0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ตอนที่ 5 มนตราแห่งแม่น้ำสติกซ์

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด



   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นรบกวนเวลาพักผ่อนของคู่รักสองคนที่ยังคงนอนกอดกันอยู่บนเตียง ร่างโปร่งที่กำลังซุกไออุ่นของอกแกร่งควานหาโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างเตียงสักครู่ ก่อนที่จะเขาจะหยุดดูชื่อคนที่โทรเข้ามา



“นี่ลูกต้องไปเล่นซนอะไรแน่ๆ”ชานยอลหันหน้าจ่อโทรศัพท์ที่ปรากฏเป็นเบอร์โรงเรียนให้อีกฝ่ายดู คริสหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่ร่างโปร่งจะรีบกดรับ


“ฮัลโหลครับ”


“คุณแม่น้องโยดาใช่มั้ยคะ!!!” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ชานยอลขานรับอย่างอ้ำอึ้ง


“ครับ…มีอะไรหรอครับ”


“คุณแม่คะ!!! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ ตอนนี้น้องโยดาหายไป!!!” ชานยอลเบิกตาโพล่งพร้อมกับเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง


“อะไรนะครับ!!!!” คริสรีบจับแขนอีกฝ่ายไว้


“น้องโยดาหายไปค่ะ เราหาจนทั่ว ดูทั้งกล้องวงจรปิด แต่ก็ไม่เห็นน้องเลย จู่ๆน้องเขาก็หายไปจากกล้องเฉยๆ คุณแม่รีบมาที่โรงเรียนด่วนเลยนะค่ะ”


“ครับ! แล้วผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ฝากดูโยฟานก่อนด้วยนะครับ!!” ร่างโปร่งรีบรับคำก่อนจะกดวางสาย คริสรีบจับแขนเขาเอาไว้


“เกิดอะไรขึ้น”


“โยดาหายไปจากโรงเรียน!!!” ชานยอลพูดเสียงดังก่อนจะเริ่มพรั่งพรูทุกคำพูดพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า


“เขาหาดูจนทั่ว  ดูกล้องวงจรปิดก็แล้ว แต่ก็หาลูกเราไม่เจอเลย ครูบอกว่าจู่ๆก็เหมือนเขาจะหายไปซะเฉยๆเลย” หยดน้ำตาค่อยๆไหลเป็นทาง มือใหญ่ยกขึ้นปาดน้ำตาให้ช้าๆ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยเสียงราบเรียบ


“อาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด…” ร่างโปร่งขมวดคิ้ว


“หมายความว่าไง”


“มีบางอย่างผิดปกติไป…” เขาพูดก่อนจะเปิดประตูแห่งเงาขึ้นมา


“ไม่ทางที่โยดาจะหายไปจากกล้องเฉยๆหรอก…..นอกจากผีจะบัง”ร่างสูงเอ่ยบอกก่อนที่เขาจะพาชานยอลเข้าไปในประตูแห่งเงา



      ทั้งคู่มาถึงโรงเรียนในเวลาในเวลาอันรวดเร็ว ชานยอลรีบวิ่งไปที่ห้องธุรการ หัวใจของเขาเต้นถี่ระรัวทุกครั้งที่เข้าใกล้ ก่อนที่หัวใจดวงน้อยจะใจหายแวบทันทีที่เห็นโยฟานที่เห็นวิ่งมาหาแม่ทั้งน้ำตา



“พี่โยดา พี่โยดา พี่โยดาหายไป!!!!” โยฟานร้องลั่น



“เดี๋ยวเราก็หาเจอ เชื่อแม่สิ พี่โยดาไปไหนไม่ไกลหรอก”ชานยอลลูบผมปลอบลูกชายทั้งๆที่เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นสักนิด แต่ไม่ได้ …..เขาจะให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัยไม่ได้



“คุณพ่อคุณแม่มาดูที่กล้องวงจรปิดสิคะ!!” อาจารย์ประจำชั้นพูดขึ้นก่อนที่ภาพในวงจรปิดจะฉายขึ้น โยดาตัวน้อยกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนอย่างสนุกสนานก่อนที่จู่ๆเธอจะหันไปมองอะไรบางอย่าง ดวงตาสุกใสนั้นจ้องมองมันอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนที่เจ้าสิ่งนั้นจะค่อยๆเข้ามาในเฟรม


“…ยมทูต…”คริสพูดเสียงเรียบ สำหรับคนอื่นอาจจะไม่เห็น แต่เขารู้ว่านั่นใช่ ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะเหมือนชายถือเคียวผู้ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมอีกแล้ว….ถึงว่า…ทำไมตอนมาถึงเขาถึงได้รู้สึกแปลกๆ


“ว่าไงนะคริส”ร่างโปร่งหันมากระซิบถาม ก่อนที่เสียงอาจารย์จะเรียกความสนใจให้หันไปมอง


“เดี่ยวคอยดูตอนนี้ดีๆนะคะ” เธอบอกก่อนที่จู่ๆโยดาตัวน้อยจะวิ่งตรงไปที่ยมทูตตนนั้น แล้วภาพก็ตัดไปอย่างรวดเร็ว


“จู่ๆกล้องก็เสีย แล้วพอกลับมาใช้ได้อีกที………..ลูกคุณก็ไม่อยู่แล้ว” ไม่ใช่แค่ลูกของเขา…แต่ยมทูตตนนั้นก็ไม่อยู่ด้วยเหมือนกัน…


“ต้องใช่แน่ๆ…..”


“หมายถึงอะไรคริส”


“ชานยอล มากับฉัน”ร่างสูงเอ่ยตอบด้วยคำสั่งพร้อมกับจับแขนอีกคนไว้ ชานยอลรีบจับลูกชายตัวน้อย ก่อนที่คริสจะหุนหันเดินออกไปจากห้อง ร่างสูงรู้สึกได้ถึงความตาย  มันรุนแรงและใหม่มากพอที่เขาจะระบุตำแหน่งได้




       คริสออกเดินไปตามเส้นทาง ก่อนที่เขาจะหักเลี้ยวแล้วเดินเลาะไปที่หลังโรงเรียน พงหญ้ารกชัฏอำพรางให้ทุกอย่างดูมองยากขึ้น แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้นหา ร่างสูงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจก่อนที่เขาจะหยุดยืนอยู่ที่ร่างๆหนึ่ง



“ว๊าย!!!” เสียงอาจารย์หวีดร้องเมื่อเห็นร่างไร้ชีวิตของภารโรงคนนั้น ร่างสูงย่อตัวสัมผัสร่างกายเขา



“เพิ่งตายได้สองชั่วโมงกับสามสิบนาที เวลาเท่านี้คงไปทาทารัสโดยใช้เงาได้สบาย”


“คริสหรือว่าลูกจะ!!!!”ชานยอลร้องด้วยความตกใจ ร่างสูงเหลือบตามามอง


“ก็ไม่แน่….เราต้องลงไปดู..”


“พวกคุณพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรอคะ” เสียงอาจารย์คนนั้นดังแทรกขึ้น ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันมาสบตา


“คุณรู้เรื่องครอบครัวผมมากเกินไปแล้ว…” เขาบอกก่อนจะเดินผ่านร่างของเธอไปเปิดประตูแห่งเงาที่ด้านหลัง ฉับพลันนั้นวิญญาณจากใต้พิภพก็ผลุดขึ้นจากพื้นดิน เข้าหลอกหลอนจนเธอหวีดร้องเสียงดัง


“นายทำอะไรกับเธอน่ะคริส!!!” ร่างโปร่งร้องถามด้วยความตกใจ เขาไม่เห็นด้วยมากๆถ้าคริสจะทำให้เธอลืมเรื่องนี้โดยการถูกผีหลอกจนเป็นบ้า


“เห็นฉันใจร้ายอย่างนั้นเลยหรือยังไง….ฉันแค่ทำให้เธอคิดว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเหมือนเรื่องถูกผีอำเฉยๆ แล้วหลังจากนี้โอลิมปัสจะจัดการกับความทรงจำของเธอยังไงก็ช่างมัน ……คราวนี้เรารีบไปกันเถอะ  ไม่รู้ป่านนี้ลูกเราจะเป็นยังไงบ้าง” ร่างสูงเอ่ยบอกก่อนจะเดินนำอีกคนเข้าไปในประตูแห่งเงา



            ชานยอลเคยเดินทางผ่านเงามาไม่รู้กี่รอบ แต่ทุกครั้งที่ใช้วิธีนี้ไม่มีครั้งไหนที่เขาประทับใจสักครั้ง ถ้าคนรักของเขาไม่ใช่บุตรแห่งฮาเดส และถ้าเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มัน เขาจะไม่เลือกวิธีนี้เด็ดขาด ร่างโปร่งถูกพาลงมายังทาทาร์รัส  สถานที่ที่เขาโปรดปรานน้อยที่สุด เมื่อปีที่แล้วเขามีความทรงจำกับที่นี่ไม่ดีเลยสักนิด เขาเจอกับอสูรกายน่าเกลียดมากมาย เจออารัคเน่ปีศาจแมงมุมจอมกระหายเลือดที่จ้องจะกินเขา เจอสายน้ำทั้งห้าที่คิดจะพยศใส่บุตรแห่งโพไซดอนอย่างเขา ตอนนั้นเขาแทบจะเอาชีวิตกลับไปไม่รอด เขาถึงขั้นปฏิญาณกับตนเองว่าเขาจะไม่กลับมาเหยียบที่นี้อีกหากไม่จำเป็น แต่วันนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขากล้าลงมาเหยียบที่นี่อีกครั้งก็คือ….ลูก…



“จุ๊ๆ~ ดูสิ่ นั่นใครมา” จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชานยอลจำได้ขึ้นใจ พวกมันคือสิ่งที่เกือบจะฆ่าคริสให้ตาย ร่างโปร่งหันไปมองด้วยแววตาแข็งกร้าว ก่อนจะที่เขาจะดันตัวลูกไปหลบอยู่ข้างหลัง แต่แล้วจู่ๆมือนั้นก็ถูกหยุด ก่อนที่เสียงทุ้มใหญ่ของอีกคนจะดังขึ้น



“มาหลบหลังฉัน” คริสพูดขึ้นก่อนจะดึงทั้งสองไปหลบอยู่ด้านหลัง ดวงตาคมจ้องเขม็งไปที่พวกฟิวรี่


“โถ่ๆ บุตรแห่งฮาเดสมีหัวใจเสียด้วยหรือนี่ น่าหยอกล้อกับหัวใจเหล่านั้นจริงๆ” ฟิวรี่ตัวหนึ่งพูดพร้อมกับย่างสามขุมเขามาหา คริสอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะเรียกวิญญาณขึ้นมา


“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นแน่” ฟิวรี่หัวเราะเสียงแหลมสูงจนต้องอุดหู มันแสยะยิ้มที่ยาวถึงใบหูก่อนจะใช้ปลายเล็บยาวนั้นไล้ไปตามใบหน้าของคริส


“แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าจัดการกับหัวใจของเจ้าไปหนึ่งดวงแล้วล่ะ…”ฟิวรี่ตัวนั้นโกหก


“หัวใจที่ชื่อว่าโยดา” ตัวด้านซ้ายต่อคำ


“หึหึ…”ร่างสูงหัวเราะอย่างขบขัน คำพูดพวกนั้นมันเหลวไหลสิ้นดี ถ้าโยดาของเขาตาย พวกเขาคนใดคนหนึ่งก็ต้องตายตามไปด้วย แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่มีใครเป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น


“เจ้าหัวเราะอะไร! บุตรแห่งฮาเดส!!!” ฟิวรี่ตัวที่โตที่สุดแผดเสียง ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนจะพูดกับชานยอลเบาๆ


“ปิดตาลูกให้ที ฉันมีธุระต้องคุยกับพวกฟิวรี่สักหน่อย” ร่างโปร่งรีบทำตาม ก่อนที่ดวงตาของคริสจะเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้าผืนดินสั่นสะเทือน พวกฟิวรี่เริ่มกระสับกระส่าย  ก่อนที่พวกมันจะตั้งท่าบินหนี หากแต่ฉับพลันนั้นกองทัพซากศพจากผืนพิภพก็กระชากพวกมันกลับลงมายังผืนโลกเสียก่อน


“ถ้าท่านพ่อรู้ว่าพวกเธอเริ่มรู้จักการโกหก  ท่านพ่อจะว่ายังไงกันนะ… บอกมาว่าตอนนี้ลูกของฉันอยู่ที่ไหน!!!” คริสตวาด เหล่าซากศพยิ่งตรึงร่างนั้นแน่นขึ้นราวกับพวกมันตอบสนองต่ออารมณ์ของร่างสูง  พวกฟิวรี่พยายามดิ้นรน พวกมันสะบัดแส้ไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่อนุภาพของมันทำได้แค่ให้โครงกระดูกสลาย แล้วตนใหม่ก็ผลุดขึ้นมาแทนที่ก็เท่านั้น


“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!!”


“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!!! ไอ้พวกมนุษย์กึ่งเทพ!!!!” ร่างสูงเลิกคิ้วก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะเย้ย


“ในสภาพแบบนี้น่ะหรอ ด้วยอะไรล่ะ” พวกฟิวรี่โกรธจัด มันสะบัดแส้เพลิงจนเกิดเป็นไฟลุกโหมขึ้น


“อย่าลืมว่าข้าเคยทำอะไรกับเจ้าไว้บ้างในทาทาร์รัส!!!” คริสนิ่วหน้า ก่อนที่พื้นดินจะสั่นสะเทือนมากขึ้นคราวนี้เป็นซากศพผีตายโหงที่ร่างกายถูกฟันมือ ฟันแขน คอขาด และสิ่งกลิ่นเหม็นโฉ่วไปทั่วผุดขึ้นมาแทน แต่แล้วพวกมันก็หยุดชะงักเหมือนมีใครมาหยุดเวลาไว้


“พอได้แล้ว…” จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นหลังม่านหมอกสีแดงฉาน ความทรงพลังและโบราณของมันแทบจะทำให้คนฟังยอมคุกเข่าและโค้งคำนับลงได้โดยไม่รู้ตัวทันที  เหล่าโครงกระดูกพร้อมใจกันแทรกแผ่นดินหนี พวกฟิวรี่ตีปีกด้วยความร้อนรน ท่าทางของมันตื่นกลัวราวกับเจ้าของเสียงนั้นเป็นคนน่ากลัว ในขณะที่คริสกลับแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างยินดี


“ท่านพ่อ…”


“ไม่ได้เจอกันเสียนาน บุตรแห่งข้า” เงานั้นค่อยๆเด่นชัด ร่างของเทพเจ้าผู้ครองนรกใต้พิภพเคียงข้างมากับเด็กหญิงตัวน้อยที่พวกเขาตามหา


“โยดา!! // คุณพ่อ!!!”ทั้งสองประสานเสียง ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยจะวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่


“มาอยู่ที่นี่จริงๆด้วย”คริสพูดขึ้น


“พี่โยดามาแล้ววววววว” โยฟานกระโดดขึ้นๆลงๆจะขอกอดด้วย ก่อนที่ร่างสูงจะปล่อยให้ลูกสาวลงมาหาคู่แฝด ชานยอลที่มองดูอยู่ถึงกับน้ำตาคลอด้วยความโล่งอก


“เลี้ยงลูกอย่างไรให้ลงมาถึงทาทาร์รัสได้น่ะ” ฮาเดสเอ่ยอย่างไม่จริงจังหนัก เทพเจ้าแย้มยิ้มน้อยๆ ชานยอลคิดว่าถ้าเขาไม่ได้เห็นมันกับตาเขาคงจะไม่เชื่อแน่ๆว่ามันเป็นเรื่องจริง เทพเจ้าองค์นี้เคยยิ้มเสียเมื่อไร หน้าของฮาเดสแทบจะแช่แข็งอยู่ในอารมณ์เดียว ก่อนที่ฮาเดสจะหันไปหาฟิวรี่ ดวงตาสีรัตติกาลนั้นมองด้วยความแข็งกร้าว


“ข้ามั่นใจว่าข้าไม่ได้สั่งให้พวกเจ้ามายั่วยุลูกข้า แต่ข้าให้เจ้ามาพาเขาไปหาข้า” ฟิวรี่กลัวจนตัวสั่น พวกมันพากันเกาะกลุ่มกันก่อนที่เทพเจ้าจะดีดนิ้วดังเป๊าะ ฉับพลันนั้นหมอกก็ลายล้อมเด็กทั้งสองเอาไว้ไม่ให้ได้เห็นและได้ยิน โซ่ตรวนผลุดขึ้นกลางอากาศเข้ากระชากพวกฟิวรี่ไปที่ไหนสักแห่งที่ลึกลงไปในทาทาร์รัส เสียงกรีดร้องและร่ำไห้ของพวกมันดังโหยหวน ก่อนที่มันจะค่อยเลือนหายไป ฮาเดสหันกลับมาหาครอบครัวของลูกชายก่อนจะดีดนิ้วอีกครั้ง คราวนี้ม่านหมอกหายไป


“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นหรอ!!!” เสียงดังทั้งสองถามอย่างสนใจ ก่อนที่ชานยอลจะเหลือบไปเห็นแขนของลูกสาว


“โยดาทำไมตัวถึงมีแต่แผล” ร่างโปร่งเอ่ยถามก่อนจะเหลือบตาไปมองฮาเดส เทพเจ้าแย้มยิ้มน้อย แววตาคู่นั้นเป็นแววตาของแม่ที่ไม่เกรงกลัวอะไร ไม่สนว่าใครที่มาทำร้ายลูกตัวเอง ต่อให้เขาคนนั้นจะเป็นเทวดาหรือเทพเจ้า แม่ก็จะยอมปกป้องลูกเอาไว้เสมอ


“ทาสรับใช้ของข้าเป็นคนทำ ข้าจะลงโทษพวกนางเองในภายหลัง” ชานยอลคลายความโกรธลงจนแทบจะกลายเป็นไม่ถือสา เพราะลำพังแค่ถูกฮาเดสลงโทษก็มากพออยู่แล้ว เขาคงไม่โหดร้ายให้มาลงโทษซ้ำสองหรอก


“พวกคุณน้าฟิวรี่ไม่ผิดนะคะ…”จู่ๆเด็กหญิงตัวน้อยก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แต่ก้องกังวาน ราวกับเสียงเทวดาตัวน้อยที่อยู่บนโอลิมปัส   เธอมองไปยังปู่ของเธอด้วยแววตาใสซื่อ และอยากให้เชื่อตามที่เธอบอกอย่างนั้นจริงๆ


“คุณน้าฟิวรี่คิดว่าพี่โยดาคือนักโทษที่แหกคุกไป คุณน้าเขาก็เลยทำร้ายพี่โยดา คุณน้าฟิวรี่ไม่ได้ตั้งใจ” ฮาเดสมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ เด็กคนนี้ทำให้เขาประหลาดใจกับความสามารถไปแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังทำให้เขาทึ่งกับจิตใจอีกงั้นหรือ…


“แล้วเจ้าไม่ถือโทษเขางั้นหรือ”


“คุณแม่ขาบอกว่าโกรธคือโรคร้าย ถ้าเราโกรธใครเราจะกลายร่างเป็นนอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว” ทั้งหมดหลุดยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยิน ก่อนที่เทพเจ้าจะเอื้อมมือแตะศีรษะเธอเบาๆ


“ไม่เลว.....เด็กคนนี้ไม่เลว….แล้วนั่นลูกอีกคนหนึ่งของเจ้าใช่มั้ย” ฮาเดสเปรยตาไปทางโยฟานที่เอาแต่หลบอยู่หลังแม่ เด็กชายตัวน้อยรีบแอบไม่ให้เทพเจ้าเห็น ก่อนที่เขาจะค่อยๆโผล่หน้าออกมา


“ผมชื่อโยฟานครับ” เด็กชายตัวน้อยแนะนำตัวอย่างกล้าๆกลัวๆ เทพเจ้าระบายยิ้มอบอุ่นก่อนจะพูดกับเขา


“เด็กผู้ชายต้องกล้านะ เจ้าใช่เด็กผู้ชายหรือไม่”


“ผมเป็นเด็กผู้ชาย!!!” โยฟานรับคำอย่างขยันขันแข็งก่อนจะก้าวออกมาประจันหน้าด้วย


“พี่ฟานเท่ห์ที่สุด!” โยดาชมเสียงเบา โยฟานยิ่งยืนตรง เชิดหน้าจนคอแทบจะหักเข้าไปอีก เทพเจ้ายิ้มน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือแตะศีรษะเขาอย่างเอ็นดู ฉับพลันนั้นสีหน้าของเทพเจ้าก็แปรเปลี่ยน เขาทำหน้าครุ่นคิดจนชานยอลและคริสมองอย่างกระวนกระวาย ก่อนที่เทพเจ้าจะเงยหน้าขึ้นสอบตากับพวกเขา


“ทรงพลังทั้งสอง….” ชานยอลหลุบตาลงต่ำ


“ท่านพ่อของผมก็พูดอย่างนี้”  ฮาเดสหันไปมองรอบๆราวกับกำลังประเมินสถานการณ์ก่อนที่เขาพูดขึ้น


“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุย….มีอสูรกายอยู่มากเกินไป” ฉับพลันนั้นทาทาร์รัสก็เป็นเหมือนภาพวิวที่รถวิ่งผ่าน ทุกอย่างวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแสงสีทุกอย่างรวมกลายเป็นเส้นสาย ทาทาร์รัสกลายเป็นลายเส้นสีดำ แดง และส้ม ก่อนที่ภาพนั้นจะค่อยๆช้าลงและถูกแทนที่ด้วยสีสันที่มากกว่านั้น สีขาว เหลือง ชมพู แดง ส้ม และอื่นอีกมากมายเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา ก่อนที่การเคลื่อนไหวทุกอย่างจะค่อยๆหยุดนิ่ง ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือสวนดอกไม้


“สวนของเพอร์เซโฟเน” คริสพึมพำเสียงเบา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงอาละวาดแน่ เขาเกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเพอร์เซโฟเน่ ภรรยาของพ่อที่จงเกลียดจงชังแม่เขานักหนา แต่หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับแม่เลี้ยงคนนั้นได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะมาที่นี่อีก ซ้ำแล้วเขายังรู้สึกว่าที่นี่ก็ดูสวยดีด้วยซ้ำ


“เจ้าอยากกินอะไรก็หยิบได้ตามสบาย ย่าอีกคนหนึ่งของเจ้าไม่ว่าอะไรหรอก” ฮาเดสเอ่ยบอกกับพวกเด็กๆ ก่อนที่พวกเขาจะพากันไปวิ่งเล่น ตามตำนานแล้วการกินผลไม้ในสวนของเพอร์ซิโฟเนถือเป็นเรื่องโง่เง่าที่ไม่ควรทำมากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้เราติดอยู่ในนรกไปตลอดกาล แต่เมื่อเราคือคนของนรกอยู่แล้ว มันก็ไม่มีผลอะไรกับเราเลย



     เทพเจ้าหันหน้ามาสบตากับคริสและชานยอล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล และอะไรที่ทำให้เทพเจ้าแห่งนรกใต้พิภพองค์นี้กังวลได้ นั่นต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่…



“เจ้ารู้ใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ” เสียงทรงพลังนั้นดังขึ้น ชานยอลบีบมือของคนรักอย่างต้องการที่พึ่งพิง ในแววตาคู่นั้นคริสเห็นความกังวลอยู่เต็มเปี่ยม เขารู้ เขารู้ดีว่าชานยอลรักลูกมากแค่ไหน แต่เขาจะปฏิเสธความจริงที่เทพเจ้ากำลังจะพูดไม่ได้


“ครับ ผมรู้ดี..”คริสเอ่ยตอบเสียงเรียบ


“โพไซดอนคงบอกเกี่ยวกับเด็กสองคนนี้แล้ว  พวกเขาเป็นกึ่งเทพโดยแท้ กึ่งเทพที่เกือบจะกลายเป็นเทพเจ้าเพราะสืบพลังมาจากเทพเจ้าโดยตรง พวกเจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่” ชานยอลพยักหน้าช้าๆ ความกลัวเกาะกุมไปทั่วร่างกายของเขา เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย เขาไม่ชอบเหตุการณ์แบบนี้เลย มันเหมือนความโชคร้ายของลูกเขาที่พ่อเคยพูดไว้ย้อนกลับมาเล่นใหม่อีกครั้งโดยเทพที่แตกต่างออกไป…


“เด็กทั้งสองทรงพลังมาก…เมื่อครู่ ก่อนที่พวกเจ้าจะมาลูกสาวของเจ้าเพิ่งเรียกโคไซทัสทั้งสายขึ้นมากวาดอสูรกายลงไปลงในแม่น้ำ ……….เจ้าคงรู้นะชานยอลว่าโคไซทัสไม่ได้ควบคุมกันได้ง่ายๆ…มันต้องอาศัยพลังมหาศาล”  เทพเจ้าสบตาเขา ชานยอลครั่นคร้ามในแววตาสีรัตติกาลที่ดูเหมือนจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นของฮาเดสมาตลอด และเขายิ่งหวาดกลัวเมื่อถูกเทพเจ้าจ้องมองในสถานการณ์แบบนี้…



        ร่างโปร่งหลบตาพร้อมกับเม้มปากแน่นอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับช้าๆ


“ผมรู้ว่านั่นไม่ธรรมดา…”


“ส่วนลูกของเจ้าอีกคนก็ไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของเขา…….จริงอยู่ว่ามันอาจจะเป็นแค่การประทุพลัง แต่หลังจากนี้เจ้าจะมั่นใจในการควบคุมพลังของลูกเจ้าทั้งสองได้อย่างไร” ไม่มีใครตอบอะไรฮาเดส ทุกคนต่างนิ่งเงียบ พวกเขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันสุ่มเสี่ยง พลังของลูกๆเขามีแต่จะปะทุขึ้นเรื่อยๆเหมือนสัญญาณที่เรียกให้อสูรกายหันมาสนใจมากขึ้น


“พวกเขาอาจปะทุพลังขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ และนั่นต้องไม่ใช่ผลดีแน่”


“โพไซดอนคงให้สิ่งที่จะช่วยกดพลังให้กับลูกชายของเจ้าแล้ว ข้าก็ปรารถนาจะทำเช่นเขา แต่พวกเจ้าคงรู้ว่าความตายมักไม่เป็นที่ต้อนรับเฉกเช่นเดียวกับของขวัญจากความตาย…” ชานยอลตัวแข็งทื่อราวกับเห็นเมดูซ่า เขาจ้องมองเทพเจ้าด้วยความทึ่ง ก่อนจะอ้าปากพูดช้าๆ


“ท่าน ท่าน ท่านหมายความว่ายังไง” เทพเจ้าดูหนักใจที่จะตอบ แต่เขาก็เอ่ยประโยคที่ชานยอลไม่อยากฟังที่สุดออกมา


“ไม่มีความตายใดให้ของขวัญแก่ใครได้หรอก….สิ่งที่ข้าพอจะให้เขาได้นั้นคือพรจากนรก….”คริสเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ ก่อนจะถามออกมาอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน


“ท่านพ่อไม่ได้หมายถึงมันใช่มั้ย” เทพเจ้าสบตาลูกชาย แววตานั้นชัดเจนว่าไม่ได้พูดเล่น


“เกรงว่าจะใช่….ลูกเจ้าจะไม่ปลอดภัยหากไร้สิ่งนี้..” ชานยอลหันมาขอคำตอบจากคริส ร่างสูงพยายามกลบความหวาดหวั่นเอาไว้ ก่อนจะบีบมือเขาเบาๆ


“พ่อของนายหมายความว่าอะไรหรอ” คริสไม่อยากตอบ เขาไม่อยากจะเอ่ยถึงมัน


       เทพเจ้าสบตาชานยอลก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่เย็นยะเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ


“การชุบตัวด้วยแม่น้ำสติกซ์…” ฉับพลันนั้นชานยอลก็เหมือนล้มทั้งยืน ใครๆก็รู้ว่าการชุบตัวในแม่น้ำสติกซ์นั้นเสี่ยงอันตรายแค่ไหน การซื้อความคงกะพันจากการชุบตัวนั้นต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงจนเกือบไม่มีใครกล้าจ่าย นั่นก็คือ…



ชีวิตหนึ่งชีวิต



     หากคนที่ลงไปชุบสามารถผ่านการกัดกิน และทารุณของสายน้ำแห่งความเกลียดชังได้  เขาก็จะได้ความคงกะพัน เป็นสิ่งตอบแทน แต่ถ้าไม่…..เขาก็ต้องจ่ายมันด้วยความตาย และเพราะเหตุนี้เองทำให้ในประวัติศาสตร์แทบจะไม่มีใครกล้าเสี่ยงลงไปในแม่น้ำ จะมีก็แต่แม่ของอคิลลิส นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกแห่งกรุงทอย ที่ยอมนำบุตรชายของตนลงไปชุบทั้งๆที่ตอนนั้นเขายังเป็นทารกอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าในตอนที่จุ่มลงไปนั้น แม่ของเขาได้จับข้อเท้าอคิลลิสไว้ ทำให้ทั้งร่างกายมีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่ไม่ถูกแม่น้ำสติกซ์ นั่นจึงกายเป็นจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงเพียงจุดเดียวของเขา



    หลังจากนั้นเขาก็เติบใหญ่กลายเป็นนายทหารผู้เก่งกาจ และมีบทบาทสำคัญในการศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรีกกับโรมัน สงครามกรุงทอย  มีคำพยากรณ์กล่าวไว้ว่า หากศึกครั้งนี้ไร้ทหารเอก นามว่าอคิลลิส  เอเธนจักมิอาจเอาชนะกรุงโรมได้ แต่ทว่า อคิลลิสไม่ได้โชคดีเช่นนั้นไปเสียหมด ในคำพยากรณ์ยังบอกอีกว่า ชะตาอคิลลิส จักจบสิ้น หากสังหาร แม่ทัพแห่งโรมัน แล้วทุกอย่างก็เป็นตามคำพยากรณ์  กรีกเอาชนะโรมันได้ หากแต่อคิลลิสก็ถูกสังหารโดยลูกธนูเพียงดอกเดียวที่ปักเข้าที่ข้อเท้า  
     


   นอกจากแม่ของอคิลลิสแล้วเขาก็ไม่เห็นจะมีใครกล้าบ้าบิ่นพอจะให้ลูก หรือแม้แต่ตัวเองลงไปชุบตัวในแม่น้ำสติกซ์อีกเลย…



“ มีทางอื่นอีกมั้ย…” ร่างโปร่งเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ เทพเจ้าสบตากับเขา แววตานั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า…ไม่มี


“ข้าให้พรกับเด็กทั้งสองได้เท่านี้…” ชานยอลเม้มปากแน่น ก่อนจะหันไปมองคนรักอย่างกังวล เขาไม่ชอบวิธีแบบนี้เลย มันเสี่ยงเกินไปที่จะยอมแลก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าตนและคริสจะปกป้องลูกได้ตลอดไป…



“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ชานยอล ฉันจะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรเด็ดขาด  เชื่อฉันสิ” คริสบีบมือเรียวที่เย็นเชียบเบาๆน้ำเสียง และแววตามั่นคงคู่นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาจะทำตามที่พูดอย่างนั้นจริงๆ ความอบอุ่นใจแทรกซึมเข้าไปในจิตใจคนฟังช้าๆ คริสไม่เคยผิดคำพูด หากเมื่อใดคำมั่นถูกเอ่ยออกจากปากของผู้ชายคนนั้น เขามั่นใจได้เสมอว่าเขาจะไม่มีวันผิดหวัง…


“อื้ม…” ร่างโปร่งพยักหน้าเบาๆ พยายามซ่อนน้ำตาไว้ภายใต้ความเข้มแข็ง


“ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าจะนำพวกเจ้าไปที่แม่น้ำสติกซ์เอง…” เทพเจ้าเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงแววกังวล ดวงตาทรงพลังคู่นั้นมองไปยังเด็กน้อยทั้งสอง สลับกับเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง แม้จะอยู่ไกลเท่านี้ แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเพรียกหาเหยื่อ….ของแม่น้ำสติกซ์….

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ