มันเกือบจะเป็นปกติ...
ชายหนุ่มร่างสูงคิดอย่างนั้น คืนนี้มันเกือบจะเป็นปกติเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา เดินในซอยเดิม เวลาเดิม และกลับบ้านคนเดียวเหมือนเดิม ทุกอย่างควรจะเป็นอย่างนั้นถ้าเพียงแต่ไม่มีเสียงสุนัขเห่าหอนอย่างโหยหวน สายลมที่กรรโชกโหมพัดรุนแรง และกลิ่นไอแห่งความตายที่แผ่ซ่านตามติดเขาไปทุกที่ที่ลากเท้าผ่านราวกับเป็นเงาตามตัวที่เขามั่นใจว่าไม่ได้ต้องการที่จะมีมัน...
ครืดดด ครืดดดด
เสียงโซ่ตรวนของนักโทษครูดไปกับพื้นถนนซอย12A ซึ่งมั่นใจได้ว่าเส้นทางแถวนี้ไม่มีเรือนจำ และแน่นอนว่าต่อให้มีก็คงไม่มีนักโทษหลุดออกมาในยามวิกาลอย่างนี้...
ชายหนุ่มเหลือบตาไปมองทางด้านหลังของเขาอีกครั้ง เขารู้ตัวมาสักพักแล้วว่ามีบางอย่างตามมา แต่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวได้ชัดเจนมากเท่านี้ ร่างของมันมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ เพราะมีส่วนสูงก้ำกึ่งระหว่าง160-170 เซ็นติเมตรและผมเผ้ายุ่งเหยิงที่ปรกหน้าเสียจนมองไม่เห็นลูกตา ที่ข้อมือของมันมีกุญแจข้อมือตรึงเอาไว้อยู่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
“ต้องการอะไร” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง วิญญาณนักโทษยังคงเดินลากโซ่ต่อไป แต่คราวนี้มันไม่ได้มีเพียงเสียงโซ่ครูดพื้นน่ะสิ....
แหมะ แหมะ
ตาคมเหลือบไปมอง ของเหลวสีเข้มไหลหยดลงพื้น ก่อนจะถูกเท้าเปล่าลากไปตามทางจนเกิดรอยเปื้อนสีตุ่นน่าสะอิดสะเอียน มั่นใจได้ว่านั่นคงเป็นเลือด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือมันออกมาจาก.........................ดวงตา
เขาไม่เคยกลัวผี และไม่เคยสนใจด้วยว่าจะมาในรูปแบบไหน แต่วิญญาณดวงนี้กำลังทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญสักเรื่องที่เพื่อนเขาเคยดู และพากันหลอนไปอีกสามวันแปดวัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหนังนั่นกำลังฉายอยู่ในชีวิตจริงของเขา
“ต้องการอะไร”เขาถามอีกครั้ง แต่สิ่งที่ตอบมามีเพียงแค่การเดินตามที่ไวขึ้น และไอเย็นที่เริ่มแผ่ซ่านเข้ามาเรื่อยๆ ร่างสูงเหลือบไปมองทางข้างหน้า อีกสักพักก็ถึงหอพักของเขาแล้ว
ฮึก ฮือ
เสียงร่ำไห้ดังมาจากด้านหลัง วิญญาณดวงนั้นกำลังร้องไห้ มือที่ผอมแห้งจนเกือบเห็นกระดูกยกขึ้นลูบท้องของตัวเอง
ถ้าให้เดานอกจากเป็นผีนักโทษ คงเป็นผีตายท้องกลมด้วย...
เขาข่มตาหลับสักพัก ผีตายท้องกลม ผีที่ติดบ่วงแห่งความรักและห่วงใยลูกจนทำให้ไปไหนไม่ได้ และบ่วงนั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ดวงวิญญาณเฮี้ยนและยึดติดอยู่กับโลกของคนเป็น ทั้งๆที่ตัวเองตายไปตั้งนานแล้ว...
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาอีกระลอก เศษใบไม้มากมายปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เสียงสุนัขเห่าหอนดังมากขึ้นไปอีกราวกับว่าพวกมันกำลังจะเสียสติเพราะมองเห็นวิญญาณของผู้วายชนม์ แสงไฟจากเสาไฟเริ่มหรี่ลงเรื่อยๆ ก่อนจะกระพริบถี่ๆส่องแสงวูบวาบ ยิ่งขับให้วิญญาณดวงนั้นน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แขนที่ผอมแห้ง และคอของมันค่อยๆบิดไปในทิศทางที่ผิดองศาของการขยับเขยื้อนของมนุษย์ไปทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่ง....
กร๋อบ
เสียงกระดูกดังกร๋อบ ในขณะที่แขนของมันบิดเบี้ยว และคอหมุนร้อยแปดสิบองศา จนปลายคางชี้ขึ้นฟ้า...
ชายหนุ่มร่างสูงหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันไปมอง ผมที่ปรกหน้าของมันค่อยๆร่วงหล่นออกมาจนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวซีดที่มีเลือดไหลอาบแก้มต่างน้ำตา อีกเพียงนิดเดียวดวงตาที่น่าสะพรึงของมันก็จะเผยออกมา...
กร๋อบ
เสียงมันยกแขนผิดรูปนั้นขึ้นจับหน้า เส้นผมของมันค่อยร่วงหล่นทีละนิดจนเริ่มเห็นดวงตา
กร๋อบ
เสียงกระดูกสันหลังลั่น รูปร่างของมันยุบลงจนดูน่าขยะแขยง ก่อนที่ปอยเส้นผมเส้นสุดท้ายร่วงลงมา ร่างสูงก็หลับตานิ่งเตรียมรับสภาพต่อไปที่จะได้เจอ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะลืมตาขึ้น ฉับพลันนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า ดวงวิญญาณนั่นเบิกตาโพล่ง ก่อนจะหมอบลงแทบเท้าของเขา
“ดูเหมือนว่าจะหลอกผิดคนนะ”
“ฉัน....ฉัน ฉัน อภัยให้ฉันด้วย”วิญญาณนั่นก้มหัวถี่ๆ เสียจนน่าหวั่นว่าคอจะหัก
“กลับไปในที่ของท่าน คนตายไม่ควรอยู่กับคนเป็น”
“ฉันจะไป ฉันจะไป ฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีก”วิญญาณดวงนั้นพูดซ้ำๆ ก่อนจะรีบสลายหายไป ไม่มีธุระอะไรที่จะตามรังควานคนคนนี้อีก...
บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีทองในโลกนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือ...
คริส
บุตรแห่งฮาเดส เทพเจ้าแห่งความตาย!!!
ชายหนุ่มร่างสูงคิดอย่างนั้น คืนนี้มันเกือบจะเป็นปกติเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา เดินในซอยเดิม เวลาเดิม และกลับบ้านคนเดียวเหมือนเดิม ทุกอย่างควรจะเป็นอย่างนั้นถ้าเพียงแต่ไม่มีเสียงสุนัขเห่าหอนอย่างโหยหวน สายลมที่กรรโชกโหมพัดรุนแรง และกลิ่นไอแห่งความตายที่แผ่ซ่านตามติดเขาไปทุกที่ที่ลากเท้าผ่านราวกับเป็นเงาตามตัวที่เขามั่นใจว่าไม่ได้ต้องการที่จะมีมัน...
ครืดดด ครืดดดด
เสียงโซ่ตรวนของนักโทษครูดไปกับพื้นถนนซอย12A ซึ่งมั่นใจได้ว่าเส้นทางแถวนี้ไม่มีเรือนจำ และแน่นอนว่าต่อให้มีก็คงไม่มีนักโทษหลุดออกมาในยามวิกาลอย่างนี้...
ชายหนุ่มเหลือบตาไปมองทางด้านหลังของเขาอีกครั้ง เขารู้ตัวมาสักพักแล้วว่ามีบางอย่างตามมา แต่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวได้ชัดเจนมากเท่านี้ ร่างของมันมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ เพราะมีส่วนสูงก้ำกึ่งระหว่าง160-170 เซ็นติเมตรและผมเผ้ายุ่งเหยิงที่ปรกหน้าเสียจนมองไม่เห็นลูกตา ที่ข้อมือของมันมีกุญแจข้อมือตรึงเอาไว้อยู่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
“ต้องการอะไร” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง วิญญาณนักโทษยังคงเดินลากโซ่ต่อไป แต่คราวนี้มันไม่ได้มีเพียงเสียงโซ่ครูดพื้นน่ะสิ....
แหมะ แหมะ
ตาคมเหลือบไปมอง ของเหลวสีเข้มไหลหยดลงพื้น ก่อนจะถูกเท้าเปล่าลากไปตามทางจนเกิดรอยเปื้อนสีตุ่นน่าสะอิดสะเอียน มั่นใจได้ว่านั่นคงเป็นเลือด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือมันออกมาจาก.........................ดวงตา
เขาไม่เคยกลัวผี และไม่เคยสนใจด้วยว่าจะมาในรูปแบบไหน แต่วิญญาณดวงนี้กำลังทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญสักเรื่องที่เพื่อนเขาเคยดู และพากันหลอนไปอีกสามวันแปดวัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหนังนั่นกำลังฉายอยู่ในชีวิตจริงของเขา
“ต้องการอะไร”เขาถามอีกครั้ง แต่สิ่งที่ตอบมามีเพียงแค่การเดินตามที่ไวขึ้น และไอเย็นที่เริ่มแผ่ซ่านเข้ามาเรื่อยๆ ร่างสูงเหลือบไปมองทางข้างหน้า อีกสักพักก็ถึงหอพักของเขาแล้ว
ฮึก ฮือ
เสียงร่ำไห้ดังมาจากด้านหลัง วิญญาณดวงนั้นกำลังร้องไห้ มือที่ผอมแห้งจนเกือบเห็นกระดูกยกขึ้นลูบท้องของตัวเอง
ถ้าให้เดานอกจากเป็นผีนักโทษ คงเป็นผีตายท้องกลมด้วย...
เขาข่มตาหลับสักพัก ผีตายท้องกลม ผีที่ติดบ่วงแห่งความรักและห่วงใยลูกจนทำให้ไปไหนไม่ได้ และบ่วงนั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ดวงวิญญาณเฮี้ยนและยึดติดอยู่กับโลกของคนเป็น ทั้งๆที่ตัวเองตายไปตั้งนานแล้ว...
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาอีกระลอก เศษใบไม้มากมายปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เสียงสุนัขเห่าหอนดังมากขึ้นไปอีกราวกับว่าพวกมันกำลังจะเสียสติเพราะมองเห็นวิญญาณของผู้วายชนม์ แสงไฟจากเสาไฟเริ่มหรี่ลงเรื่อยๆ ก่อนจะกระพริบถี่ๆส่องแสงวูบวาบ ยิ่งขับให้วิญญาณดวงนั้นน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แขนที่ผอมแห้ง และคอของมันค่อยๆบิดไปในทิศทางที่ผิดองศาของการขยับเขยื้อนของมนุษย์ไปทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่ง....
กร๋อบ
เสียงกระดูกดังกร๋อบ ในขณะที่แขนของมันบิดเบี้ยว และคอหมุนร้อยแปดสิบองศา จนปลายคางชี้ขึ้นฟ้า...
ชายหนุ่มร่างสูงหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันไปมอง ผมที่ปรกหน้าของมันค่อยๆร่วงหล่นออกมาจนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวซีดที่มีเลือดไหลอาบแก้มต่างน้ำตา อีกเพียงนิดเดียวดวงตาที่น่าสะพรึงของมันก็จะเผยออกมา...
กร๋อบ
เสียงมันยกแขนผิดรูปนั้นขึ้นจับหน้า เส้นผมของมันค่อยร่วงหล่นทีละนิดจนเริ่มเห็นดวงตา
กร๋อบ
เสียงกระดูกสันหลังลั่น รูปร่างของมันยุบลงจนดูน่าขยะแขยง ก่อนที่ปอยเส้นผมเส้นสุดท้ายร่วงลงมา ร่างสูงก็หลับตานิ่งเตรียมรับสภาพต่อไปที่จะได้เจอ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะลืมตาขึ้น ฉับพลันนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า ดวงวิญญาณนั่นเบิกตาโพล่ง ก่อนจะหมอบลงแทบเท้าของเขา
“ดูเหมือนว่าจะหลอกผิดคนนะ”
“ฉัน....ฉัน ฉัน อภัยให้ฉันด้วย”วิญญาณนั่นก้มหัวถี่ๆ เสียจนน่าหวั่นว่าคอจะหัก
“กลับไปในที่ของท่าน คนตายไม่ควรอยู่กับคนเป็น”
“ฉันจะไป ฉันจะไป ฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีก”วิญญาณดวงนั้นพูดซ้ำๆ ก่อนจะรีบสลายหายไป ไม่มีธุระอะไรที่จะตามรังควานคนคนนี้อีก...
บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีทองในโลกนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือ...
คริส
บุตรแห่งฮาเดส เทพเจ้าแห่งความตาย!!!