันอย่างเรื่อยเปื่อย
เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนถูกอีกฝ่ายทำร้ายกันไปกี่รอบ รู้แค่ราวๆว่าถูกกระแทกกระทั้นเข้ามาจนเลือดไหล กระชากไปจูบอย่างป่าเถื่อนอีกหลายครั้ง แล้วจบลงได้การปลดปล่อยความเกลียดชังในร่างกายเขาอีกนับครั้งไม่ถ้วน
มันก็แค่สิ่งที่เขาต้องชดใช้…
เขาคิดอย่างนั้น จวบจนวินาทีนี้แทบไม่มีความเกลียดชังอยู่ในใจของเขาแล้ว…
.
.
.
เขาเหนื่อย
อ่อนและล้าเกินกว่าจะสู้แล้ว
ร่างบางค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำช้าๆ ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้น ฝ่ามือเรียวแบมือที่เปื้อนคราบเลือดที่หน้าตักอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยมองมันด้วยแววตาเหม่อลอย ตั้งคำถามกับหัวสมองอันว่างเปล่าของตัวเอง
“ตอนที่แม่โดนพ่อข่มขืน แม่รู้สึกอย่างนี้มั้ยครับ”เสียงหวานที่แหบแห้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
“เจ็บปวดจนไร้ความรู้สึกอย่างนี้รึเปล่า” ตาคู่สวยเหลือบมองไปตามรอยรักที่แปดเปื้อน
“ทรมานจน…”
.
.
.
“รู้สึกอยากจะตายอย่างนี้รึเปล่า” ฝ่ามือน้อยหยิบขวดยาพิษที่ทานาทอสเคยแอบให้ไว้ออกมา พิษไฮดราเข้มข้น สามารถคร่าวิญญาณเขาออกจากร่างได้ตั้งแต่พิษหยดแรก
เหนื่อยเหลือเกิน
ทรมานเหลือเกิน
สิ้นหวังเหลือเกิน
“ถ้าไม่มีผมสักคน อะไรๆก็คงดีกว่านี้ ท่านพ่อครับ” ใบหน้านวลที่แสนจะอ่อนล้าแหงนหน้าขึ้นมองยังเบื้องบน ภาวนาว่าขอให้ขอความนี้ส่งไปถึงพ่อที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กๆ
“ผมขอโทษ…” ขวดยาพิษถูกกระดกดื่มทีเดียวจนหมดขวด
“แค่ก แค่ก!!” พิษเริ่มทำลายระบบทางเดินอาหาร ของเหลวสีดำลวกหลอดอาหารราวกับน้ำกรดจนร่างเล็กสำลักออกมาเป็นเลือดย้อมผ้าปูที่นอนให้กลายเป็นสีแดงฉาน ความทรงจำตลอดช่วงอายุ ทั้งเสียงหัวเราะ ร้องไห้ ความสุข ความทุกข์ ไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิด
ภาพตอนที่พ่อแกล้งปลอมเป็นมนุษย์เพื่อเซอร์ไพส์วันพ่อที่โรงเรียนของเขา ภาพของพ่อที่เช็ดน้ำตาให้เขาตอนถามถึงแม่ ภาพของเขาตอนฝันถึงแม่ที่รักและห่วงใยเขา ภาพตอนที่แม่ทำร้ายเขา ภาพตอนที่พ่อโกรธเขา ทุกๆอย่างถูกกลั่นกรองออกมาเป็นความทรงจำของคนคนหนึ่ง แม้มันจะไม่สวยงาม แต่มันคือเครื่องยืนยัน ยืนยันว่าครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้ ผู้ชายคนนี้เคยมีชีวิตอยู่ในฐานะของบุตรแห่งซุส จอมราชันย์แห่งสรวงสวรรค์
“ผมรัก พ่อนะ ผม รัก พ่อนะ” พิษกัดกินไปถึงกระเพาะ ลวกทุกสิ่งทุกอย่างให้หลอมละลาย
“แค่ก แค่ก”ร่างเล็กอาเจียนออกมาเป็นเลือด พิษบางส่วนไหลย้อนเข้าระบบทางเดิน
หายใจ หลอดลมเริ่มตีบตัน ทวารทั้งห้าเริ่มเปิด ตัวคุดคู้ บิดเร่าไปมาอย่างทรมาน สติสัมปชัญญะใกล้ถึงจุดแตกดับ
“แบมแบม!! แบมแบม!!” เสียงอี้เอินตะโกนดังมาจากอีกฝั่งพร้อมกับเสียงวิ่งมาที่ประตู
“พ่อ พ่อครับ ผม ผม” ร่างกายชักกระตุก ดวงตาเหลือกขึ้นจนเหลือแต่ตาขาว พิษของไฮดราแพร่กระจายเข้าเส้นเลือด อี้เอินเคาะประตูอย่างรุนแรง
“แบมแบม!! เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!! แบมแบม!! แบม!!”
“พ่อ ผม ผม”เอื้อมมือจับคอตัวเองที่ถูกพิษไฮดราลวกจนหลอดลมและหลอดอาหารแทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
“แบม!!!”
“ผมรัก….พ่อนะ” ฉับพลันนั้นร่างเล็กก็หยุดชัก เลือดไหลเจิ่งออกมาจากร่าง ดวงตามองขึ้นไปยังเบื้องบนพร้อมด้วยกลีบปากที่แย้มยิ้มเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อี้เอินสามารถเปิดประตูเข้ามาได้
“แบมแบมๆ!!!”ร่างสูงรีบถลาเข้ามาช้อนตัวอีกคนขึ้นมาไว้ในอ้อมอก พยายามเขย่าเรียกให้ได้สติ
“แบม! ตื่นสิ! ตื่น! แบมแบม!!” เขาพยายามตบแก้มอีกฝ่ายแรงๆให้ตื่นขึ้นมา ไอแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายยังมีไม่มาก ยังพอมีหวังที่จะพาอีกฝ่ายกลับมา
“มาร์ค เกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันได้ยิน แบมแบม!!” เจบีที่เพิ่งตามเข้ามาร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างที่นอนแน่นิ่ง
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!?”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน รีบมาช่วยฉันก่อน!” ร่างสูงตวาดพร้อมกับอุ้มร่างของแบมแบมให้กลับไปนอนที่เตียงก่อนจะหันมาเอ่ยถามเพื่อนสนิท
“นายพอจะรู้จักใครที่พอจะช่วยรักษาได้แล้วอยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุดบ้างมั้ย”
“ใครที่พอจะช่วยรักษาได้มากที่สุดงั้นหรอ” เจบีพยายามเค้นความคิด ใต้บาดาลอย่างนี้จะมีใครที่พอจะช่วยได้บ้าง
“……..”
“ถ้าจากนี้ใกล้ที่สุดก็วิหารอมอร์ฟอร์ซิส”
“งั้นก็รีบไป” อี้เอินพูดรัวพร้อมกับอุ้มแบมแบมออกไปจากห้องโดยมีแจบอมตามมาข้างหลัง
“เดี๋ยวมาร์ค” จู่ๆบุตรแห่งโพไซดอนก็ร้องเรียกให้หยุด ร่างสูงหันขวับกลับไปอย่างฉุนเฉียว
“ฉันว่าบางทีเราอาจต้องไปบ้านของนายแทน”
“หมายความว่ายังไง” อี้เอินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรมากกว่า คลื่นความตกใจจะเข้าจู่โจมเมื่อดวงตาสบเข้ากับอะไรบางอย่างที่เจบีหยิบขึ้นมาจากพื้น
“ยาพิษไฮดรา” เจบีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เนื้อความในประโยคนั้นก็ชัดเจนมากพอที่จะเขย่าความรู้สึกของผู้ชายทั้งสองคนให้สั่นไหว
พิษไฮดรา
หนึ่งในสัตว์ประหลาดที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในตำนาน
และในประวัติศาสตร์…
.
.
.
ยังไม่มีใครคิดยาถอนพิษได้
“ถ้าเรารีบ เราจะพาแบมแบมกลับมาก่อนที่จะไปถึงนรกได้มั้ย” เจ้าชายแห่งท้องทะเลเอ่ยถาม อี้เอินที่เคยมีท่าทีร้อนรนกลับเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง สองแขนที่เคยอุ้มอีกฝ่ายไว้ค่อยๆผ่อนแรงลงจนปล่อยให้อีกฝ่ายนอนลงกับพื้น
“ไม่…”เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ดังนัก ทว่ากลับหนักแน่น
“………”
“กฎของความตาย ถ้าวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะไม่มีวันกลับมาได้” นัยน์ตาคู่คมสบตากับเพื่อน เจบียืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น