ภายในห้องนอนสีขาวสะอาดถูกความเงียบโอบล้อมไว้อย่างประณีต ไฟหลายดวงถูกเปิดสว่างโล่ราวกับเจ้าของห้องที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเป็นโรคกลัวความมืด ในมือเรียวมีหนังสือเล่มหนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้กำลังอ่านอยู่ ความจริงแล้วเขาปิดมันลงไปตั้งแต่ได้ยินเสียงประหลาดนั่น…
ครืดด ครืดด
เสียงคล้ายคนกำลังคลานดังแว่วมาจากทางเดินด้านนอก มันดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้กำลังรีบร้อน ทว่ากลับดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมันยิ่งเข้าใกล้
ร่างโปร่งกำผ้าห่มในมือแน่น ดวงตาคู่โตสั่นระริกมองตรงไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว ช่องว่างใต้ประตูมีแสงวูบวาบไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าด้านนอกนั่นมีอะไร ‘บางอย่าง’อยู่จริงๆ มือเรียวรีบคว้ามือถือขึ้นมาต่อสายหาใครคนหนึ่งอย่างร้อนรน
“ฮ ฮ ฮัลโหล มันดังอีกแล้ว มันดังอีกแล้ว!”เสียงทุ้มกรอกสายอย่างตื่นตระหนก หยาดน้ำตาคลอเบ้า สองตายังคงจับจ้องไปที่ประตู
“มันอาจจะไม่มีอะไร คิดในแง่ดีไว้ ฉันจะอยู่กับนายจนกว่าเสียงมันจะเงียบลง”
“มันใกล้เข้ามาแล้ว มันใกล้เข้ามาแล้ว ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี”เจ้าของเสียงยิ่งรนราน น้ำตาแห่งความกลัวไหลอาบแก้ม รีบลงมาจากเตียง ยืนไปติดกับประตูระเบียง
“ใจเย็นๆชานยอล ใจเย็นๆก่อน มันต้อง” สองตายังคงจ้องไปที่ช่องว่างใต้ประตู
“พี่…”เสียงทุ้มเบาหวิว
“…….”
“มันหยุดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว…” หัวใจเต้นถี่ มือกำโทรศัพท์ไว้แน่น พื้นที่ช่องว่างใต้ประตูถูกแทนที่ด้วยเท้าคน!!!
เกิดความเงียบอันน่าสะพรึงกลัวขึ้น ชานยอลพยายามนิ่งเงียบ ยืนตัวแข็งทื่อ นิ้วเรียวกดลดเสียงของซูโฮที่ดังอยู่ในสายจนแทบไม่ได้ยิน เขากลัว เขากลัวว่า ‘บางอย่าง’ ที่อยู่นอกห้องจะรู้ว่าเขาอยู่ในนี้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชานยอลยกมือขึ้นปิดปากพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ เบียดตัวแทรกติดกับผนังมากขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องว่างให้เบียดแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
มันดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับมีของเหลวสีแดงข้นคลั่กราวกับเลือดไหลซึมเข้ามาในประตู ร่างโปร่งสั่นระริกค่อย ๆ เปิดประตูระเบียงเพื่อหนีออกไปอยู่ด้านนอก เลือกมุมที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อนั่งขดอยู่ตรงนั้น ภาวนาให้เสียงนั้นเงียบเสียที ให้เสียงนั้นเงียบเสียที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!
ประตูถูกเคาะรัวอย่างแรง ห้องทั้งห้องราวกับจะสั่นสะท้านไปทั้งห้อง ร่างโปร่งพยายามกลั้นเสียงร้องไห้
ปึง!! ปึง!! ปึง!!
“ฮึก!”
“ชานยอล ชานยอลเกิดอะไรขึ้น” เสียงซูโฮดังรอดสาย ชานยอลรีบกรอกเสียงลงไป
“พี่ พี่มาที่ห้องผมที! มาที่ห้องผมที!” บอกอย่างสุดจะทน เสียงทุบประตูกำลังทำให้เขาสติแตก กลัว ‘อะไรบางอย่าง’พังประตูเข้ามาได้ แล้วพอถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่รอดแล้ว…
เสียงสั่นประสาทนั่นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันกระหน่ำทุบประตู เสียงคลืบคลานดังแว่วไปมา ชานยอลค่อยๆเลื่อนหน้าไปดูที่บานเลื่อนกระจก ด้วยความที่คอนโดของเขามีห้องนอนกับโซนด้านนอกเชื่อมต่อกันด้วยระเบียง ดวงตาคู่กลมค่อยๆมองเข้าไปข้างในผ่านช่องว่างม่านประตู แล้วความหวาดผวาถึงขีดสุดก็เริ่มขึ้น
ร่างนั้นสูงกว่าเขาไม่กี่เซนติเมตร แต่รูปร่างใหญ่กว่า หน้ามีรอยเย็บขวางตั้งแต่กลางหน้าผากลงมาถึงแก้มซ้าย กำลังก้มหน้าเอาหัวโขกกับประตูซ้ำๆ แขนข้างหนึ่งมีรอยกรีด เลือดหยดลงบนพื้น มืออีกข้างค่อยๆเลื่อนลูบแผลช้าๆก่อนจะทำในสิ่งไม่คาดฝันขึ้น
เขาค่อยๆใช้มือแหวกแผลให้ถ่างออก ฝ่ามือล้วงเข้าไปข้างใน เลือดสีสดยิ่งทะลัก แล้วร่างนั้นก็ถลกหนังตัวเองออกมาสดๆ ชานยอลรีบยกมือขึ้นปิดปาก ถอยกรูออกจากบานเลื่อน ทว่ากลับโชคร้ายเผลอชนราวระเบียงจนเกิดเสียงขึ้น ร่างนั้นหันขวับมาทางเขา ดวงตาทะมึนทึ่ง ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาเขา
“ไม่! ไม่! ฮึก” ร่างโปร่งกรีดร้อง ยกมือขึ้นมาปิดปากร่ำไห้ ร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ามือที่ผิดรูปของมันกำลังเอื้อมเปิดประตูแล้ว
“ฮึก! อย่านะ อย่า!” เขาร้องห้าม หลับตาปิดการมองเห็น ทว่าหูกลับได้ยิน เสียงคืบคลานเข้ามาใกล้ ก่อนที่ข้อเท้าของเขาจะถูกคว้า!!
ชานยอลหวีดร้องลั่น
“ชานยอล!! เกิดอะไรขึ้น ชานยอล!!” เสียงซูโฮดังขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาหา ร่างโปร่งลืมตาโพล่ง
“พี่ พี่! มันดึงขาผม มันดึงขาผม พี่ พี่!” ชานยอลสติแตกร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีอะไรเลย ดูสิ” ซูโฮพยายามปลอบน้อง แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม เมื่อกี้พอเขาเปิดประตูห้องเข้ามาก็ได้ยินชานยอลกรีดร้อง แต่ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากนี้
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พี่ พี่ผมขออยู่กับพี่สักพักได้มั้ย ผมขอร้อง”
“โอเค โอเค ไม่ต้องกลัวแล้วชานยอล ไม่ต้องกลัวแล้ว” เอ่ยบอกพร้อมกับลูบหลังเบาๆ ขณะมองสำรวจในห้อง ที่นี่ไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย เว้นเสียต่อ รอยมือที่ข้อเท้าชานยอล…
ซูโฮพาชานยอลกลับบ้านตามที่คนอ่อนวัยกว่าขอ ตลอดทางที่อยู่บนรถด้วยกัน ร่างโปร่งไม่พูดอะไรเลยสักคำ เอาแต่ร้องไห้และบีบมือเขาเอาไว้แน่น ถ้าเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาคงจะหาว่าชานยอลกำลังแกล้งเขาเล่น จนกระทั่งเมื่อสามวันก่อนที่เขาได้ยินเสียงประหลาดนั่นตอนที่ชานยอลโทรมา
เรื่องประหลาดนั่นเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเรา EXO ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลง Monster เสร็จ ชานยอลเป็นสมาชิกคนเดียวที่เจอเหตุการณ์ประหลาด รุ่นน้องของเขาคนนี้เล่าให้ฟังว่ามักจะได้ยินเสียงประหลาด เสียงคลาน เคาะประตู หรือเสียงคำราม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน ชานยอลแทบจะเข้าใกล้กับคำว่า ‘สติแตก’ เลยด้วยซ้ำ
“แม่พี่จะว่ารึเปล่า” นั่นเป็นประโยคแรกที่ออกมาจากปากชานยอล ขณะที่เขาขับรถเข้าโรงจอดเรียบร้อยแล้ว
“แม่ฉันจะว่าคนที่มาเซอร์ไพส์วันเกิดฉันได้ยังไงกันล่ะ” ซูโฮพยายามพูดล้อเล่นเพื่อคลายบรรยากาศก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในบ้าน
ไฟทั้งบ้านถูกปิดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆที่โซนรับแขกเท่านั้นที่ส่องสว่าง แม่ของซูโฮทักทายชานยอลเล็กน้อย เธอไม่ได้พูดหรือถามอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่บอกให้รีบพักผ่อนก่อนที่จะขอตัวเข้านอน ซูโฮเดินนำไปที่ห้องของตนเอง ไฟถูกเปิดเอาไว้บอกให้รู้ว่าก่อนออกไปเจ้าของห้องรีบร้อนมากแค่ไหน พวกเขาตัดสินใจจะนอนก่อนที่จะถามเรื่องราวกันในตอนเช้า โดยชานยอลขอให้เปิดไฟไว้ทั้งคืน
----------------------------------
ตอนเช้าเวียนมาถึงอีกครั้ง พวกเขาตื่นและจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยในตอนแปดโมงกว่า ก่อนจะตรงไปที่ห้องอาหารเป็นอย่างแรก การเป็นศิลปินทำให้พวกเขาติดนิสัยการตื่นเช้า แต่โดยมากแล้วมักไม่ได้นอนยันเช้าเสียมากกว่า
“นายพร้อมจะเล่าเรื่องเมื่อคืนหรือยัง” ซูโฮเอ่ยถามขณะที่ปาดตับบดไปบนแผ่นขนมปัง วัฒนธรรมของบ้านเขาคือการกินขนมปังดีๆสักแผ่นกับตับบดที่ผู้เป็นแม่เป็นคนทำ
ชานยอลไม่ได้ตอบคำถามโดยทันที สีหน้าและท่าทางที่ชะงักมีดปาดเนยอยู่บ่งบอกได้ดีว่าเขาไม่ได้มีความสุขที่จะตอบคำถามมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
“เขามาอีกแล้ว”
“…….”
“เสียงคลานดังมาจากข้างนอกห้องนอน แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ตอนแรกผมคิดว่ามันจะหยุดเหมือนทุกๆครั้ง ไม่รู้สิ แต่เขาไม่เคยทำอะไรมากกว่านั้น ถ้ามีเสียงคลาน ก็จะไม่มีเคาะประตูหรืออย่างอื่น เขาทำอย่างใดอย่างหนึ่ง” ซูโฮวางแก้วน้ำเปล่าที่ยกขึ้นจิบเมื่อครู่ลงกับโต๊ะ
“นายกำลังจะบอกว่าครั้งนี้มันมากกว่าทุกทีหรอ”
“อืม เขาเคาะประตู เคาะอยู่หลายรอบมาก แถมยังมีเลือดซึมเข้ามาด้วย ผมทนไม่ไหวเลยรีบวิ่งหนีออกไปที่ระเบียง เสียงเคาะประตูดังมาก มันดังอยู่ในหัวผมเลย เมื่อคืนผมแทบหลับๆตื่นๆทั้งคืน” ถึงตรงนี้ตาของชานยอลก็แดงเรื่อขึ้นราวกับจะร้องไห้อีกครั้ง
“ถึงผมจะกลัว ผมก็อยากรู้ว่าเขาคืออะไร ผมยื่นหน้าไปดู พี่ … เขาคือสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดชัดๆ!”
“หมายความว่ายังไง”
“ตัวเขาพิการ แขนกับมือผิดรูป ที่หน้ามีรอยเย็บขวางมาถึงแก้ม ตาเป็นสีแดง เขาควักแผลตัวเอง อ้อ แล้วพี่ เขามีน็อตอยู่ที่คอด้วย” มาถึงตรงนี้ซูโฮก็หันกลับไปสบตากับคนเด็กกว่าพร้อมกับเลิกคิ้ว
“เหมือนโลโก้ของเราน่ะหรอ” ชานยอลพยักหน้ารับ โลโก้ที่พูดถึงคือโลโก้ใหม่ของวงพวกเขา ขีดกลางของตัวอีเป็นรูปน็อตขวางอยู่
“มันอาจจะแค่บังเอิญ แต่ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงมีนายคนเดียวที่โดน”
“ผมก็ไม่รู้”
“นายแน่ใจนะว่าวันที่เราถ่ายทำกันนายไม่ได้เผลอไปทำอะไรแผลงๆเข้า” ชานยอลส่ายหน้า เขาจำได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าจะมี ก็แต่…
“เรายังทำอะไรตอนนี้ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ยังไงตอนนี้นายก็น่าจะปลอดภัยแล้ว เรารีบไปกันเถอะ เช้านี้มีต้องไปถ่าย Music bank อีก” หัวหน้าวงพูดขึ้นพร้อมกับลุกนำไปที่โรงรถ ชานยอลเดินตามไปติดๆ ด้วยภาระหน้าที่ทำให้เขาต้องทิ้งความกลัวของตัวเองไปชั่วครู่หนึ่ง
พวกเขาทั้งหมดมาสมทบกับสมาชิกที่เหลือที่หอพักแล้วเดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์ด้วยกัน เพราะเป็นเรื่องสะดวกสบายและปลอดคำถามจากแฟนคลับมากกว่าการที่จะเห็นสมาชิกคนใดคนหนึ่งแยกกันไปกับคนอื่นๆ เมื่อมากๆเข้า แฟนคลับจะตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาไปไหนมา ทำไมถึงไม่มาพร้อมคนอื่น มีความสัมพันธ์กับสมาชิกไม่ดีหรอ ซึ่งเป็นเรื่องวุ่นวายมากสำหรับพวกเขา
รถของ EXO มาจอดใกล้กับตึกสถานี และต่อจากนี้พวกเขาต้องเดินเข้าตึกกันเอง ถึงแม้ว่าจะให้รถเข้าไปจอดยังลานจอดรถก็ได้ หากแต่มันเป็นธรรมเนียมที่ศิลปินจะต้องเดินเข้าเพื่อให้แฟนคลับได้ถ่ายรูป หรือในทางธุรกิจเรียกมันว่า การเรียกกระแสนั่นเอง
มีการ์ดมากมายคอยคุ้มกันพวกเขาอยู่ห่างๆ มีผลักแฟนคลับออกไปบ้างสำหรับคนที่เข้ามาใกล้เกินไป หรือแสดงท่าทีจะคุกคาม แรกๆที่เห็นเขาค่อนข้างตกใจ แต่พอหลังๆก็เริ่มชิน เพราะรู้ว่าต่อให้ร้องห้ามไป ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“คุณชานยอลครับ ของหล่นแล้ว” เสียงหนึ่งเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ร่างโปร่งรีบก้มลงไปหยิบหูฟังตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นขอบคุณ
“ขอบคุณครั” เสียงทุ้มขาดห้วงเมื่อสบตากับอีกฝ่าย คนนั้น! คนคนนั้น! สัตว์ประหลาดเมื่อคืนนั่น!!
“พี่ เป็นอะไรรึเปล่า” เซฮุนที่เดินรั้งท้ายมาเอ่ยถาม ร่างโปร่งรีบคว้าแขนคนเด็กกว่าเอาไว้แล้วรีบเดินออกจากตรงนั้น เขาเห็นไม่ผิด เขาไม่มีทางลืม ผู้ชายคนเมื่อคืนจริงๆ แต่ทำไม ทำไมเขาถึงไม่พิการแล้ว ใบหน้าไม่มีบาดแผล และทำไม ทำไมเขาถึง….
มาเป็นการ์ดให้พวกเรา
ชานยอลไม่อาจคุมสติให้กลับมาเป็นปกติได้ ร่างโปร่งรีบบอกซูโฮทันทีที่เข้ามาในตึก ซูโฮบอกให้รอดูไปก่อน ชานยอลอาจจะกลัวจนคิดไปเองก็ได้ ทว่าร่างโปร่งไม่คิดแบบนั้น เขาไม่ได้คิดเอง และเขามั่นใจว่าเห็นไม่ผิดแน่
ตลอดเวลาที่ทำงานเขาเอาแต่หวาดระแวง คอยลอบมองรอบๆอย่างระแวดระวังภัย ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายแต่ชานยอลไม่เห็นผู้ชายคนนั้นอีกเลย ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ วันนี้ใช้การ์ดไม่มากเท่าปกติ ซึ่งโดยปกติเวลาที่เขาไม่ได้ต้องไปเจอแฟนคลับอย่างนี้ การ์ดจะวนเวียนอยู่แต่ในสตูดิโอ เขาไม่ชอบความรู้สึกค้างคาใจแบบนี้เลยจริงๆ
“พี่ครับ ขอโทษนะครับ ผมขอถามอะไรหน่อย” ร่างโปร่งอาศัยจังหวะที่กำลังรออัดครั้งต่อไปเอ่ยถามการ์ดที่เขาพอจะสนิทกันอยู่บ้าง “วันนี้พี่รับการ์ดใหม่มารึเปล่า คนที่ดูตัวสูงกว่าผมนิดหน่อย ผมสี….ซีดๆ ตาสีเทาๆหน่อย”
“โอ้ คุณชานยอลครับ จากที่คุณพูดมานี่การ์ดคนนี้ท่าทางจะดูดีไม่ใช่หยอกเลยนะครับ เราไม่มีคนแบบนั้นหรอก หล่อที่สุดก็มีพี่นี่ล่ะ” ร่างโปร่งหัวเราะไปตามน้ำก่อนจะถามย้ำ
“ไม่มีเลยจริงๆหรอ ครั…” พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนท่าทางคล้ายผู้ชายคนนั้นกำลังเดินหายไปทางลานจอดรถ
“คุณชานยอลครับ คุณ”
“เดี๋ยวผมมา” เอ่ยบอกก่อนจะรีบเดินตามไป แม้ว่าใจหนึ่งจะกลัวมากแค่ไหน แต่เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ เขาเบื่อกับสภาพที่ต้องนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมากลางดึก ผวาตลอดคืนอย่างนี้เต็มทนแล้ว
“คุณครับ คุณ!” เสียงทุ้มตะโกนเรียกอีกฝ่ายที่เดินห่างไปหลายเมตร ฝีเท้าของผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทางจะลดลงให้เขาตามทันเลย
“คุณ! คุณครับ หยุดก่อนได้มั้ย” ชานยอลกิ่งเดินกึ่งวิ่ง เมื่อเริ่มตามไม่ทันแล้ว
“คุณ! ผมจำได้นะว่าคุณเป็นใคร คุณต้องการอะไรจากผม เฮ้ คุณหยุดคุยกันก่อนได้มั้ย!”
กึก…
คราวนี้อีกฝ่ายหยุดเดิน หากแต่ยังไม่ยอมหันกลับมาเผชิญหน้า ไฟในลานจอดรถเริ่มกระพริบติดๆดับๆ ชานยอลเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกลับเริ่มกวาดตามองหาคนช่วย
“ต้องการอะไรงั้นหรอ” เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียง ร่างโปร่งบอกไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร มันเกลือบจะคล้ายเสียงมนุษย์ แต่ก็ดูแห้งสากเหมือนเสียงใบไม้แห้งเสียดสีกัน และถ้าหากลองคิดแผลงๆให้สัตว์ทั้งโลกพูดได้ เสียงมันก็คงคล้ายกับ....งู
“ถ้าฉันบอกไป นายจะให้ได้มั้ยล่ะ”
ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างย้อนกลับเข้ามาในหัว เสียงคลืบคลาน รอยเลือด เมือก ภาพความน่ากลัวต่างๆเหล่านั้นที่เขาต้องเผชิญมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ เขาเบื่อเต็มทนแล้วที่จะต้องอยู่ในสภาพเหมือนติดอยู่ในความฝันร้ายนั้นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ เขาก็อยากจะจบมันลงทุกอย่าง แม้ว่าทางเลือกนั้นจะน่ากลัวกว่าก็ตาม...
“คุณอยากให้ผม...ช่วยอะไร”
พรึบ!
ไฟทุกดวงดับลง ชายผู้นั้นค่อยๆหันกลับมา ดวงตาของเขาสว่างเรืองรองราวกับดวงตาของสัตว์ รอยยิ้มที่สยดสยองที่ค่อยๆฉีกไปถึงใบหู และเผยให้เห็นเขี้ยวสองคู่ที่ยาวมากพอจะเจาะเส้นเลือดใหญ่ของเขาได้ในการกัดเพียงครั้งเดียว
“ฉันต้องการ…”
“….อึก” ชานยอลผวา ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว สัมผัสเย็นๆไหลลื่นไปตามซอกคอ ลมหายใจถูกเป่ารดรินผิวเนื้อ ก่อนที่เสียงแหบแห้งนั่นจะกระซิบอยู่ข้างหู
“ชีวิตของนาย” อีกฝ่ายตวัดลิ้นเลียพวงแก้มของเขาอย่างรุ่มร่าม และเขาคงจะกลัวน้อยกว่านี้ถ้าเรียวลิ้นนั่น...
ไม่ใช่ลิ้นสองแฉกอย่างงู
ครืดด ครืดด
เสียงคล้ายคนกำลังคลานดังแว่วมาจากทางเดินด้านนอก มันดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้กำลังรีบร้อน ทว่ากลับดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมันยิ่งเข้าใกล้
ร่างโปร่งกำผ้าห่มในมือแน่น ดวงตาคู่โตสั่นระริกมองตรงไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว ช่องว่างใต้ประตูมีแสงวูบวาบไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าด้านนอกนั่นมีอะไร ‘บางอย่าง’อยู่จริงๆ มือเรียวรีบคว้ามือถือขึ้นมาต่อสายหาใครคนหนึ่งอย่างร้อนรน
“ฮ ฮ ฮัลโหล มันดังอีกแล้ว มันดังอีกแล้ว!”เสียงทุ้มกรอกสายอย่างตื่นตระหนก หยาดน้ำตาคลอเบ้า สองตายังคงจับจ้องไปที่ประตู
“มันอาจจะไม่มีอะไร คิดในแง่ดีไว้ ฉันจะอยู่กับนายจนกว่าเสียงมันจะเงียบลง”
“มันใกล้เข้ามาแล้ว มันใกล้เข้ามาแล้ว ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี”เจ้าของเสียงยิ่งรนราน น้ำตาแห่งความกลัวไหลอาบแก้ม รีบลงมาจากเตียง ยืนไปติดกับประตูระเบียง
“ใจเย็นๆชานยอล ใจเย็นๆก่อน มันต้อง” สองตายังคงจ้องไปที่ช่องว่างใต้ประตู
“พี่…”เสียงทุ้มเบาหวิว
“…….”
“มันหยุดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว…” หัวใจเต้นถี่ มือกำโทรศัพท์ไว้แน่น พื้นที่ช่องว่างใต้ประตูถูกแทนที่ด้วยเท้าคน!!!
เกิดความเงียบอันน่าสะพรึงกลัวขึ้น ชานยอลพยายามนิ่งเงียบ ยืนตัวแข็งทื่อ นิ้วเรียวกดลดเสียงของซูโฮที่ดังอยู่ในสายจนแทบไม่ได้ยิน เขากลัว เขากลัวว่า ‘บางอย่าง’ ที่อยู่นอกห้องจะรู้ว่าเขาอยู่ในนี้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชานยอลยกมือขึ้นปิดปากพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ เบียดตัวแทรกติดกับผนังมากขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องว่างให้เบียดแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
มันดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับมีของเหลวสีแดงข้นคลั่กราวกับเลือดไหลซึมเข้ามาในประตู ร่างโปร่งสั่นระริกค่อย ๆ เปิดประตูระเบียงเพื่อหนีออกไปอยู่ด้านนอก เลือกมุมที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อนั่งขดอยู่ตรงนั้น ภาวนาให้เสียงนั้นเงียบเสียที ให้เสียงนั้นเงียบเสียที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!
ประตูถูกเคาะรัวอย่างแรง ห้องทั้งห้องราวกับจะสั่นสะท้านไปทั้งห้อง ร่างโปร่งพยายามกลั้นเสียงร้องไห้
ปึง!! ปึง!! ปึง!!
“ฮึก!”
“ชานยอล ชานยอลเกิดอะไรขึ้น” เสียงซูโฮดังรอดสาย ชานยอลรีบกรอกเสียงลงไป
“พี่ พี่มาที่ห้องผมที! มาที่ห้องผมที!” บอกอย่างสุดจะทน เสียงทุบประตูกำลังทำให้เขาสติแตก กลัว ‘อะไรบางอย่าง’พังประตูเข้ามาได้ แล้วพอถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่รอดแล้ว…
เสียงสั่นประสาทนั่นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันกระหน่ำทุบประตู เสียงคลืบคลานดังแว่วไปมา ชานยอลค่อยๆเลื่อนหน้าไปดูที่บานเลื่อนกระจก ด้วยความที่คอนโดของเขามีห้องนอนกับโซนด้านนอกเชื่อมต่อกันด้วยระเบียง ดวงตาคู่กลมค่อยๆมองเข้าไปข้างในผ่านช่องว่างม่านประตู แล้วความหวาดผวาถึงขีดสุดก็เริ่มขึ้น
ร่างนั้นสูงกว่าเขาไม่กี่เซนติเมตร แต่รูปร่างใหญ่กว่า หน้ามีรอยเย็บขวางตั้งแต่กลางหน้าผากลงมาถึงแก้มซ้าย กำลังก้มหน้าเอาหัวโขกกับประตูซ้ำๆ แขนข้างหนึ่งมีรอยกรีด เลือดหยดลงบนพื้น มืออีกข้างค่อยๆเลื่อนลูบแผลช้าๆก่อนจะทำในสิ่งไม่คาดฝันขึ้น
เขาค่อยๆใช้มือแหวกแผลให้ถ่างออก ฝ่ามือล้วงเข้าไปข้างใน เลือดสีสดยิ่งทะลัก แล้วร่างนั้นก็ถลกหนังตัวเองออกมาสดๆ ชานยอลรีบยกมือขึ้นปิดปาก ถอยกรูออกจากบานเลื่อน ทว่ากลับโชคร้ายเผลอชนราวระเบียงจนเกิดเสียงขึ้น ร่างนั้นหันขวับมาทางเขา ดวงตาทะมึนทึ่ง ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาเขา
“ไม่! ไม่! ฮึก” ร่างโปร่งกรีดร้อง ยกมือขึ้นมาปิดปากร่ำไห้ ร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ามือที่ผิดรูปของมันกำลังเอื้อมเปิดประตูแล้ว
“ฮึก! อย่านะ อย่า!” เขาร้องห้าม หลับตาปิดการมองเห็น ทว่าหูกลับได้ยิน เสียงคืบคลานเข้ามาใกล้ ก่อนที่ข้อเท้าของเขาจะถูกคว้า!!
ชานยอลหวีดร้องลั่น
“ชานยอล!! เกิดอะไรขึ้น ชานยอล!!” เสียงซูโฮดังขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาหา ร่างโปร่งลืมตาโพล่ง
“พี่ พี่! มันดึงขาผม มันดึงขาผม พี่ พี่!” ชานยอลสติแตกร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีอะไรเลย ดูสิ” ซูโฮพยายามปลอบน้อง แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม เมื่อกี้พอเขาเปิดประตูห้องเข้ามาก็ได้ยินชานยอลกรีดร้อง แต่ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากนี้
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พี่ พี่ผมขออยู่กับพี่สักพักได้มั้ย ผมขอร้อง”
“โอเค โอเค ไม่ต้องกลัวแล้วชานยอล ไม่ต้องกลัวแล้ว” เอ่ยบอกพร้อมกับลูบหลังเบาๆ ขณะมองสำรวจในห้อง ที่นี่ไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย เว้นเสียต่อ รอยมือที่ข้อเท้าชานยอล…
ซูโฮพาชานยอลกลับบ้านตามที่คนอ่อนวัยกว่าขอ ตลอดทางที่อยู่บนรถด้วยกัน ร่างโปร่งไม่พูดอะไรเลยสักคำ เอาแต่ร้องไห้และบีบมือเขาเอาไว้แน่น ถ้าเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาคงจะหาว่าชานยอลกำลังแกล้งเขาเล่น จนกระทั่งเมื่อสามวันก่อนที่เขาได้ยินเสียงประหลาดนั่นตอนที่ชานยอลโทรมา
เรื่องประหลาดนั่นเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเรา EXO ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลง Monster เสร็จ ชานยอลเป็นสมาชิกคนเดียวที่เจอเหตุการณ์ประหลาด รุ่นน้องของเขาคนนี้เล่าให้ฟังว่ามักจะได้ยินเสียงประหลาด เสียงคลาน เคาะประตู หรือเสียงคำราม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน ชานยอลแทบจะเข้าใกล้กับคำว่า ‘สติแตก’ เลยด้วยซ้ำ
“แม่พี่จะว่ารึเปล่า” นั่นเป็นประโยคแรกที่ออกมาจากปากชานยอล ขณะที่เขาขับรถเข้าโรงจอดเรียบร้อยแล้ว
“แม่ฉันจะว่าคนที่มาเซอร์ไพส์วันเกิดฉันได้ยังไงกันล่ะ” ซูโฮพยายามพูดล้อเล่นเพื่อคลายบรรยากาศก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในบ้าน
ไฟทั้งบ้านถูกปิดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆที่โซนรับแขกเท่านั้นที่ส่องสว่าง แม่ของซูโฮทักทายชานยอลเล็กน้อย เธอไม่ได้พูดหรือถามอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่บอกให้รีบพักผ่อนก่อนที่จะขอตัวเข้านอน ซูโฮเดินนำไปที่ห้องของตนเอง ไฟถูกเปิดเอาไว้บอกให้รู้ว่าก่อนออกไปเจ้าของห้องรีบร้อนมากแค่ไหน พวกเขาตัดสินใจจะนอนก่อนที่จะถามเรื่องราวกันในตอนเช้า โดยชานยอลขอให้เปิดไฟไว้ทั้งคืน
----------------------------------
ตอนเช้าเวียนมาถึงอีกครั้ง พวกเขาตื่นและจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยในตอนแปดโมงกว่า ก่อนจะตรงไปที่ห้องอาหารเป็นอย่างแรก การเป็นศิลปินทำให้พวกเขาติดนิสัยการตื่นเช้า แต่โดยมากแล้วมักไม่ได้นอนยันเช้าเสียมากกว่า
“นายพร้อมจะเล่าเรื่องเมื่อคืนหรือยัง” ซูโฮเอ่ยถามขณะที่ปาดตับบดไปบนแผ่นขนมปัง วัฒนธรรมของบ้านเขาคือการกินขนมปังดีๆสักแผ่นกับตับบดที่ผู้เป็นแม่เป็นคนทำ
ชานยอลไม่ได้ตอบคำถามโดยทันที สีหน้าและท่าทางที่ชะงักมีดปาดเนยอยู่บ่งบอกได้ดีว่าเขาไม่ได้มีความสุขที่จะตอบคำถามมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
“เขามาอีกแล้ว”
“…….”
“เสียงคลานดังมาจากข้างนอกห้องนอน แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ตอนแรกผมคิดว่ามันจะหยุดเหมือนทุกๆครั้ง ไม่รู้สิ แต่เขาไม่เคยทำอะไรมากกว่านั้น ถ้ามีเสียงคลาน ก็จะไม่มีเคาะประตูหรืออย่างอื่น เขาทำอย่างใดอย่างหนึ่ง” ซูโฮวางแก้วน้ำเปล่าที่ยกขึ้นจิบเมื่อครู่ลงกับโต๊ะ
“นายกำลังจะบอกว่าครั้งนี้มันมากกว่าทุกทีหรอ”
“อืม เขาเคาะประตู เคาะอยู่หลายรอบมาก แถมยังมีเลือดซึมเข้ามาด้วย ผมทนไม่ไหวเลยรีบวิ่งหนีออกไปที่ระเบียง เสียงเคาะประตูดังมาก มันดังอยู่ในหัวผมเลย เมื่อคืนผมแทบหลับๆตื่นๆทั้งคืน” ถึงตรงนี้ตาของชานยอลก็แดงเรื่อขึ้นราวกับจะร้องไห้อีกครั้ง
“ถึงผมจะกลัว ผมก็อยากรู้ว่าเขาคืออะไร ผมยื่นหน้าไปดู พี่ … เขาคือสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดชัดๆ!”
“หมายความว่ายังไง”
“ตัวเขาพิการ แขนกับมือผิดรูป ที่หน้ามีรอยเย็บขวางมาถึงแก้ม ตาเป็นสีแดง เขาควักแผลตัวเอง อ้อ แล้วพี่ เขามีน็อตอยู่ที่คอด้วย” มาถึงตรงนี้ซูโฮก็หันกลับไปสบตากับคนเด็กกว่าพร้อมกับเลิกคิ้ว
“เหมือนโลโก้ของเราน่ะหรอ” ชานยอลพยักหน้ารับ โลโก้ที่พูดถึงคือโลโก้ใหม่ของวงพวกเขา ขีดกลางของตัวอีเป็นรูปน็อตขวางอยู่
“มันอาจจะแค่บังเอิญ แต่ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงมีนายคนเดียวที่โดน”
“ผมก็ไม่รู้”
“นายแน่ใจนะว่าวันที่เราถ่ายทำกันนายไม่ได้เผลอไปทำอะไรแผลงๆเข้า” ชานยอลส่ายหน้า เขาจำได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าจะมี ก็แต่…
“เรายังทำอะไรตอนนี้ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ยังไงตอนนี้นายก็น่าจะปลอดภัยแล้ว เรารีบไปกันเถอะ เช้านี้มีต้องไปถ่าย Music bank อีก” หัวหน้าวงพูดขึ้นพร้อมกับลุกนำไปที่โรงรถ ชานยอลเดินตามไปติดๆ ด้วยภาระหน้าที่ทำให้เขาต้องทิ้งความกลัวของตัวเองไปชั่วครู่หนึ่ง
พวกเขาทั้งหมดมาสมทบกับสมาชิกที่เหลือที่หอพักแล้วเดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์ด้วยกัน เพราะเป็นเรื่องสะดวกสบายและปลอดคำถามจากแฟนคลับมากกว่าการที่จะเห็นสมาชิกคนใดคนหนึ่งแยกกันไปกับคนอื่นๆ เมื่อมากๆเข้า แฟนคลับจะตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาไปไหนมา ทำไมถึงไม่มาพร้อมคนอื่น มีความสัมพันธ์กับสมาชิกไม่ดีหรอ ซึ่งเป็นเรื่องวุ่นวายมากสำหรับพวกเขา
รถของ EXO มาจอดใกล้กับตึกสถานี และต่อจากนี้พวกเขาต้องเดินเข้าตึกกันเอง ถึงแม้ว่าจะให้รถเข้าไปจอดยังลานจอดรถก็ได้ หากแต่มันเป็นธรรมเนียมที่ศิลปินจะต้องเดินเข้าเพื่อให้แฟนคลับได้ถ่ายรูป หรือในทางธุรกิจเรียกมันว่า การเรียกกระแสนั่นเอง
มีการ์ดมากมายคอยคุ้มกันพวกเขาอยู่ห่างๆ มีผลักแฟนคลับออกไปบ้างสำหรับคนที่เข้ามาใกล้เกินไป หรือแสดงท่าทีจะคุกคาม แรกๆที่เห็นเขาค่อนข้างตกใจ แต่พอหลังๆก็เริ่มชิน เพราะรู้ว่าต่อให้ร้องห้ามไป ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“คุณชานยอลครับ ของหล่นแล้ว” เสียงหนึ่งเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ร่างโปร่งรีบก้มลงไปหยิบหูฟังตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นขอบคุณ
“ขอบคุณครั” เสียงทุ้มขาดห้วงเมื่อสบตากับอีกฝ่าย คนนั้น! คนคนนั้น! สัตว์ประหลาดเมื่อคืนนั่น!!
“พี่ เป็นอะไรรึเปล่า” เซฮุนที่เดินรั้งท้ายมาเอ่ยถาม ร่างโปร่งรีบคว้าแขนคนเด็กกว่าเอาไว้แล้วรีบเดินออกจากตรงนั้น เขาเห็นไม่ผิด เขาไม่มีทางลืม ผู้ชายคนเมื่อคืนจริงๆ แต่ทำไม ทำไมเขาถึงไม่พิการแล้ว ใบหน้าไม่มีบาดแผล และทำไม ทำไมเขาถึง….
มาเป็นการ์ดให้พวกเรา
ชานยอลไม่อาจคุมสติให้กลับมาเป็นปกติได้ ร่างโปร่งรีบบอกซูโฮทันทีที่เข้ามาในตึก ซูโฮบอกให้รอดูไปก่อน ชานยอลอาจจะกลัวจนคิดไปเองก็ได้ ทว่าร่างโปร่งไม่คิดแบบนั้น เขาไม่ได้คิดเอง และเขามั่นใจว่าเห็นไม่ผิดแน่
ตลอดเวลาที่ทำงานเขาเอาแต่หวาดระแวง คอยลอบมองรอบๆอย่างระแวดระวังภัย ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายแต่ชานยอลไม่เห็นผู้ชายคนนั้นอีกเลย ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ วันนี้ใช้การ์ดไม่มากเท่าปกติ ซึ่งโดยปกติเวลาที่เขาไม่ได้ต้องไปเจอแฟนคลับอย่างนี้ การ์ดจะวนเวียนอยู่แต่ในสตูดิโอ เขาไม่ชอบความรู้สึกค้างคาใจแบบนี้เลยจริงๆ
“พี่ครับ ขอโทษนะครับ ผมขอถามอะไรหน่อย” ร่างโปร่งอาศัยจังหวะที่กำลังรออัดครั้งต่อไปเอ่ยถามการ์ดที่เขาพอจะสนิทกันอยู่บ้าง “วันนี้พี่รับการ์ดใหม่มารึเปล่า คนที่ดูตัวสูงกว่าผมนิดหน่อย ผมสี….ซีดๆ ตาสีเทาๆหน่อย”
“โอ้ คุณชานยอลครับ จากที่คุณพูดมานี่การ์ดคนนี้ท่าทางจะดูดีไม่ใช่หยอกเลยนะครับ เราไม่มีคนแบบนั้นหรอก หล่อที่สุดก็มีพี่นี่ล่ะ” ร่างโปร่งหัวเราะไปตามน้ำก่อนจะถามย้ำ
“ไม่มีเลยจริงๆหรอ ครั…” พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนท่าทางคล้ายผู้ชายคนนั้นกำลังเดินหายไปทางลานจอดรถ
“คุณชานยอลครับ คุณ”
“เดี๋ยวผมมา” เอ่ยบอกก่อนจะรีบเดินตามไป แม้ว่าใจหนึ่งจะกลัวมากแค่ไหน แต่เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ เขาเบื่อกับสภาพที่ต้องนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมากลางดึก ผวาตลอดคืนอย่างนี้เต็มทนแล้ว
“คุณครับ คุณ!” เสียงทุ้มตะโกนเรียกอีกฝ่ายที่เดินห่างไปหลายเมตร ฝีเท้าของผู้ชายคนนั้นไม่มีท่าทางจะลดลงให้เขาตามทันเลย
“คุณ! คุณครับ หยุดก่อนได้มั้ย” ชานยอลกิ่งเดินกึ่งวิ่ง เมื่อเริ่มตามไม่ทันแล้ว
“คุณ! ผมจำได้นะว่าคุณเป็นใคร คุณต้องการอะไรจากผม เฮ้ คุณหยุดคุยกันก่อนได้มั้ย!”
กึก…
คราวนี้อีกฝ่ายหยุดเดิน หากแต่ยังไม่ยอมหันกลับมาเผชิญหน้า ไฟในลานจอดรถเริ่มกระพริบติดๆดับๆ ชานยอลเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกลับเริ่มกวาดตามองหาคนช่วย
“ต้องการอะไรงั้นหรอ” เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียง ร่างโปร่งบอกไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร มันเกลือบจะคล้ายเสียงมนุษย์ แต่ก็ดูแห้งสากเหมือนเสียงใบไม้แห้งเสียดสีกัน และถ้าหากลองคิดแผลงๆให้สัตว์ทั้งโลกพูดได้ เสียงมันก็คงคล้ายกับ....งู
“ถ้าฉันบอกไป นายจะให้ได้มั้ยล่ะ”
ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างย้อนกลับเข้ามาในหัว เสียงคลืบคลาน รอยเลือด เมือก ภาพความน่ากลัวต่างๆเหล่านั้นที่เขาต้องเผชิญมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ เขาเบื่อเต็มทนแล้วที่จะต้องอยู่ในสภาพเหมือนติดอยู่ในความฝันร้ายนั้นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ เขาก็อยากจะจบมันลงทุกอย่าง แม้ว่าทางเลือกนั้นจะน่ากลัวกว่าก็ตาม...
“คุณอยากให้ผม...ช่วยอะไร”
พรึบ!
ไฟทุกดวงดับลง ชายผู้นั้นค่อยๆหันกลับมา ดวงตาของเขาสว่างเรืองรองราวกับดวงตาของสัตว์ รอยยิ้มที่สยดสยองที่ค่อยๆฉีกไปถึงใบหู และเผยให้เห็นเขี้ยวสองคู่ที่ยาวมากพอจะเจาะเส้นเลือดใหญ่ของเขาได้ในการกัดเพียงครั้งเดียว
“ฉันต้องการ…”
“….อึก” ชานยอลผวา ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว สัมผัสเย็นๆไหลลื่นไปตามซอกคอ ลมหายใจถูกเป่ารดรินผิวเนื้อ ก่อนที่เสียงแหบแห้งนั่นจะกระซิบอยู่ข้างหู
“ชีวิตของนาย” อีกฝ่ายตวัดลิ้นเลียพวงแก้มของเขาอย่างรุ่มร่าม และเขาคงจะกลัวน้อยกว่านี้ถ้าเรียวลิ้นนั่น...
ไม่ใช่ลิ้นสองแฉกอย่างงู
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Dec 30, 2016 7:03 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง