0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ตอนที่ 19 คำตอบจากพงไพร

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin


การเดินทางทางอากาศไม่ใช่ความคิดที่ดี ซุสอาจจะโจมตีพวกเขาเมื่อไรก็ได้ ซ้ำร้ายพวกเขายังไม่มีโอกาสจะได้ตอบโต้ ในเมื่อชานยอลจำเป็นต้องการน้ำ และคริสเองก็ต้องการผืนแผ่นดินให้เรียกเหล่าคนตายขึ้นมาได้ ยังไงซะพวกเขาก็ไม่มีทางชนะได้ตราบใดที่ยังอยู่ในอาณาเขตของซุส มองอย่างไรแล้วแผนนี้ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่มีพาหนะอื่นที่เร็วกว่านี้อีกแล้ว


เพกาซัสบินขึ้นไปทางเหนือห่างไกลจากกระท่อมเรื่อยๆ พวกเขาทิ้งเอจิสไว้ที่นั่น เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรหากจะนำสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันแตะต้องได้มาด้วย คริสกับชานยอลคอยสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ อยู่เสมอ เขาไม่ไว้ใจท้องฟ้า มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเห็นความผิดปกติที่หางตา กลุ่มเมฆหน้าตาแปลกๆพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา ก่อนที่มันแตกกระจายออกเมื่อมาถึงตัว ความชื้นหอบหนึ่งปะทะกับพวกเขาก่อนที่มันจะพัดผ่านไปพร้อมกับสายลมที่พัดมา ครั้งแรกคริสกับชานยอลปล่อยผ่าน แต่เมื่อมันเริ่มมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พวเขาก็เริ่มคิดว่าไม่ใช่แล้ว...


จะมีความชื้นได้ยังไงในเมื่อท้องฟ้ากำลังเปิดขนาดนี้


“เพกาซัสร่อนลงต่ำ” ชานยอลกระซิบบอกเพกาซัสว่าการอยู่ใกล้พื้นดินย่อมดีกว่า เพกาซัสกางปีกร่อนลง แต่ทว่าขณะที่มันกำลังจะลดความสูงลงเรื่อย ๆนั้น จู่ ๆ หมอกก็ลงหนาจัด ทัศนวิสัยย่ำแย่จนมองไม่เห็น


“รีบลงไปที่พื้นดิน” คริสรีบออกคำสั่ง เขารับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา เพกาซัสพยายามบินลงไป แต่มันกลับไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเมฆชื้นกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาขว้างทางไว้


“จะรีบไปไหนกันหรือเด็ก ๆ” ชายคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น รอบตัวเขามีฝนโปรยปรายอยู่ตลอดเวลา เขาคือรูปแบบของคำว่าเฉื่อยชาอย่างสมบูรณ์แบบ ท่าทางของเขาเหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม พวกเขาเคยเห็นแววตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน


“แกเป็นใคร” คริสถามอย่างไม่เป็นมิตร คนถูกถามหาววอดก่อนที่จะตอบด้วยเสียงเบื่อหน่าย


“นี่พวกเจ้ายังไม่รู้อีกเรอะ ข้าไม่อยากแนะนำตัวแล้วนะ” เขาหาวอีกครั้ง


“ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็อย่ามาขวางทางเรา” ชานยอลพูดอย่างแน่วแน่ ชายแปลกหน้าคนนั้นโบกมือปัดอย่างรำคาญก่อนที่หมอกสีทึมจะกระจายออกมาจากตัวเขา คริสพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร


“บทของข้าคือต้องขัดขวางพวกเจ้า พวกเจ้ารีบๆหนี ๆไปซะแล้วข้าจะได้กลับบ้านสักที”


“แล้วถ้าผมจะบอกว่าไม่ล่ะ” ร่างโปร่งย้ำ คนฟังขมวดคิ้วก่อนที่เขาจะทวนคำพูด


“เจ้าว่าอะไรนะ”


“ผมบอกว่าผมจะไม่ไป คุณนั้นแหละที่ต้องไป”


“โอ้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คง...” เขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


“ต้องจัดการพวกเจ้าแล้วล่ะ” ฉับพลันนั้นเขาก็ลืมตาที่สะลึมสะลือขึ้น ความง่วงในดวงตาถูกแทนที่ด้วยความโหดเหี้ยม รอยยิ้มร้ายถูกแสยะออก ก่อนที่สายหมอกปีศาจมีหัวเป็นมังกรจะพุ่งเข้ามาหาคริสกับชานยอล เพกาซัสรีบบินหลบ ร่างโปร่งบังคับม้าให้บินหนี คริสฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ผู้ชายที่เฉื่อยชา มีฝนตกอยู่รอบๆ สร้างหมอกได้ และมีนัยน์ตาเหมือนกับเอโอลัส เขาคนนั้นก็คือ


“โนทัส เทพแห่งลมใต้ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเอโอลัส!! ชานยอล!! เราเจอเข้ากับปัญหาใหญ่แล้ว” ร่างสูงร้องบอก ชานยอลที่กำลังบังคับเพกาซัสให้บินหนีมังกรหมอกนั่นไปมาตะโกนถามแหวกสายลม


“ยังไง!!”


“โนทัส คือเทพผู้ผลิตหมอกและความชื้น เขาชอบใช้หมอกแยกศัตรูแล้วจัดการทีละคน” คริสอธิบาย ร่างโปร่งสบถอย่างหัวเสีย เขาไม่ได้มีเวลามากพอจะมาเล่นเกมส์วิ่งไล่จับบ้าๆนี่ พวกเขาต้องไปหาแอตลาส และซุสก็ไม่ได้รอให้พวกเขามาชนะด้วย


“เราต้องทำอะไรสักอย่าง!” เขาออกความเห็นก่อนที่เกือบจะโดนปีศาจมังกรควันนันงับ เพกาซัสบินรอดใต้ท้องมันได้อย่างเฉียดฉิว


“บินขึ้นไป..” จู่ๆคริสก็พูดขึ้น ชานยอลทำหน้าฉงน ก่อนที่ร่างสูงจะเงยหน้าขึ้น แสงอาทิตย์รำไรทะลุผ่านสายหมอกลงมาได้บ้าง


“หมอกจะถูกความร้อนสลาย ถ้าเราบินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เท่าไร โนทัสก็จะทำอะไรเราไม่ได้เท่านั้น เสร็จแล้วพวกเราก็จะรอด” ชานยอลพยักหน้ารับก่อนจะสั่งให้เพกาซัสบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆโดยมีปีศาจมังกรหมอกนั่นไล่ตามมาติด ๆ โนทัสคำรามกู่ก้องอย่างโกรธเกรี้ยว ม้าบินยิ่งบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ค่อยๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาใกล้จะรอดแล้ว!!


“ไม่มีใครหนีรอดจากหมอกของข้าไปได้!!!” โนทัสคำราม ก่อนจะเร่งให้มังกรไล่ตามเร็วขึ้นอีก คริสกับชานยอลมองอย่างวิตก ก่อนที่จะยิ้มออกเมื่อเห็นแสงแดดร้อนแรงรออยู่เบื้องหน้า เพกาซัสรีบควบสุดฝีเท้า


“งั้นก็อาจเป็นพวกเราพวกแรก” คริสสวนกลับ ชานยอลหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนที่พวกเขาจะบินหลุดออกมาจากกำแพงหมอกได้ แต่ทว่าทันทีที่เห็นแสงอาทิตย์ ปีศาจมังกรหมอกอีกตัวก็อ้าปากพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว


“ข้าบอกแล้วว่าไม่มีใครเคยรอดพ้นไปได้” โนทัสหัวเราะอย่างผู้กุมชัยชนะ ร่างของพวกเขาตกลงไปข้างล่างด้วยความเร็วสูง มังกรพวกนั้นเข้ามาพุ่งชนอย่างแรง คริสกระเด็นไปอีกทาง ชานยอลไปอีกทาง และเพกาซัสก็ไปอีกทาง


“ไม่นะ!!!” ชานยอลหวีดร้องเอื้อมมือจะคว้าคริสไว้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของคริสดิ่งลงไปด้วยความเร็วสูง ร่างโปร่งจะหันไปเรียกเพกาซัสให้ช่วยแต่ม้ามีปีกของเขากลับถูกชนจนปีกหัก ตอนนี้พวกเขาเข้าตาจนแล้ว
โนทัสหัวเราะดังกึกก้อง วิถีแห่งสายหมอกเป็นวิถีที่ง่ายเสมอ เพราะเพียงแค่สร้างหมอกขึ้นมาแล้วให้พวกนั้นพังพินาศด้วยตัวของมันเอง แค่นั้นเขาก็ประสบความสำเร็จแล้ว เหมือนอย่างที่เขาชอบทำให้เกิดอุบัติเหตุเวลามีหมอกลงจัดอยู่เสมอ กับครั้งนี้ก็เช่นกัน...ก็แค่ปล่อยให้ตกลงไปตายข้างล่างก็สิ้นเรื่องแล้ว


ชานยอลหวีดร้องในใจ เขาจะไม่จบแค่นี้หรอก พวกเขาจะมาจบด้วยแค่สายหมอกโง่ ๆ นี่งั้นหรอ ไม่! เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองมาตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก ร่างโปร่งพยายามจะคิดหาทางบางอย่าง ในขณะที่เขาดิ่งลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็วสูง ที่เบื้องล่างนั่นคือบึงที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มันแทบไม่มีแผ่นดินให้เห็น มีแต่น้ำนิ่งสีเขียวที่รออยู่ ร่างโปร่งบังคับสายน้ำให้รองรับเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะตกกระแทกจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว


“เฮือก!!” ชานยอลทะลึ่งตัวขึ้นมา น้ำที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นชื้นของป่าที่เขาไม่ชอบ เสียงพรึ่บพรับของอะไรบางอย่างดังขึ้น เขารีบหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเพกาซัส โชคยังดีที่เขายังมีเพื่อน


ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองโนทัสเขากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เทพเจ้าบ้าๆนั่นคงคิดว่าพวกเขาตายกันหมด ซึ่งนั่นก็โง่มาก เพราะที่นี่มีแต่น้ำและต้นไม้ ไม่มีทางที่เขาจะตายในน้ำได้หรอก


ชานยอลกวาดตามองไปรอบๆ บึงนี้เป็นเหมือนป่าดงดิบอย่างอเมซอนแทบไม่มีผิดเพี้ยน หนองน้ำนิ่งสีเขียว มีต้นไม้ที่แผ่รากขึ้นอยู่มากมาย กิ่งก้านใบของมันแผ่ขยายจนแสงรอดผ่านได้เพียงน้อยนิด ทั้งบึงเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงนก ร่างโปร่งตัดสินใจออกเดิน


“คริส คริส นายได้ยินฉันมั้ย” เขาตะโกนเรียกคนรัก ใจภาวนาว่าขอให้เขาไม่เป็นอันตรายมาก เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ตายผ่านมนตร์อะโฟรไดท์ แต่ทว่าเสียงเรียกนั้นกลับไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย เขาตะโกนอีกครั้ง


“คริส!! คริส นายอยู่ไหน!!” ไม่มีอะไรตอบกลับมาเหมือนเดิมเขาย่ำไปเรื่อยๆพร้อมกับเพกาซัสปีกหัก ม้ามีปีกของเขาเซื่องซึมลงไปมาก มันไม่พูดหรือแสดงท่าทีอะไร ทำแค่เดินเคียงข้างไปด้วย


ชานยอลเดินตามหาอีกฝ่าย เขาเดินมานานกว่าหลายชั่วโมง แต่นอกจากป่าที่หน้าตาเหมือนๆกันแล้ว เขาก็ไม่พบอะไรอีกเลย ความท้อแท้ ความสิ้นหวัง และตื่นกลัวค่อยๆคืบคลานมาหาเขา ร่างโปร่งทรุดนั่งที่รากไม้ขนาดใหญ่รากหนึ่งอย่างอ่อนแรง เขารู้ว่าคริสเป็นคนเก่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรอดพ้นจากอันตราย ยิ่งโดยเฉพาะกับป่านี้ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้สีเขียวชอุ่มเหล่านั้น..


เขาต้องรีบหาคริสให้เจอ


ร่างโปร่งออกเดินอีกครั้ง ใบหน้านวลแหงนขึ้นมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว เขาเหลือเวลาไม่มากนัก ลางสังหรณ์อะไรบางอย่างกำลังร้งเตือนเขาว่าอย่าอยู่ในป่านี้จนถึงค่ำ เพราะมีบางสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจกำลังรอพวกเขาอยู่..


ถ้าข้าบินได้ก็คงดี


ชานยอลหันไปมองเพกาซัส ม้ามีปีกของเขากำลังเศร้า


“แค่มีนายอยู่ด้วย ฉันก็อุ่นใจแล้ว” ร่างโปร่งลูบแผงขนของเพกาซัส ก่อนจะเห็นว่าแสงอาทิตย์ค่อยๆริบหรี่ลงแล้ว เขาต้องรีบหาคริสให้พบ ชานยอลก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น ในขณะที่พระอาทิตย์ก็ค่อย ๆ อ่อนแสงลงเรื่อยๆ ทั่วทั้งผืนป่าถูกครอบงำไปด้วยแสงสีซีด ลำแสงจากพระอาทิตย์ที่ส่องลงมาค่อยๆจางหายไปทีละนิด ร่างโปร่งตะโกนเรียกจนสุดเสียง เหลียวมองทุกอย่างที่ร่างสูงอาจไปติด เขาย่ำไปทั่วจนเหงื่อท่วมกาย แต่ทว่าก็ยังหาไม่พบ


ฟ้าค่อยๆมืดลง แสงสุดท้ายค่อยๆจางหายไปพร้อมกับความสิ้นหวัง ชานยอลทรุดลงกับพื้น สายน้ำผิวไหวเป็นระลอก เสียงของมันราวกับจะหัวเราะเยาะเขา ร่าางโปร่งยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงประหลาด


“ชานยอล..” เสียงของคริสดังแว่วมา ร่างโปร่งรีบหันไปยังต้นเสียง ก่อนที่เขาจะพบคริสกำลังยืนหันหลังให้เขาอยู่ที่กลางบึง


“คริส!” ชานยอลเรียกสุดเสียง รอยยิ้มกว้างวาดขึ้นที่ใบหน้า มือเรียวยื่นไปไขว่คว้าอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะต้องผวาเมื่อร่างของคริสหายวับไปกับตา ก่อนจะแทนที่ด้วยภาพอะไรบางอย่าง


“เมื่อไรคุณพ่อกับคุณแม่จะกลับมานะ” โยดากับโยฟานที่กำลังนั่งมองท้องทะเลอยู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ชานยอลน้ำตาร่วงเผาะ เขาเอื้อมมือไปไขว่คว้า แต่ทว่ากับจับต้องไม่ได้ ภาพนั้นสั่นไหวราวกับผืนน้ำที่ถูกรบกวนเป็นระลอกคลื่น ชานยอลจำต้องทนดูต่อไปด้วยหัวใจอันปวดร้าว


“คุณย่าบอกว่าป่าป๊ากับหม่าม๊าไปทำธุระ มันอันตรายมาก พวกเราจะต้องรออยู่ที่นี่ก่อน” โยฟานเอ่ยปลอบคู่แฝด


“โยดา โยฟาน..” ร่างโปร่งพูดด้วยเสียงของคนหัวใจสลาย เขาคิดถึงลูกมาก คิดถึงอย่างที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ ลูกของเขาสองคนกำลังรอเขาอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง พวกแกนั่งรอ นั่งรอให้เขากับคริสกลับไป


“คุณพ่อกับคุณแม่! ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พวกหนูจะไม่ดื้อไม่ซนเลย รีบๆกลับมานะคะ” เด็กน้อยโยดาลุกขึ้นตะโกนบอกกับมหาสมุทรราวกับว่าสายน้ำจะพาเสียงนั้นไปถึงคนที่อยากให้ได้ยิน


“พี่โยฟานจะดูแลพี่โยดาให้ดีที่หนึ่งเลย สู้ๆนะป่าป๊าหม่าม๊า พวกเราคิดถึงนะ” โยฟานตะโกนขึ้นบ้างก่อนที่มาธาร์จะออกมาเรียกเด็กทั้งสองให้กลับเข้าไปกินข้าว ภาพค่อยๆกระเพื่อม ใบหน้าของพวกเขาค่อย ๆ หายไป ชานยอลพยายามไขว่คว้าไว้


“ไม่ ไม่นะ ไม่ อย่าเพิ่งหายไปนะ” เขาร้องบอก แต่ทันทีที่เด็กทั้งสองวิ่งกลับเข้าไปในบ้านทุุกอย่างก็หายไป ร่างโปร่งเอื้อมมือจะไปคว้าไว้ แต่แทนที่เขาจะจับได้ภาพนั้นเขากลับได้มืออีกคนหนึ่งแทน


“คริส!!” คริสกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงตัวจริง ๆ ตัวเป็น ๆ ที่ไม่ได้ล่องหนหายไปเมื่อถูกสัมผัส เขากำลังร้องไห้อยู่


“นายก็เห็นเหมือนฉันใช่มั้ย” ร่างโปร่งถามพร้อมกับโผกอด คริสกอดอีกคนไว้แน่น


“หิ่งห้อยพานายมาเหมือนกันหรอ ชานยอล” คนถูกถามค่อยๆผละออกพร้อมกับเงยหน้ามอง


“ไม่ ไม่ใช่ ฉันตามหานาย แล้วจู่ ๆ ฉันก็เห็นนายยืนอยู่ตรงนี้ แต่พอฉันแตะตัวนาย นายก็หายไป แล้วภาพลูก ๆ ก็ขึ้นมาแทน”


“นั่นคือความปรารถนาของพวกเจ้า...” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พวกเขาหันขวับไปหา ชายกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่รากไม้ถัดจากพวกเขาไปไม่กี่เมตร เขารูปงาม ไว้หนวดเครา มีเขาเล็ก ๆ อยู่ที่หน้าผาก เปลือยอกสีน้ำผึ้งท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยแมลง และยืนสองขาที่เป็นแบบแกะ รัศมีสีทองเรืองรองของเขาเปล่งประกายจนป่าบริเวณนั้นสว่างขึ้นมา


“พ พ แพน...” ชานยอลพึมพำด้วยความเหลือเชื่อ แพนเทพแห่งป่า ทุ่งหญ้า และการเจริญพันธุ์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา นานมาแล้วที่แพนไม่ยอมปรากฏตัว เขาจะทรงพลังตามจำนวนผืนป่าที่เหลืออยู่บนโลก แต่ช่วงหลังๆมานี้มนุษย์ทำลายป่าลงไปเป็นจำนวนมาก เทพผู้น่าสงสารองค์นี้จึงอ่อนแอเกินกว่าจะปรากฏตัว


“สิ่งที่พวกเจ้าเห็น คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องการมากที่สุดในตอนนี้” แพนพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา เทพเจ้าสัมผัสที่ปีกของเพกาซัสเบาๆ ก่อนที่ปีกนั้นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แพนค่อยๆเดินไปตามรากไม้ที่ขยับสอดประสานกันเพื่อให้เขาเดิน ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่างดอกไม้ก็จะเบ่งบานขึ้น เหล่าผีเสื้อบินว่อนอยู่รอบกาย กระรอกตัวน้อย ฝูงลิง และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในป่าต่างเดินตามเขา


“ท่านทำให้พวกเราเห็นหรอครับ” ชานยอลถามขึ้นก่อนที่คริสจะพูดขึ้นด้วย


“หิ่งห้อยนั่นก็ด้วยใช่มั้ยครับ” เทพเจ้ายิ้มอบอุ่น เขาย่อตัวลงไปสัมผัสผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ผืนน้ำสีมรกตส่องสว่างขึ้นก่อนที่เวทมนตร์ของเขาจะทำให้มันใสจนมองเห็นหมู่ปลาที่แหวกว่าย ปลาหลากสีสันกระโดดขึ้นมาอย่างสนุกสนาน เถาวัลย์สองเส้นช้อนพวกเขาขึ้นมายืนบนรากไม้ ร่างกายพลันแห้งขึ้นอย่างน่าฉงน


“เรามีเรื่องจะบอกพวกเจ้า” คริสกับชานยอลหันหน้ามาสบตากัน ก่อนที่พวกเขาจะรอให้เทพเจ้าพูดต่อ แพนเดินลงจากรากไม้รากหนึ่งไปยังอีกรากหนึ่งพร้อมกับสัมผัสต้นไม้ไปด้วย แสงสีทองม้วนวนรอบต้นไม้ก่อนที่มันจะค่อยๆวิ่งไปหาต้นอื่น ต้นไม้ที่สัมผัสแสงพลันสวยงามราวกับป่าแห่งสรวงสวรรค์


“วิธีที่จะทำให้แอตลาสร้องไห้” เขาพูดขึ้น ชานยอลเบิกตากว้าง


“ท่านรู้หรอครับ!!” เทพเจ้าพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ


“เรารู้ วิธีนั้นง่ายมากทีเดียว” เขาหันไปมองหิ่งห้อยที่กำลังบินอยู่รอบตัวเขาก่อนจะยื่นนิ้วให้พวกมันเกาะ


“ไม่ว่ามนุษย์ หรือเทพเจ้า ก็ล้วนแต่มีสิ่งที่ต้องการกันทั้งนั้นแอตลาสเองก็เช่นกัน”


“นั่นคือคำใบ้หรอครับ” คริสถาม เทพเจ้ายกยิ้มพร้อมส่ายหน้า


“ไม่ใช่นั่นคือคำตอบ” คริสกับชานยอลหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง


“แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าแอตลาสต้องการอะไร” ชานยอลถาม


“จะให้พามาที่ป่านี้ก็คงจะไม่ได้ด้วย” คริสพูดต่อ เทพเจ้าหัวเราะด้วยเสียงอันไพเราะ


“พวกเจ้ารู้คำตอบนั่นดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า...” เขายกขลุ่ยเพียงออขึ้นจรดริมฝีปากก่อนจะหันมาสบตา


“จะรู้ตัวรึเปล่า” เสียงขลุ่ยเพียงออดังขึ้น เทพเจ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คริสกับชานยอลหยุดเดิน พวกเขายังคงสับสนกับคำตอบที่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าเทพเจ้า พวกเขาไม่บอกอะไรตรงๆอยู่แล้ว


“ท่านต้องการค่าตอบแทนเป็นอะไรหรอครับ” ชานยอลตะโกนถามในขณะที่แพนยังคงเดินเป่าขลุ่ยไปเรื่อยๆ เสียงของเทพเจ้าดังขึ้นราวกับผืนป่าเป็นคนพูด


ต้นไม้สักสองสามต้น มากพอเกินไปสำหรับพวกเจ้าหรือไม่


พวกเขาชะงัก ไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนจะเรียกค่าตอบแทนน้อยนิดเท่านี้มาก่อน


“ได้ครับ พวกเราจะปลูก” ชานยอลรับปาก เทพเจ้าแย้มยิ้มก่อนที่ผืนป่าจะพูดขึ้นอีกครั้ง
เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับต่อลมหายใจของป่า


แล้วเทพเจ้าก็ค่อยๆหายไป ผืนป่ากลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง พวกเขายืนอยู่บนรากไม้อย่างเดียวดาย


“สิ่งที่แอตลาสต้องการ...” คริสพึมพำ ในขณะที่ชานยอลขบคิด สิ่งที่แอตลาสต้องการคืออะไรกัน สิ่งที่จะทำให้เขาร้องไห้ได้ แล้วแวบหนึ่งเพลงของแพนก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา ความคิดของเขาแตกฉาน ปัญหาที่มีถูกเฉลย


“ฉันนึกออกแล้ว!!!”


“ยังไง” คริสถาม คนถูกถามหันกลับมายิ้มให้เขา


“มันง่ายนิดเดียวเองคริส มันง่ายนิดเดียวเอง!” ร่างโปร่งวิ่งกลับไปหาเพกาซัส คริสวิ่งตามหลังพร้อมร้องถาม
“มันคืออะไรกันล่ะชานยอล”


“ครั้งนี้ฉันต้องให้นายช่วย...” ชานยอลพูดอย่างคนที่กำลังมีแผนการก่อนที่เขาจะขยายความพร้อมกระโดดขึ้นหลังเพกาซัส ม้าบินสยายปีกออกเตรียมทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า


“ไปแบกโลกแทนแอตลาสสักพักนะ เราต้องพาเขาไปหาคนคนหนึ่ง” แล้วเพกาซัสก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า ยอดเขาที่แอตลาสอาศัยอยู่ลอยเด่นอยู่ที่เบื้องหน้า...


เพลงที่แพนเป่า คือเพลงที่เขาชอบ เนื้อหาในเพลงพูดถึง


พ่อแม่ที่คิดถึงลูก และอยากเจอหน้ากันอีกสักครั้ง...


ภูเขาที่แอตลาสอยู่เป็นภูเขาหินขนาดใหญ่มีหิมะตกปกคลุมบางๆ ที่ยอดเขามีกลุ่มเมฆหนาทึบบดบังอยู่ ชานยอลกับคริสมองขึ้นไปด้วยสายตาครั่นคร้าม แม้จะอยู่ห่างจากจุดนั้นมาหลายกิโลเมตรแต่พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงพลังงานมหาศาลและแรงกดดันที่มากจนแทบจะกดทับพวกเขาให้จมดิน เพกาซัสตะกุยกีบเท้าอย่างไม่ชอบใจหนัก บ่อยครั้งที่ม้าบินตื่นตระหนกอยากหันหลังกลับแต่ชานยอลก็พยายามควบคุมเขาเอาไว้ พวกเขามาไกลขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อหันหลังกลับแน่ พวกเขาจะต้องไปต่อ


ความกดดันเหมือนจะแปรผันตรงกับระยะทางที่เข้าใกล้ เพราะยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ยอดเขาเท่าไรก็เหมือนมีแรงบางอย่างคอยดันพวกเขาให้ออกห่างทุกครั้ง เพกาซัสไม่สามารถบินต่อได้ มันต้องเปลี่ยนมาเดินไปบนอากาศแทน แต่ทว่าแต่ละก้าวที่เดินราวกับถูกหินถ่วง มันค่อยๆก้าวอย่างเชื่องช้า ทีละก้าว ทีละก้าว


ถ้าขืนเป็นแบบนี้พวกเขาไม่มีทางถึงภายในวันนี้แน่


ชานยอลกัดฟันกรอด เขาจะมามัวเสียเวลาอยู่อย่างนี้ไม่ได้ พวกเขาต้องไปให้เร็วกว่านี้ ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งให้เขาต้องทำ ร่างโปร่งตัดสินกระโดดลงไปบนภูเขาก่อนที่คริสจะลงตามมา ฉับพลันนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น


“พวกเจ้ามาทำอะไร” ชานยอลสัมผัสได้ถึงความโบราณและอ่อนล้าในน้ำเสียงเขาถึงขั้นเกือบตัวสั่นทันทีที่ได้ยิน


“พวกเรามีเรื่องจะให้ท่านช่วยครับ มันสำคัญมาก แล้วนอกจากท่านก็ไม่มีใครจะช่วยพวกเราแล้ว” ชานยอลพยายามพูดในขณะที่ฟันกระทบกันอย่างหนัก ยิ่งเข้าใกล้ แรงกดทับก็ยิ่งมหาศาล เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าแอตลาสแบกมันไปได้ยังไงไหว


“เราไม่มีอะไรจะช่วยเจ้า”


“มี มีสิครับ ท่านช่วยเราได้ แค่ท่านคนเดียวเท่านั้น”


“จงกลับไปเถิด ทีนี่ไม่เหมาะกับมนุษย์เช่นเจ้า”


“ไม่ พวกผมจะไม่กลับไปเด็ดขาด” คริสยื่นคำขาด ฉับพลันนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พวกเขาต้องรีบหาที่ยึดเกาะ แรงสั่นสะเทือนมากจนพวกเขาเกือบจะหลุดจากที่ยึด


“ข้าบอกให้พวกเจ้ากลับไป!” เสียงทรงพลังนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แผ่นดินสะเทือนรุนแรงขึ้นราวกับมียักษ์กำลังวิ่งอยู่ที่ยอดเขา จู่ๆก็มีก้อนหินขนาดยักษ์กลิ้งลงมาจากด้านบน พวกเขาหลบได้อย่างหวุดหวิด ชานยอลได้ยินเสียงโซ่ขนาดใหญ่จำนวนมากดังกระทบกัน ร่างโปร่งรีบตะเกียกตะกายขึ้นไปบนยอดเขาก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นเรื่อยๆ


“ข้าบอกแล้วไงว่าให้พวกเจ้ากลับไป!!!” แอตลาสแผดเสียงก่อนที่แผ่นดินจะไหวรุนแรงขึ้นราวกับโลกถล่ม ชานยอลกับคริสพยายามฝ่ามันขึ้นไป พวกเขาจะไม่ถอยกลับ พวกเขาจะไม่ถอยกลับเด็ดขาด!! พวกเขาค่อยๆปีนขึ้นไปอีก


“ผม บอก แล้ว ว่า” ร่างโปร่งกัดฟันพูดอย่างยากลำบาก ความกดดันกดทับร่างของเขาจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะสู้ เขาจะสู้เพื่อลูกๆของพวกเขา


“ยัง ไง พวก ผม ก็” คริสค่อยๆพูดต่อ พวกเขาปีนเขาขึ้นไปอย่างช้าๆ ทั้งคู่สบตากันก่อนจะคว้าชะง้อนหินเอาไว้แล้วดันตัวขึ้นไปที่ยอดเขา


“ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!!!” พวกเขาพูดขึ้นอย่างแน่วแน่ขณะที่ขึ้นมาถึงยอดเขาสำเร็จ แต่ทว่าทันทีที่มาถึงพวกเขาก็แทบลืมหายใจ ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏไม่เหมือนที่พวกเขาจินตนาการไว้สักนิด มันอดสูกว่า โหดร้ายกว่า และยากที่จะทนดูได้มากกว่า


ยักษ์ไททันตัวสูงเทียมฟ้ากำลังแบกท้องฟ้าไว้จนร่างแทบจะจมลงไปในดิน เขาถูกโซ่ล่ามยึดร่างกายไว้กับท้องฟ้าและผืนดิน สภาพร่างกายของแอตลาสดูอดสูเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดคิด ผมกลายเป็นสีดอกเลา ใบหน้าอ่อนล้าและทรุดโทรม แต่ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าส่วนที่ต้องรับน้ำหนัก ข้อมือใหญ่นั้นบิดเบี้ยวผิดรูป ไหล่ปูดโปนจนน่ากลัว ขากำยำนั้นโก่งงอจนเหมือนคนพิการ เท้าจมลึกลงไปในดิน.......ทุกสิ่งล้วนเกิดจากแรงกดทับของท้องฟ้า


“ทะ ทะ ท่าน...” ชานยอลแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คืออดีตยักษ์ไททันผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เขาเคยเป็นจอมทัพ เคยต่อสู้มาแล้วมากมาย ชื่อของเขาเคยถูกเอาไปตั้งเป็นหนังสือแผนที่ กระดูกคอของมนุษย์ แต่ใครจะรู้เล่าว่าตัวจริงของเขากลับมีสภาพเป็นเช่นนี้...


ที่ซุสทำอย่างนี้ถูกแล้วหรือ


แค่เพียงเพราะเป็นฝ่ายตรงข้าม แค่เพียงเพราะไม่ใช่พวกของตน เขาถึงต้องลงโทษถึงเช่นนี้เชียวหรือ...


“ผม ผม...” เขาพูดไม่ออก คริสเองก็เช่นกัน พวกเขาแทบลืมความคิดที่จะขอร้องให้ช่วย เพราะสภาพของแอตลาสเองตอนนี้มันแย่จนเขาไม่กล้าออกปาก


“จงไปซะก่อนที่ทุกอย่างจะสาย” เขาพูดอย่างยากลำบาก ก่อนจะขยับร่าง ฉับพลันนั้นแผ่นดินก็ไหวอีกครั้ง ชานยอลกับคริสรอจนมันสงบก่อนที่พวกเขาจะรวบรวมความกล้าร้องขอ


“ผมต้องการน้ำตาของท่าน” ชานยอลพูดขึ้น ไททันจ้องมองเขาก่อนที่เสียงกระดูกของเขาจะลั่น
“ข้าถูกลงทัณฑ์มาเสียจนลืมทุกความรู้สึกไปแล้ว ข้าไม่เจ็บ ข้าไม่ปวด ข้าไม่รู้ซึ้งถึงความสุข และไม่เข้าใจถึงความเศร้า”


“ไม่ เรื่องนี้ท่านไม่มีวันลืมแน่” เทพเจ้ายิ้มเยาะก่อนจะพูด


“งั้นรึ ข้าลืมแม้กระทั่งเรื่องเมื่อครั้งเก่า สิ่งเดียวที่ข้าจำได้คือความโหดร้ายที่ซุสหยิบยื่นให้ข้า!!!” เขาขยับร่างอีกครั้งคราวนี้ผืนแผ่นดินเริ่มหลุดร่วง ชานยอลกับคริสต้องรีบกระโจนหนีก่อนที่พวกเขาจะหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้ง


“ท่านไม่มีทางที่จะลืมชื่อนี้ไปจากใจท่านแน่ๆ ท่านไม่มีทางลืมเธอ”


“ข้าหมดสิ้นซึ่งเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ความทรงจำทุกสิ่งเป็นเพียงแค่เศษเถ้าธุลีของความแค้นที่ถูกบ่มเพาะมานานกว่าหลายพันปี!!! ข้าอยู่เพียงเพื่อถูกลงทัณฑ์!!! และหายใจเพื่อความแค้น มิมีสิ่งใดที่ข้า....”


“คาลิปโซ...” ชานยอลพูดแทรก แอตลาสชะงักทันที เทพเจ้าหันมามองเขา


“ท่านจำเธอได้ เธอคือลูกสาวของท่าน” แอตลาสกระพริบตาราวกับคิดตามก่อนที่เขาจะพึมพำ


“ลูกสาว...”


“ใช่ ลูกสาวของท่าน หลังจากสงครามจบเธอก็ถูกลงโทษให้ติดอยู่ในเกาะโอจีเจียไปตลอดกาล เธอไม่มีวันออกมาจากที่นั่นได้ และเกาะนี้ก็ไม่เคยมีใครหามันพบเป็นครั้งที่สอง แต่พวกเราทำได้ เราพาท่านไปหาเธอได้ ถ้าต้องการ...” ร่างโปร่งพูดทิ้งท้ายให้แอตลาสคิด เขาไม่ได้โกหก ไม่ได้พูดเกินจริง แต่เขาสามารถพาไปได้จริงๆ เพราะครั้งหนึ่งเซฮุนเคยบอกเส้นทางลับกับเขา


เทพเจ้าขบคิดราวกับคนความจำเสื่อม ที่ผ่านมาเขาจำได้แต่ภาพที่ซุสลงทัณฑ์เขา ความทรงจำทั้งหมดถูกกลืนหาย เขาค่อยๆนึกถึงผู้หญิงที่ชื่อ คาลิปโซ คาลิปโซ ลูกสาวของเขา เขาเคยมีลูกใช่มั้ย ลูกของเขากำลังถูกลงโทษ แล้วฉับพลันนั้นจู่ๆภาพทุกอย่างก็กลับมา


ใช่... เขาเคยมีลูก


แอตลาสแผดเสียงดังกึกก้อง ความคลั่งแค้นแผดเผาจนแทบคลั่ง เขากระชากโซ่ไปมาจนโกรธเกรี้ยว ท้องฟ้าสั่นสะเทือน แผ่นดินสั่นไหว จำได้แล้ว เขาจำได้แล้วว่าถึงวันนั้นเมื่อหลายพันปีก่อนที่มีคนมาบอกเขาเรื่องคาลิปโซ ลูกสาวของเขาถูกลงทัณฑ์ด้วยเพียงเพราะเธอแค่อยู่ฝ่ายเดียวกับพ่อ เธอถูกจองจำให้อยู่แต่ในเกาะบ้าๆนั่นไปตลอดกาล โดยไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ ซ้ำร้ายชะตายังเล่นตลกมักส่งวีรบุรุษให้ขึ้นไปติดที่เกาะเธอ ทำให้เธอหลงรัก แล้วสุดท้ายก็ทิ้งเธอไป โดยให้เธออยู่กับความเดียวดายไปเหมือนเดิม...


“ข้าจะไปหาลูกข้า!!!! ข้าจะไปหาลูกข้า!!!!!” ไททันฟาดโซ่ไปมาอย่างรุนแรง ชานยอลกับคริสพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


“ได้ เราจะพาท่านไปหา แต่ท่านต้องสงบกว่านี้ก่อน ซุสจะสงสัยเอาได้” ร่างโปร่งเอ่ยบอก แอตลาสค่อยๆสงบลง เขาหอบหายใจอย่างโกรธจัด ชานยอลค่อยๆเดินเข้าไปใกล้


“ผมจะพาท่านไปหาเธอ โดยระหว่างที่ท่านไม่อยู่ โลกจะถูก....” เขาหันมามองคริสอย่างลำบากใจ ร่างสูงรู้ได้ทันทีว่าเขาจะเจอกับอะไร...


น้ำหนักของโลกทั้งใบที่แม้แต่ยักษ์ไททันยังเจ็บปวดจนขึ้นมาอยู่บนบ่าของเขา


“.....ผมจะเป็นคนแบกโลกให้กับท่านเอง” เขาพูดขึ้น ดวงตาคมสบตากับเทพเจ้า ชานยอลจำต้องฝืนกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ ใช่ว่าเขาอยากจะทำ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็น...


“งั้นก็เข้ามารับช่วงต่อจากข้าไป” ยักษ์ไททันพูดขึ้น คริสสูดหายใจลึก เขาต้องรับน้ำหนักให้ได้ เพราะถ้าไม่...


โลกก็จะถล่ม


สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะตายหมด


ร่างสูงเหลือบไปมองชานยอล ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาแอตลาส เพียงแค่ก้าวย่างเข้าไปเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล โซ่แต่ละเส้นเต็มไปด้วยอาคม กลิ่นไอพลังรุนแรงจนแทบจะบีบอัดร่างของเขาให้แหลก แอตลาส ขยับตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย เขาอยากจะปลดโซ่ตรวนพวกนี้เต็มแก่ คริสหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก่อนที่เขาจะพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าพร้อม ร่างสูงเหลียวหลังมามองชานยอลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แอตลาสจะปลดเปลื้องโซ่ทั้งหมดแล้วส่งต่อให้คริส


เกิดแผ่นดินไหว ท้องฟ้ากรีดร้องอย่างตื่นตระหนก คริสเข้าไปรับช่วงต่อ โซ่ทั้งหมดลดขนาดลงให้พอดีกับเขาก่อนจะล่ามติดกับผืนฟ้าและพื้นดิน น้ำหนักของโลกทั้งหมดกดทับลงมายังบ่าเล็กๆของมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่ง กดทับให้จมลงไปในดิน ร่างกายของเขาสั่นระริก กระดูกทุกชิ้นในร่างแทบจะแหลก แรงดันทุกอย่างเพิ่มสูงขึ้นจนดันให้เส้นเลือดในตาแตก ดวงตาของเขาแทบจะหลุดออกจากเบ้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมองไปที่ชานยอลแล้วพูดเป็นครั้งสุดท้าย


“รีบ ไป ซะ” ร่างโปร่งพยักหน้ารับพยายามซ่อนน้ำตาไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนจะรีบหันหลังให้ เขาต้องรีบพาแอตลาสไปหาคาลิปโซให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น....คริสก็จะถูกโลกถล่มทับ...


“เราไปหาลูกสาวของท่านกันเถอะ” เขาเอ่ยบอกก่อนจะรีบไปจากที่นั่น


http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ