ถ้าคนเราเลือกได้
เราคงเลือกรักคนที่รักเรา
และเลิกรักคนที่ไม่เห็นค่าความรักของเรา
เราคงเลือกรักคนที่รักเรา
และเลิกรักคนที่ไม่เห็นค่าความรักของเรา
“วันนี้มาร์คไม่กลับมาด้วยหรอพี่ต้วน” ร่างเล็กเอ่ยถามมาจากในครัวทันทีที่เห็นว่าบานประตูที่ควรจะมีสองร่างยืนอยู่เคียงข้างกันในเวลานี้ กลับเหลือเพียงแค่ชายหนุ่มร่างสูงผู้มีใบหน้าและรูปร่างละหม้ายคล้ายกับแฟนหนุ่มของตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว ต่างกันที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อย สีผมสีเข้ม และสไตล์การแต่งตัวที่ดูสบายๆกว่า ร่างสูงเจ้าของชื่อต้วนอี๋เอินส่ายหน้าช้าๆ
“เห็นว่าคืนนี้จะค้างคืนที่หอเพื่อนนะ สงสัยติดโปรเจคอาจารย์”
“อ อ อ้อ… หรอ อื้ม วันนี้เราทำสปาเก็ตตี้ มากินด้วยกันสิ” ใบหน้าหวานยิ้มเศร้า มือเรียวตักซอสลงบนจานสปาเก็ตตี้ที่เตรียมไว้ก่อนจะเดินมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหารที่วันนี้ถูกตกแต่งมากเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสวันพิเศษ ยิ่งเห็นอย่างนั้นอี๋เอินก็ยิ่งรู้คุณค่าของตัวเอง
สปาเก็ตตี้จานนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับเขา
ความพิเศษในวันนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เขา
และร่างบางคนนี้…
ไม่ได้มีไว้ให้เขารัก
“มันไปทำงานกับเพื่อนจริงๆ เห็นบ่นๆว่าอาจารย์คนนี้โหดมากด้วยนะ” แสร้งยิ้ม พูดปลอบใจ ทำตัวร่าเริงให้อีกฝ่ายคลายกังวลทั้งๆที่มาร์คไม่ได้บอกเขาด้วยซ้ำว่าจะไปไหนต่อ แต่ถึงจะอย่างนั้นก็รู้ซึ่งคำตอบดีอยู่แล้ว มีไม่กี่สถานที่ที่คนอย่างมาร์คจะไป ถ้าไม่ใช่ผับ ก็คอนโดห้องนี้ และเมื่อไม่ใช่อย่างที่สอง คำตอบก็มีเพียงข้อเดียว และเช่นเดียวกัน แบมแบมเองก็รู้ความจริงข้อนี้ดี แต่ถึงจะอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเศร้า
“หื้มมม กลิ่นสปาเก็ตตี้น่ากินจัง นี่ทำเองทุกอย่างเลยหรอ” ร่างสูงแกล้งเปลี่ยนเรื่อง ขายาวเดินตรงไปที่โต๊ะอาหาร แสร้งลืมเหตุผลที่ร่างบางลุกขึ้นมาทำอาหารเช่นนี้ ปั้นหน้าให้ยิ้มแย้มสดใสกลบเกลื่อนความรู้สึก ก่อนที่จะถูกภาพจานอาหารหน้าตาน่าทานจานนั้นพัดทลายความพยายามของเขาทั้งหมดไป
ถ้าแบมแบมจะยังพอจำได้…
เขาแพ้อาหารทะเล
“เอ่อ นายพอจะมีไก่หรือหมูบ้างไหม” เอ่ยถามขณะที่อีกคนกำลังถอดผ้ากันเปื้อน เดินมาที่โต๊ะอาหาร
“เราทำตามในหนังสืออะ เขาใช้แต่ของทะเล เพิ่งหัดทำเลยยังไม่กล้าเปลี่ยนสูตรอะ” ไม่ใช่หรอก… เขารู้ดีว่าเพราะอะไร มาร์คชอบอาหารทะเลต่างหาก…
“งั้นไม่เป็นไร ฉันกินได้หมดล่ะ ไอ้มาร์คต้องอิจฉาฉันแน่” ร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับทรุดนั่ง มือเรียวกดถ่ายภาพอาหารแล้วกดส่งไปให้น้องชายที่ควรจะนั่งตรงนี้มากกว่าเขา
E-earn : วันนี้วันครบรอบพวกมึงไม่ใช่หรอ ทำไมไม่มากินข้าวกับแบมวะ
“คงไม่หรอก” แบมแบมยิ้มเศร้า ค่อยๆหยิบช้อนซ้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้อย่างช้าๆ
“เห้ย ไม่หรอก เนี่ยฉันส่งรูปไปให้มัน มันยังบ่นเสียดายอยู่เลย” เขาโกหก…
Mark : กูลืม ฝากมึงกินข้าวกับแบมไปแล้วกัน วันนี้กูมีนัดเลี้ยงรุ่น
“หรอ…”
“อื้ม ใช่สิ ฉันจะโกหกนายทำไม”
“แต่เขายังไม่ยอมตอบเราเลย…” เอ่ยตอบเสียงเศร้า ร่างสูงจำต้องนิ่งเงียบ รอยยิ้มที่พยายามวาดประดับหน้ากลับเจื่อนลง
“มันอาจจะยุ่งอยู่ เดี๋ยวมันก็คง”
“กินข้าวกันเถอะ” เสียงหวานตัดบท คำปลอบใจของอี้เอินถูกค้างไว้ในอากาศอย่างไร้ค่า ร่างสูงพยักหน้ารับด้วยใบหน้ายิ้มเศร้า ดวงตาคู่คมเหลือบมองสปาเก็ตตี้ทะเลที่อยู่ตรงหน้าอย่างหดหู่ ก่อนจะเหลือบมองไปที่กล่องยาที่ตั้งอยู่ข้างผนังห้องครัว
“เรายังมียาแก้แพ้เหลืออยู่มั้ย” เอ่ยถามอีกฝ่าย ร่างบางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ไม่สบายหรอ”
“เปล่าหรอก กินข้าวกัน” ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่มือแกร่งจะจิ้มกุ้งเข้าปาก…
มาร์คกับเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ของพวกเขาแยกทางกันตั้งแต่พวกเขายังเล็ก โดยที่มาร์คแยกไปอยู่กับพ่อ ส่วนเขาอยู่กับแม่ มีพบกันบ้างในโอกาสวันพิเศษต่างๆ ทำให้นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วพวกเขาสองคนแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิดเดียว มาร์คนิสัยเหมือนพ่อ ห่ามๆ มุทะลุ และมีเสน่ห์ หากเปรียบเป็นสีก็คงเหมือนสีดำ ในขณะที่เขานั้นไม่ใช่เลย เขาเปรียบเสมือนสีขาว เพราะนิสัยใจเย็น อบอุ่น และใจดี พวกเขาสองคนเพิ่งได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันอย่างที่พี่น้องฝาแฝดควรจะทำเมื่อสามปีก่อน เพราะดันสอบติดที่เดียวกัน และเมื่อยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไร ความแตกต่างของพวกเขาก็ยิ่งชัดเจนในสายตาคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆเสียจนบรรดาเพื่อนๆของพวกเขาต่างเรียกพวกเขาว่า ‘คู่แฝดเทวากับซาตาน’ และแน่นอน เขาถูกเรียกว่าเทวา...
ไม่ใช่เลย…
เขาไม่ใช่เทวาเลย…
เขาจะเป็นเทวาได้อย่างไร ในเมื่อเขาแอบชอบแฟนของน้องชายตัวเอง…
ความผิดบาปมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน เมื่อคนที่เขาแอบชอบดันกลายเป็นคนที่มาร์คอยากจะจีบ และแน่นอนว่านิสัยอย่างน้องชายของเขาแล้วไม่มีทางปล่อยให้พลาดไปแน่นอน มาร์คตามจีบจนสำเร็จ ทั้งคู่ได้คบกัน ในขณะที่เขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต้องตัดใจให้เลิกชอบ ซึ่งแรกเริ่มเดิมที่ก็เหมือนจะไปได้สวย เขาพยายามไม่สนใจ ไม่อยากรับรู้ ไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของร่างบาง แต่ทุกอย่างกลับต้องพังทลายลงเมื่อปีก่อน เมื่อวันหนึ่งมาร์คพาแบมแบมมาที่ห้อง พร้อมด้วยประโยคบอกเล่าถึงทำเขารู้สึกไม่ถูก
‘ฉันเอาแฟนมาอยู่ด้วยนะ พอดีที่บ้านแบมมีปัญหานิดหน่อย’
แล้ววินาทีนั้นเขาก็ถูกจองจับให้อยู่ในคุกของความอกหักทันที ต้วนอี๋เอินเป็นได้แค่พี่ชายของแบมแบม แค่ที่ปรึกษายามทะเลาะกัน ได้แค่คนปลอบใจยามทุกข์ทน โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ คนคนนี้ที่นั่งอยู่เคียงข้างเสมอมาต้องฝืนใจมากแค่ไหน
“ถ้าวันนั้นฉันกล้ากว่านี้อีกนิด กล้าให้ได้สักครึ่งหนึ่งของมาร์ค วันนี้ฉันก็คงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างนี้ใช่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามตัวเองในกระจก ผื่นแดงอันเกิดจากการแพ้อาหารทะเลรามไปทั่วตัวอย่างน่ากลัว น้ำตาคลอหน่วงอยู่ที่ขอบตา
ปัง!
“ปล่อยกู กูยังไหวอยู่ ปล่อยกูดิวะ!” เสียงยานคางคล้ายคนเมาของน้องชายเขาดังมาจากด้านนอก
“ไอ้มาร์คมึงเมามากแล้วนะ อยู่เฉยๆดิวะ”
“ทำไมเมามาซะขนาดนี้”เขาที่เพิ่งสวมเสื้อเสร็จเดินออกมาถาม ตาเหลือบมองไปทางประตูห้องของแบมแบม โชคดีที่ร่างบางไม่ได้ตื่นออกมาดู
“ก็ไอ้มาร์คแม่งดันเจอพี่ซูจีมากับแฟนใหม่ มันเฮิร์ทหนักเลยซัดเข้าไปไม่ยั้งเลย”
“มาร์คเจอพี่ซูจีมาหรอ..” เสียงหวานดังขึ้นเรียกให้เขาหันไปมอง แบมแบมที่เพิ่งออกมาจากห้องถามด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง
“เอ่อ…” ทุกคนอ้ำอึ้งไม่มีใครกล้าตอบอะไรจากนั้น
“นาย” จู่ๆคนเมาที่ควรจะหลับไปแล้วกลับสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาชี้หน้าร่างบาง “นาย เพราะนาย เพราะนายพี่ซูจีถึงไม่กลับมาหาฉัน เพราะนายคนเดียว!” ร่างสูงพุ่งเข้าไปหา
“เฮ้ยไอ้มาร์ค!” ทุกคนต้องรีบเข้ามายื้อตัวไว้ อี๋เอินรีบดึงแบมแบมให้ออกห่าง ทว่ามาร์คกลับคว้าแขนเล็กเอาไว้ได้
“เพราะนาย! เพราะนายพี่ซูจีถึงไม่กับมาหาฉัน ถ้าไม่มีนายพี่ซูจีก็คงกลับมาคบกับฉันแล้ว!!”
“เห้ย ไอ้มาร์ค!” เพื่อนๆพยายามรั้งไว้ แต่ร่างสูงกลับสะบัดออกแล้วพุ่งเข้าไปเขย่าตัวร่างบางอย่างรุนแรง
“นายมันก็แค่คนคั่นเวลา! ได้ยินไหมนายมันก็แค่คนคั่นเวลา ฉันก็แค่อยากคบนายประชดพี่ซูจี! แต่สุดท้ายพี่ซูจีก็ไม่กลับมาหาฉัน เพราะนาย! เพราะนายคนเดียว!!!”
“มาร์ค! มาร์ค! พอได้แล้ว” อี้เอินรีบเข้าไปกระชากตัวน้องชายออกมา
“จ จ จริงหรอมาร์ค..”ร่างบางที่ตกอยู่ในความตกใจมานานเอ่ยถามเสียงสั่น ดวงตาสั่นระริก หยาดน้ำตาคลอหน่วงอยู่ที่ขอบตา
“เออ! กูก็ขอคบมึงประชดพี่ซูจีเท่านั้นล่ะ!!!” ร่างสูงผลักไหล่ร่างบางจนเกือบล้ม โชคดีที่เพื่อนของอีกฝ่ายยื้อตัวไว้ได้ทันเสียก่อน
“กูว่าพวกมึงออกไปก่อนเหอะว่ะ รอให้ไอ้มาร์คมันหายบ้าก่อนค่อยเข้ามา” เพื่อนๆของร่างสูงเอ่ยบอก อี้๋เอินคว้าแขนร่างบางให้รีบเดินออกไปจากห้องโดยมีเสียงของมาร์คตะโกนด่าไล่หลังมาอย่างไม่ลดละ
มาร์ทเล็กๆใต้คอนโดกลายเป็นที่พักใจของพวกเขาทั้งสอง เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่พวกเขานั่งกันอยู่ที่นี่โดยที่แบมแบมไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ร่างบางเอาแต่นั่งนิ่งคนชาร้อนที่เขาไปซื้อมาให้อย่างเหม่อลอยโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่เคียงข้างคนนี้เป็นห่วงมากขนาดไหน แทบอยากจะลืมความผิดชอบชั่วดีแล้วคว้าอีกคนมากอดไว้ ลูบผมปลอบประโลมให้คลายเศร้า แต่ลำพังตอนนี้แค่เอื้อมมือไปจับมือบางที่วางอยู่ใกล้กับมือเขาตอนนี้ เขายังไม่กล้าเลย
เขามันไม่มิสิทธิ์
เป็นแค่ที่ปรึกษาก็ควรเจียมตัวว่าเขาไม่เอา
“อย่าไปถือคนเมาเลย มันก็พูดไร้สาระไปเรื่อย” ร่างบางเหลือบตามามองก่อนจะหันกลับไปสนใจวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างไม่มีทีท่าว่าคลายเศร้า
“เขาอาจจะเป็นคนที่มาร์คเคยรักมาก แต่นายคือคนปัจจุบันของมัน อย่าสนใจอดีต”
“……..”ร่างสูงกวาดตาไปรอบตัว คิดหาวิธีที่จะทำให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้น
“เนี่ย เดี๋ยวพอมันตื่นขึ้นมา มันก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว อย่าเศร้าเลย”
“แบมเหนื่อยจังเลยพี่” ร่างบางพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดค่อยๆไหลรินลงเป็นสายยิ่งตอกย้ำว่ากำแพงแห่งความเข้มแข็งที่เคยมีได้ถึงคราวพังทลายลงแล้ว เหนื่อยแล้วเหลือเกิน เหนื่อยกับความรักที่มีแต่เขาที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว เหนื่อยกับการทำเหมือนว่าไม่เป็นไรอีกแล้ว
“แบมแบม…” ฝ่ามือแกร่งเผลอจะเอื้อมไปจับมืออีกคน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัว
“ทำไมเหมือนมีแต่เราที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว มีแค่เราที่พยายามประคับประคองทุกอย่าง” ความอ่อนแอค่อยๆถูกแสดงออก น้ำตาแห่งความเศร้ายังคงไหลออกมาเงียบๆ
“ใช่ว่าเราจะไม่รู้นะพี่ว่าเขาหมดรักเราไปนานแล้ว แต่เราก็ยังพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น เราหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะกลับมารักกันเหมือนเดิม”
“มาร์คมันรักนายนะ มันแค่ไม่ค่อยแสดงออก” ร่างบางชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“อย่าโกหกเราอีกเลย ถ้ายังพอสงสารเราอยู่บ้างก็อย่าปลอบเราด้วยคำโกหกอีกเลย”
“ฉัน…ขอโทษ”
“เราว่าเรา…” ใบหน้าหวานที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาเบือนหน้าไปทางอื่น ดวงตากลอกมองไปด้านนอกก่อนจะพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “เราว่าเราควรเลิกกับเขา”หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย อี๋เอินสุดจะต้านความรู้สึก รีบคว้าร่างอีกฝ่ายเข้ามากอด พยายามใช้อ้อมกอดของผู้ชายธรรมดาๆคนนี้ปลอบโยนอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดทั้งๆที่แวบหนึ่งเขาใจเต้นแรงกับคำพูดนั้น…
อยากพูดไปใจแทบขาดว่าอยากให้เลิกกัน
อยากบอกเหลือเกินว่าให้เลิกรักกับเขาคนนั้น
อยากขอร้องให้หันกลับมารักเขาคนนี้เหลือเกิน
“อย่าเลิกกันเลย พวกนายรักกันมาตั้งนาน” แต่สุดท้าย…เขาก็ยังเป็นอี๋เอินคนขี้คลาดเหมือนเดิม
เหมือนพระเจ้าจะยังเข้าข้างอี้เอินอยู่บ้าง หลังจากเหตุการณ์นั้นแบมแบมตัดสินใจกลับไปอยู่ที่บ้านจนวันนี้ก็ได้ร่วมอาทิตย์แล้ว ในขณะที่มาร์คก็ไม่ได้ตามง้อเท่าที่ควร น้องชายของเขาออกอาการเบื่อหน่ายเสียมากกว่า ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างทั้งสองขยายเพิ่มขึ้นจนมากพอที่อี้เอินจะแทรกเข้าไปได้
“เย็นนี้ไปไหนต่อมั้ย” ร่างสูงเอ่ยถามอีกฝ่ายขณะที่เลิกคลาสเรียนแล้ว ร่างบางที่ยังคง
อยู่ในอารมณ์สีเทาส่ายหน้าตอบช้าๆ
“ฉันต้องเอาโทรศัพท์ไปซ่อม ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” อี้เอินวาดยิ้ม พยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น
“อื้ม”
อี้เอินพาแบมแบมมาที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัย ความจริงโทรศัพท์ของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เขาแค่อยากพาแบมแบมมาเที่ยวให้ลืมความทุกข์บ้าง ถึงจะเป็นแค่ชั่วครู่ แต่อย่างน้อยให้ใบหน้าหวานกลับมามีรอยยิ้มประดับแค่สักครั้งก็ยังดี
“ช่างบอกต้องรอสองถึงสามชั่วโมงเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”เอ่ยโกหกไปก่อนจะเดินนำอีกคนออกจากศูนย์ซ่อม ร่างบางพยักหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก อี้เอินพยายามเรียกร้องความสนใจ
“เมื่อกี้ฉันเห็นว่าร้านอาหารไทยที่นายเคยบ่นว่าอยากกินมันมาเปิดที่นี่แล้วนะ” แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แบมแบมเงยหน้าขึ้นสบตา แวบเดียวที่เห็นความดีใจฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“จริงหรอ”
“ใช่ รู้สึกเขาจะมีโปรโมชั่นลดอยู่เยอะเลย นายต้องชอบมากแน่”
“เราไม่ได้ขี้งกขนาดนั้นนะ”
“หรอครับบบ คุณกันต์พิมุกต์” อี้เอินทำหน้าแซว แบมแบมถลึงตาใส่เล็กน้อย
“ก็ใช่น่ะสิ” ร่างบางขมวดคิ้ว อี้เอินถึงกับหัวเราะ
“อ่าว ก็เห็นชอบซื้อแต่ของเซลนี่”หยอกล้อพร้อมกับทำหน้าแซวอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด แบมแบมถึงกับฟาดแขนอีกคนให้เป็นรางวัล
“นายนี่กวนประสาทจริงๆ”
“งั้นถ้าฉันเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง นายจะยอมไหม”ร่างบางยิ้มเขินตอบอะไรไม่ถูกเมื่อถูกได้ทางถูก อี้เอินเฝ้ามองรอยยิ้มนั้นอย่างมีความสุข ในที่สุดเขาก็ทำให้แบมแบมกลับมายิ้มได้อีกครั้งแล้ว
“อ้าว นั่นน้องแบมแบมนี่” เสียงหนึ่งทักขึ้นเรียกให้พวกเขาหันไปสนใจ รอยยิ้มของแบมแบมพลันหายไป ใบหน้าที่เคยกลับมายิ้มแย้มหม่นหมองลงไปเหมือนอย่างเก่า
ซูจี….
ผู้หญิงคนนั้น
“สวัสดีครับพี่ซูจี”
“อ้าว มาร์คก็มาด้วยหรอ คืนดีกันแล้วหรอเนี่ย” เธอพูดอย่างแปลกใจ อี้เอินนึกขอบคุณจริงๆที่วันนี้เขาเผลอหยิบเสื้อมาร์คมาใส่เข้า
“นี่ไม่ใช่”
“ใช่ เราคืนดีกันแล้ว” ร่างสูงพูดแทรก พร้อมกับย้ำประโยคให้หนักแน่นขึ้นด้วยการสอดมือประสานกับอีกฝ่าย แบมแบมมองตามด้วยสายตาไม่คาดคิด
“หรอ ก็….ดีแล้วล่ะ” หญิงสาวออกอาการชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้กับมาเป็นปกติ “พอดีกันก็มาเดทกันเลยเนอะ น่ารักกันจริงๆ”
“ก็ปกติของคนรักกัน พี่เองก็หันไปสนใจแฟนได้แล้วมั้งครับ” ร่างสูงพยักเพยิดหน้าไปทางชายหนุ่มที่ยืนออกไปอยู่ห่างๆพวกเขา พยายามพูดและทำให้เหมือนน้องชายมากที่สุด
“เขาเป็นอย่างนี้ล่ะ ไม่ชอบสุงสิงกับคนไม่สนิท งั้นพี่ไปล่ะ ไว้เจอกันนะ” มือบางโบกมือลาพวกเขาทั้งคู่ก่อนจะเดินจากไป เหลือเพียงแค่อี้เอินที่ยังคงจับมือแบมแบมอยู่ ในขณะที่ร่างบางเองก็เอาแต่นิ่งเงียบ
“ทำไมนาย ถึง…” เอ่ยถามทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“ฉันแค่คิดว่านายคงไม่อยากให้เธอรู้ว่ารักของนายไม่ราบรื่นหรอก” ร่างสูงค่อยๆปล่อยมือจากอีกฝ่ายออกอย่างช้าๆ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาใช้สิทธิ์ในการเป็นมาร์คหมดแล้ว…
“………..”
“ไปกินข้าวกันเถอะ ท้องฉันร้องแล้ว” อี้เอินพยายามปั้นหน้าเป็นคนอารมณ์ดีพร้อมกับเดินนำไป เพื่อเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่ายโดยตรง
“เดี๋ยวก่อน”เสียงหวานพร้อมกับมือบางที่เอื้อมมารั้งมือเขาไว้เรียกร้องให้หันกลับไปสนใจอีกครั้ง
“……..”
“เราขออะไรสักอย่างหนึ่งได้ไหม”
“………”
“เป็นมาร์คให้เราวันหนึ่งได้ไหม”