ชานยอลออกเดินไปตามถนนด้วยความรีบร้อน ก่อนจะหลบเข้าไปในตรอกแคบๆมุมหนึ่ง แล้วเพ่งจิตเรียกสัตว์รับใช้ตัวหนึ่งที่เขาได้มาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กออกมา โดยที่ในชีวิตของเขาแทบไม่เคยสักครั้งที่กล้าเรียกมัน เพราะนอกจากมันจะเป็นสัตว์ที่รักอิสระมากแล้วยังคึกคะนองมากเสียจนเขาเองยังยากที่จะควบคุม แต่เพื่อไปให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด เขาก็ต้องทำ….
ร่างโปร่งรออยู่ที่ตรอกนั้นสักพักด้วยท่าทางระส่ำระส่าย มือเรียวกำแน่น ใบหน้าแหงนขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงช้าๆอย่างใจจดใจจ่อราวกับรออะไรบางอย่างที่กำลังมาจากเบื้องบน และยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไร หัวใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆจนเกือบถอดใจเลิกรอ แล้วในวินาทีนั้นเองที่เขากำลังจะเดินออกไปจู่ๆเสียงประหลาดก็ดังขึ้นจากฟากฟ้า
ฮี่ ฮี่
เสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท ก่อนจะตามมาด้วยเสียงควบเท้ากับสายลมจนเกิดเป็นเสียงลมพัดดังหวีดหวิว แล้วท้องฟ้าสีดำก็เหมือนถูกแหวกออกด้วยปีกสีขาวบริสุทธิ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็มาหยุดอยู่ข้างๆตัวเขา
ฮี่ ฮี่
เพกาซัสสีขาวบริสุทธิ์ส่งเสียงร้องทักเขาก่อนที่มันจะสะบัดหัวไปมาคล้ายกำลังหงุดหงิด
เรียกข้ามาทำไม
“พาฉันไปบ้านของคุณป้าที ฉันกำลังรีบไป”ชานยอลเอ่ยบอกกับเพกาซัสอย่างร้อนรน เจ้าม้าสะบัดหัวและตระกรุยพื้นไปมาอย่างรำคาญ ก่อนจะก่นด่าชานยอล
ถ้าธุระของเจ้ามันไม่สำคัญมากขนาดที่เรียกข้ามารอก็ข้าจะ…
“ฉันกำลังจะไปช่วยคนจากทาทาร์รัส” เจ้าม้าหยุดชะงักไปชั่วครู่
เจ้าบ้าไปแล้วรึไง
“ขอร้อง ช่วยฉันที ฉันต้องรีบไป”ชานยอลอ้อนวอนจนเพกาซัสมองด้วยความแปลกใจ เจ้าม้าลังเล ย้ำกีบเท้าซ้ำๆอยู่กับที่ หัวสะบัดไปมาอย่างสับสน จนทำให้ชานยอลใจหายวาบและร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม เขาต้องรีบไปหาป้าของเขาให้เร็วที่สุดและถ้าไม่ได้ความเร็วของเพกาซัสช่วย ทุกอย่างก็ล้าช้าออกไปอีก การช่วยคริสก็จะถูกยื้อเวลาเอาไว้ ชีวิตของร่างสูงก็จะทุกข์ทรมานต่อไป….
พรึ่บ!
เพกาซัสสยายปีกออก ก่อนจะพูดเสียงแข็งกับชานยอล
ขึ้นมา
ร่างโปร่งรีบกระโดดขึ้นขี่หลังเพกาซัส จากนั้นม้าสีขาวสะอาดก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง จนสายลมเข้าปะทะใบหน้าร่างโปร่งให้หนาวยะเยือกแต่ถึงกระนั้นความเย็นของมันก็ไม่อาจทำให้เขาใจเย็นลงได้ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำขณะที่เพกาซัสบินไปตามเส้นทาง เขากำลังร้อนรนและอยากไปถึงบ้านริมหาดให้เร็วที่สุด เพราะต้องการลงไปช่วยคริสที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาทาร์รัส
เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาขอร้องป้าของเขาว่าอยากลงไปช่วยคริสด้วย แต่ที่รู้คือ ณ วินาทีที่รู้ว่าคริสกำลังถูกลงโทษเพราะตัวเองมันทำให้เขารู้สึกว่าต้องไปช่วยให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้คริสหลุดพ้นจากความผิดที่ส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดมาจากตัวเอง แต่เป็นเขาเองที่เป็นต้นเหตุ และหากจะมีใครสักคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ควรจะเป็นเขาเองเสียมากกว่า…
ลงไปช่วยใครจากทาทาร์รัส
เสียงเพกาซัสถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับเวลาปกติที่มักจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้คุยกับชานยอล
“ลูกของฮาเดส”ชานยอลตอบปตามจริง ไม่คิดจะปิดบัง เพราะถึงเพกาซัสจะไม่ค่อยถูกชะตากับเขา แต่อย่างน้อยม้าตัวนี้ก็ไม่เคยทำร้ายหรือทรยศหักหลักเขามาก่อน
ที่บิดเบือนความตายใช่มั้ย
“ใช่ ทำไมนายถึงรู้ล่ะ”
อลาสเตอร์ (ม้าของฮาเดส)เพื่อนของข้าพูดถึงเรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อนที่เราเจอกัน บุตรแห่งฮาเดสอยู่ในทาทาร์รัสมาหลายวันแล้วและดูเหมือนว่าฮาเดสก็ไม่คิดจะยอมลดโทษให้เลยด้วยซ้ำ
ชานยอลชะงักงันไปเมื่อได้ยินคำตอบของเพกาซัส เขาไม่ได้รู้สึกดีกับคริส ทั้งยังเกลียดด้วยซ้ำ แต่การที่ต้องมารับรู้ว่าคนคนหนึ่งกำลังถูกลงโทษอย่างแสนสาหัสเพราะตัวเราอยู่ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะนิ่งดูดายได้เลยจริงๆ
“ทุกอย่างเป็นเพราะฉันเอง”
ข้าไม่สนหรอกนะ ว่าเรื่องเป็นมายังไง แต่คิดดีแล้วรึไง ถึงได้จะลงไปที่นั้น เจ้าก็รู้ว่ามันอันตรายและฮาเดสคงไม่ปล่อยเจ้าแน่ถ้าเขาจับเจ้าได้
“ฉันรู้ แต่ฉันต้องไป”
ทั้งๆที่รู้ว่ามันอันตรายมากน่ะหรอ
“ใช่”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันต่ออีก เพกาซัสบินไปตามเส้นทางของสายลม ปีกสีขาวตวัดปุยเมฆให้กระจายออก กีบเท้าควบไปตามท้องฟ้าอย่างสง่างาม หากแต่ความสวยงามเหล่านั้นไม่ได้ซึมซาบเข้ามาในจิตใจของชานยอลเลย ทุกพื้นที่ในห้วงคำนึงของเขาถูกยึดครองด้วยเรื่องการไปช่วยคริสจากทาทาร์รัส สถานที่ที่ไม่มีใครอยากจะลงไป แม้กระทั่งทวยเทพก็ตาม การลงไปที่นั้นเหมือนเป็นการเดินทางเที่ยวเดียว ที่ไม่มีวันได้ย้อนกลับขึ้นมาบนโลกอีก เพราะที่นั้นต้อนรับแต่วิญญาณคนตาย อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยความชั่วร้าย อาฆาตและพยาบาทอย่างสุดกู่ชนิดที่หากย่ำกายเข้าไปแม้เพียงนิดก็อาจเสียสติและสูญเสียการควบคุมจิตใจของตัวเองได้ ทำให้สถานที่แห่งนั้นนอกจากฮาเดส และกลุ่มเทพที่เกี่ยวข้องแล้วก็ไม่มีใครกล้าเหยียบลงไปที่นั้นเลย
นั่นคือทาทาร์รัสที่ชานยอลรู้จัก เขามักจะถูกโพไซดอนกำชับอยู่เสมอว่าห้ามลงไปที่นั้นเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะที่นั้นอันตรายจนเกินกว่ากำลังที่เขาจะต้านทานได้ ไม่เหมือนนรกชั้นนอกที่เขายังพอเข้าไปได้บ้างในช่วงวันงานเหมายัน ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเชื่อฟังโพไซดอนมาตลอด และไม่เคยคิดที่จะฝ่าฝืนสักครั้ง เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าที่นั้นอันตรายยิ่งกว่านรกส่วนอื่นๆ
แต่ตอนนี้…….ชานยอลต้องลงไปที่นั้น แม้มันจะเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหนก็ตาม
“เพกาซัส อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง รีบหน่อยได้มั้ย”ชานยอลเอ่ยเร่งเร้า เมื่อเขาไม่อยากจะเสียเวลากับการเดินทางมากไปกว่านี้ เพราะทุกวินาทีที่กำลังผ่านไป คือทุกวินาทีที่คริสกำลังถูกทรมาน
อีกไม่ไกล แล้ว ข้าก็เร็วได้เท่าที่ข้าจะทำได้แล้วตอนนี้
เพกาซัสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญเล็กน้อย ก่อนจะบินไปข้างหน้าแล้วลดความสูงลงเรื่อยๆ จนชานยอลค่อยๆมองเห็นวิวเบื้องล่าง ท้องทะเลสีน้ำเงินกว้างใหญ่ถูกล้อมกรอบด้านหนึ่งด้วยชายฝั่งที่มีบ้านคนอยู่แซมขึ้นประปรายไปตลอดแนว จากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆชัดเจนมากขึ้นเมื่อเพกาซัสค่อยๆบินต่ำลง และทันทีที่กีบเท้าของมันสัมผัสกับพื้นดิน ชานยอลก็รีบลงมาจากหลังของมันด้วยความรีบร้อน
“ขอบใจมาก”เขาเอ่ยบอก ก่อนจะพลิกตัวเตรียมจะเดินเข้าไปในบ้าน
เดี๋ยว ชานยอล
เสียงเพกาซัสดังขึ้นในความคิดของเขา
“มีอะไรหรอ”ชานยอลถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เจ้ามั่นใจว่าจะลงไปทาทาร์รัสแล้วจริงๆน่ะหรือ
ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบ เพกาซัสนิ่งเงียบไป พร้อมกับตระกรุบกีบเท้ากับพื้นซ้ายซ้ำๆ แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบบอกในความคิด
ถ้างั้นเจ้าก็ต้องรู้ความลับข้อหนึ่งเสียก่อน
“ความลับ…?”ชานยอลถามด้วยความไม่เข้าใจ เพกาซัสผงกหัวก่อนจะเอ่ยตอบ
อลาสเตอร์เคยบอกข้าว่า หากโซ่พันธนาการปลดเปลื้องออกจากบุตรแห่งฮาเดสเมื่อใด เมื่อนั้นกลไกการฟื้นฟูร่างกายของเขาจะยุติลง นั่นเท่ากับว่าเขาจะตายเพราะพิษบาดแผลทันทีที่หลุดออกจากพันธนาการ
ชานยอลชะงักงันไป หัวใจเหมือนถูกแช่แข็งให้ติดค้างอยู่ในความกลัว กังวล และจนปัญญา
“ละ แล้ว แล้วจะช่วยยังไง”
เจ้าต้องรีบรักษาเขาทันทีที่เขาหลุดออกมาจากพันธนาการ
“แล้วฉันจะทำยังไง ฉันควบคุมได้แต่น้ำเท่านั้น”
ฟังข้าให้ดี…..วิธีที่จะช่วยบุตรแห่งฮาเดสได้ก็คือ….
-------------------------------------------
“คริส....แม่ต้องช่วยลูกให้ได้”หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เธอวางสายจากชานยอลไปได้ไม่นาน ก่อนที่เธอจะรีบร้อนขึ้นไปยังห้องที่อยู่ชั้นสองของบ้าน แล้วนำกล่องใส่สร้อยสีดำสนิทที่ฝังโลหะรูปหัวกะโหลกออกมา....
สร้อยสีเงินยวงมีจี้ทำจากเพชรรูปหยดน้ำซึ่งภายในอัดแน่นด้วยของเหลวสีใส ปรากฏแก่สายตาของเธอ ฉับพลันนั้นน้ำตาก็ลื่นไหลเอ่อท้นอยู่ที่ขอบตาสวย สำหรับเธอมันไม่ได้เป็นเพียงแค่สร้อย แต่มันเป็นของล้ำค่า ของดูต่างหน้าที่ไม่มีวันทดแทนหรือบั่นทอนความคิดถึงที่มีให้กับเจ้าของสร้อยเส้นนี้ได้เลย ซ้ำยังอาจจะตอกย้ำถึงโชคชะตาที่ต้องพลัดพรากให้หัวใจบอบช้ำตรอมตรม
มันเป็นของเพียงสิ่งเดียวที่ฮาเดสให้ไว้กับเธอก่อนจะจากลา
หยดน้ำตาแห่งความตาย
จี้ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของฮาเดสซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร และคะนึงหาของเทพเจ้า ของเหลวสีใสที่อยู่ภายในจี้คือหยดน้ำตาของเทพเจ้าที่หลั่งรินออกมาเมื่อครั้งต้องจากกัน พลังของจี้สามารถปกป้องเธอจากวิญญาณร้าย เปรียบเสมือนมีฮาเดสคอยปกป้องและสามารถนำเธอลงไปในนรก ในดินแดนที่เขาเป็นเจ้าของ ในสถานที่ที่แยกทั้งคู่ออกจากกัน เพื่อกลับไปพบเขาอีกครั้งหากเธอต้องการ
แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยกล้าเสี่ยงใช้มันเลย แม้ในนรกจะมีช่วงเวลาที่เพอเซโฟเน่ ชายาของฮาเดสไม่อยู่เพราะต้องขึ้นมาบนโลกมนุษย์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าลงไปหาฮาเดส เพราะเธอกลัวว่าหากได้พบกับเทพเจ้าอีกครั้งจะทำให้เธอไม่อาจหักห้ามใจให้ลาจากกันได้อีกครั้ง และสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือหากเพอเซโฟเน่ล่วงรู้เข้า อาจจะโกรธเกรี้ยวและทำร้ายลูกของเธอ ของล้ำค่าเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่อาจให้ใครมาทำลายได้ เพราะเขาคือแก้วตาดวงใจ คือชีวิตทั้งหมดที่เธอมี
แต่ตอนนี้แก้วตาดวงใจของเธอกำลังจะแตกสลายเพราะถูกทำร้ายและทารุณ เธอยอมให้ลูกของเธอทุกข์ทรมานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และไม่ว่าการลงไปในนรกในช่วงที่เพอเซโฟเน่ยังประทับอยู่ตอนนี้จะเสี่ยงมากเพียงใด เธอก็จะทำ ขอแค่ช่วยคริสได้ ขอแค่คริสปลอดภัย ส่วนตัวเธอนั้นจะเป็นอย่างไร เธอไม่สนใจ...
ที่สุดของชีวิต
ที่สุดของหัวใจ
ที่สุดของแม่......มีแต่ลูกคนเดียว
เธอกำสร้อยแน่นจนข้อนิ้วซีดก่อนจะรีบใส่สร้อย หยาดน้ำตาแห่งความกังวลและหวาดกลัวพรั่งพรูออกมาเป็นสาย ภาพของคริสที่กำลังทุกข์ทรมานค้างติดอยู่ในทุกห้วงคำนึง เธอจะปล่อยให้ลูกของเธอทุกข์ทรมานอย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอจะต้องไปช่วยเขาให้เร็วที่สุด
“แม่จะต้องช่วยลูกให้ได้”เธอพูดก่อนจะปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆแล้วรีบลงมารอชานยอลยังชั้นล่าง
สองตาชะเง้อชะแง้มองหาร่างโปร่ง ก่อนจะเห็นแผ่นหลังไวๆที่อยู่ไกลออกไปจากบริเวณหน้าบ้านไม่มากนัก เธอรีบร้อนวิ่งเข้าไปหา ก่อนจะพบว่าชานยอลกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่กับเพกาซัสสีขาวสะอาดตาที่เธอจำได้ว่ามันเป็นลูกของโพไซดอนกับเมดูซาและถือเป็นญาติห่างๆกับชานยอล
“ขอบใจมาก เพกาซัส”เสียงร่างโปร่งเอ่ยขอบคุณกับเพกาซัสด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ ก่อนที่เจ้าม้าจะเหลือบตามามองผู้มาใหม่แล้วจึงหันกลับไปหาชานยอลแล้วเอ่ยตอบที่เธอฟังได้เป็นเพียงแค่เสียงม้าร้อง ร่างโปร่งพยักหน้ารับก่อนที่เจ้าม้าจะสยายปีกแล้วโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ชานยอล เราต้องรีบไปกันแล้ว”เธอพูดก่อนจะจับมือชานยอล ดวงตากลมโตสบกับความแวววาวของจี้เพชรที่อยู่ที่ลำคอระหงส์ของเธอก่อนจะเอ่ยถาม
“สร้อยนั่นฮาเดสให้มาหรอครับ”
“ใช่ มันคือตัวแทนของฮาเดส สามารถพาเราไปถึงที่ทาทาร์รัสได้”ชานยอลพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“งั้นเราก็รีบไปกันเถอะครับ”ป้าของเขาพยักหน้าก่อนจะจับสร้อยเอาไว้แล้วเปล่งเสียงออกคำสั่ง
“พาพวกเราไปที่ทาทาร์รัส”เฉียบพลันนั้นความมืดก็แผ่คลุมไปทั่วบริเวณจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างถูกบดบังด้วยความมืดมิดอนธการ ก่อนที่มุมหนึ่งของห้องจะปรากฏหมอกควันสีเทาที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ร่างๆหนึ่งปรากฏกายออกมาฝ่าม่านหมอก
ม้าโครงกระดูกที่มีดวงตาอัดแน่นไปด้วยหมอกควันมอบลงแทบเท้าของทั้งสอง และทันทีที่พวกเขาขึ้นขี่มัน มันก็ออกวิ่งทะลุกำแพงไปอย่างรวดเร็วจนภาพที่เห็นกลายเป็นเพียงแค่เส้นสีหลากสีสันที่หลวมรวมกัน โดยอีกด้านหนึ่งของกำแพงคือเส้นทางอันเวิ้งว้างที่มืดมิดไร้แสงไฟใดๆ ทุกอย่างรกร้างและเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายและอับชื้นไปด้วยซากเน่าเปื่อยต่างๆที่ทับถมกันมาหลายร้อยล้านปี กีบเท้าของม้าควบไปตามทาง ทุกครั้งที่แตะถูกพื้นดิน หมอกควันสีเทาก็จะลอยทิ้งไปข้างหลังตามทางที่ผ่านมา
หวีด หวิว หวิว
เสียงดวงวิญญาณพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขาหมายที่จะทำร้าย แต่ทันทีที่พวกมันจะได้สัมผัสร่างของคนทั้งสอง จู่ๆสร้อยก็สว่างวาบ พวกวิญญาณรีบลอยออกห่างหนีออกไปไกล แล้วปล่อยให้พวกเขาไปตามทางโดยที่พวกมันได้แต่มองตามด้วยความพรั่นพรึง
ชานยอลเหลียวหลังกลับไปมองพวกวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง แล้วเหลือบมองสร้อยของป้าของเขาด้วยความทึ่งระคนแปลกใจ ก่อนที่เขาจะถูกเรียกร้องความสนใจจากสองข้างทางที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ทางที่เคยรกร้างถูกแทนที่ด้วยหนามแหลมคม อุณหภูมิที่เคยหนาวเย็นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนร้อนอบอ้าว สะเก็ดไฟที่ลอยปะทุขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งไฟปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ที่เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นเงาของหอคอยที่เลือนรางอยู่ท่ามกลางม่านหมอก เสียงกรีดร้องและโหยหวนดังสอดประสานกับเสียงผู้คุมและการลงทัณฑ์ดังระงมมาให้ได้ยิน ที่ยอดของหอคอยมีสัตว์มีชีวิตบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ชานยอลมองตามขึ้นไปด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ หัวใจดวงน้อยภาวนาว่าขออย่าให้คริสอยู่บนนั้นเลย อย่าให้คริสถูกทำโทษ ณ ที่แห่งนั้นเลย เพราะที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กคือ ยอดหอคอยเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับลงโทษนักโทษที่ทำบาปร้ายแรง และบทลงโทษที่สั่งสอนก็รุนแรงและทุกข์ทรมานมากด้วย...
“คริสอยู่บนนั้น รีบหน่อยได้มั้ย”ทันทีที่ป้าของเขาพูดจบหัวใจของเขาก็หล่นวูบ คริสอยู่บนยอดหอคอยนั่น อยู่บนสถานที่ที่อันตรายที่สุด และกำลังรับโทษที่หนักหนาสาหัสที่สุด
หยาดน้ำใสคลอหน่วงอยู่ที่เบ้าตา แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับร่างสูง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่นึกโทษตัวเองที่ทำให้คริสต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเขา หากเขาคิดถึงคนอื่น และเลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้งให้ได้มากกว่านี้ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น คนอื่นคงไม่ต้องมาทรมานแบบนี้
พรึ่บ พรึ่บ หวิว หวิว
เสียงตัวอะไรบางอย่างกระพือปีกเสียงดังก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามาหาพวกเขาด้วยความฉับไว
“พวกเจ้าเป็นใคร!!!”มันกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวและดุร้าย
“หลีกไป!!!”ป้าของเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนและติดรำคาญ เพราะนี่ไม่ใช่เวลาของเจ้าอสูรตัวนั้น แต่เป็นของคริส ของคริสคนเดียวเท่านั้น
“ฝันไปเถอะ!!!”มันคำรามก่อนจะพุ่งเข้ามาเตรียมจะใช้กงเล็บตะปบพวกเขา เฉียบพลันนั้นจี้ก็สว่างวาบ มันรีบถอยห่างออกไปได้แต่กระพือปีกค้างอยู่กลางอากาศ แล้วปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปข้างในเหมือนยามโง่ๆคนหนึ่งที่ปล่อยให้โจรเข้าไปในเขตหวงห้าม
จากนั้นม้าโครงกระดูกก็วิ่งเข้าไปใกล้ยอดหอคอยมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไร เสียงการลงโทษก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น หากแต่ไร้เสียงโอดครวญหรือทุกข์ทรมานของผู้ถูกลงโทษจนหัวใจของชานยอลสั่นสะท้าน หัวสมองขบคิดไปต่างๆนานา ว่าร่างสูงจะเป็นอย่างไร ตายแล้วหรือเปล่า หรือจะเจ็บปวดจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้
“เจ็บจนไม่มีเสียงพูดแล้วงั้นเรอะ ท่านคริส!!!”เสียงอสูรกายตัวหนึ่งพูดก่อนจะตามมาด้วยเสียงคล้ายการฟาดแส้ลงกับอะไรบางอย่าง
“คริส!....”ป้าของเขาแผดเสียงดังลั่น
“ใคร!!!”อสุรกายตัวนั้นกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะบินพุ่งออกมาทางทั้งสอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ม้าโครงกระดูกวิ่งถึงยอดหอคอยพอดี เฉียบพลันนั้นร่างของฟิวรี่ตัวนั้นก็ถูกโล่ที่มองไม่เห็นผลักกระเด็นออกไปไกล ฟิวรี่ตัวอื่นที่เห็นอย่างนั้นต่างพากันกรูเข้ามาหาหมายจะทำร้าย แต่ทันทีที่มันเห็นสร้อยมันก็รีบหมอบลงทำความเคารพแล้วหลีกทางให้แต่โดยดี
“นั่น....ใคร”เสียงคริสที่แหบแห้งดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งสองท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
“คริส...”ป้าของเขาเรียกชื่ออีกคนด้วยน้ำเสียงสั่น ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีที่ได้เห็นร่างของคริสกับตา ....
ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกแส้ฟาด ตามรอยแผลมีเปลวไฟลุกโชน ผิวเนื้อคล้ำดำเพราะถูกพิษ เล็บถูกตอกออกทั้งหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยกรีดจากกงเล็บ แก้มด้านหนึ่งถูกเลาะหนังออกจนเห็นแต่กล้ามเนื้อ และดวงตาที่ปิดสนิทและโชกเลือดเพราะถูกควักลูกตาออกมา
“คะ คริส...”ชานยอลเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหายไปในพริบตา หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ สิ่งที่เห็นตรงหน้าร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนดูได้ และหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะยอมรับว่าทั้งหมด.....เป็นเพราะเขา
คริสขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่หูตัวเองได้ยิน ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพึมพำออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงอ่อนแรงและโรยรา
“นี่ฉัน.....กำลังจะตาย....อีก...รอบแล้วใช่มั้ย....ถึงได้ประสาท.....หลอน”
“นะ น่ะ นี่...นี่...ฉันเอง”ชานยอลพูดตะกุกตะกัก คริสขมวดคิ้วอีกครั้งราวกับกำลังใช้สมองที่อ่อนล้าเต็มทีของเขาประมวลและเชื่อมโยงเหตุผลว่าผู้พูดเป็นใคร ก่อนที่เขาจะมีท่าทีตกใจแล้วโถมตัวมาข้างหน้าพร้อมกับแผดเสียงดังเมื่อรู้ว่าใครมา
“มาทำอะไรที่นี่ เป็นบ้าไปแล้วรึไง กลับไปซะ!!!”คริสแผดเสียงออกมาจนเกินขอบเขตที่ร่างกายตัวเองจะทานทน ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งและฟังดูทรมาน ในขณะที่ชานยอลได้แต่ทรุดนั่ง หยาดน้ำตาหลังรินออกมาเป็นสาย มองภาพเบื้องหน้าอย่างเจ็บปวด เขากำลังทำให้คนคนหนึ่งต้องทรมานถึงขนาดนี้เลยหรอ ทำให้ผู้ชายที่สูงศักดิ์คนนั้นกลายเป็นเพียงแค่นักโทษชายที่ไร้ค่าคนหนึ่งเลยอย่างนั้นหรอ นี่เขาทำอะไรลงไป...
“คริส...ยะ อย่า พูด”ป้าของเขาร้องห้ามเพราะเจ็บปวดที่เห็นลูกทรมาน ร่างสูงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ป้าของ....นายหรอ กลับไป! ออกไป...แค่ก จากที่นี่ซะ!!!”คริสอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนจะหอบหายใจหนักอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกุมหัวใจตัวเองเอาไว้แน่นราวกับขีดจำกัดของร่ายกายเขาใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว
“ยะ อย่าพูด หยุดพูดนะ”ชานยอลร้องห้าม หัวใจของเขาปวดหนึบโดยไม่รู้สาเหตุ รู้เพียงแต่เขาทนไม่ได้จริงๆหากต้องฟังเสียงที่ทรมานอย่างนั้น เพราะมันเหมือนคริสกำลังเจ็บปวด กำลังทรมาน และทุกข์ทน
“กลับ....แค่ก แค่ก กลับไป!!!”คริสยกมือขึ้นป้องปาก ก่อนที่เลือดและคราบของเหลวสีดำจะเลอะเต็มมือของเขา
“คริส หยุดพูดเถอะ หยุดพูดนะ ขอร้อง เราหนีกันเถอะ คริส ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”ป้าของเขาร้องบอกก่อนจะถลาเข้าไปโอบกอดร่างที่ถูกตรึงอยู่ที่เสาอย่างไม่นึกรังเกียจร่างกายอันเน่าเฟะและสภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้น
ร่างสูงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงเป็นช่วงๆ
“กลับ.....ซะ แค่ก แค่ก”
“ขอร้องล่ะ! หยุดเถอะ กลับไปกับเราเถอะ”ชานยอลร้องห้ามอย่างเหลืออด เมื่อเขาทนเห็นคริสทรมานอย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
น้ำเสียงที่สั่นพร่าของร่างโปร่งดึงความสนใจของร่างสูงให้หันไปหา ดวงตาที่ควรจะจับจ้องมาที่เขากลับถูกปิดสนิทและเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมา ชานยอลรีบยกมือขึ้นปิดปากปิดกลั้นเสียงสะอื้น ภาพที่เห็นมันโหดร้ายเกินไป คริสน่าสงสารเกินกว่าที่เขาจะเย็นชาได้
“กลับกันเถอะนะคริส”ป้าของเขาพูดก่อนจะปลดโซ่ตรวนเหล่านั้นออกไป ทันทีที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ร่างของคริสก็ล้มลงมากองกับพื้น โชคดีที่ป้าและเขาช่วยพยุงตัวไว้ได้ทัน
“แค่ก แค่ก.....ถ้าหลุดจากโซ่...ร่างกาย...ไม่....คืนสภาพ”
“ว่าไงนะ”ป้าของเขาอุทานด้วยความตกใจ เพราะถ้าร่างกายไม่ฟื้นฟูสภาพแล้วนั่นเท่ากับว่าต่อให้ช่วยไปยังไงก็ไร้ผล ซ้ำยังทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม เพราะร่างสูงจะตายอย่างช้าๆจากการทนพิษบาดแผลไม่ไหว
“ผม ผมมีวิธี...”ชานยอลเอ่ยบอก ก่อนจะนึกถึงคำแนะนำของเพกาซัส
วิธีที่จะรักษาบาดแผลของคริส จำเป็นต้องใช้น้ำที่มาจากแม่น้ำทุกสายในนรกได้แก่ โคไซทัส แม่น้ำแห่งความกำสวล เฟลจีธอน แม่น้ำแห่งไฟ เลธี แม่น้ำแห่งการลืมเลือน และสุดท้าย สติกซ์ แม่น้ำแห่งความเกลียดชัง เพื่อสมานแผลจากเปลวไฟและชะล้างพิษของไฮดราซึ่งสถานที่ที่รวมสายน้ำทั้งห้าเอาไว้คือทะเลสาบอคีรูเซียนจุดที่แม่น้ำทุกสายมาบรรจบกันซึ่งอยู่ในนรกทาทาร์รัส
“เราต้องพาเขาไปที่ทะเลสาบอคีรูเซียน”ร่างโปร่งเอ่ยบอกก่อนที่ป้าของเขาจะออกคำสั่งเรียกม้าโครงกระดูกนั้นกลับมา
“พาพวกเราไปที่ทะเลสาบอคีรูเซียน”เฉียบพลันนั้นจี้ก็สว่างวาบ ม้าโครงกระดูกปรากฏกายขึ้นที่ริมหอคอยอีกด้าน ก่อนที่คริสจะถูกพยุงขึ้นไปบนหลังม้า แล้วมุ่งตรงไปสู่จุดหมายของการเดินทาง
ร่างสูงปรือตามองอย่างไม่เข้าใจ ม้าตัวนั้นเป็นของฮาเดส แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เรียกใช้มันได้กัน คริสได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้น แต่สมองของเขาก็ล้าเกินกว่าที่จะขบคิดอะไรได้ สุดท้ายจึงปล่อยให้ความผิดปกตินี้เลยผ่านไปโดยไม่คิดจะค้นหาคำตอบให้กับคำถามในครั้งนี้...
ม้าโครงกระดูกควบไปตามเส้นทางที่ห่างไกลจากคุกแห่งทาทาร์รัสออกไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพรอบด้านแปรเปลี่ยนจากที่รกร้างกลายเป็นหุบเขาลาดชันที่เบื้องล่างมีแม่น้ำแห่งไฟไหลอยู่ ประกายไฟปะทุขึ้นจนควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม่น้ำไหลเชี่ยวจนน้ำกระเด็นขึ้นมายังเบื้องบน ชานยอลรีบสะบัดมือออกแรงควบคุมสายน้ำที่ดื้อด้านต่ออำนาจของเขาอย่างสุดกำลัง เพื่อคุ้มครองคนอื่นๆจากประกายความร้อนระอุของหยาดน้ำแห่งไฟ และยิ่งพวกเขาเดินทางไปได้ไกลมากเท่าไร ความปั่นป่วนของแม่น้ำและสภาพอากาศก็ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนร่างโปร่งเริ่มเหนื่อย แต่เมื่อหันกลับมามองร่างของคริสที่สั่นสะท้านและเริ่มพึมพำไม่มีสติเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง คริสเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องช่วยร่างสูงให้ได้
“อดทนนะ”ชานยอลพูดออกมาเบาๆ เพิ่งรู้ว่าการเห็นคนคนหนึ่งกำลังจะตายจะทำให้เขาสงสารและลดอคติของตัวเองลงได้มากถึงขนาดนี้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาก็ตาม
“อืม”เสียงครางทุ้มต่ำที่เบาจนฟังแทบไม่ได้ยินถูกเอ่ยออกมาจากร่างสูง ก่อนที่มือหนาจะกุมมือของเขาเอาไว้ ร่างโปร่งเหลือบตามองดู ก่อนจะปล่อยให้คริสกุมมือของเขาต่อไปโดยไม่พูดอะไร
การเดินทางผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะฝีเท้าของม้าที่ควบเร็วจนเกิดควันลอยออกมา แม่น้ำแห่งไฟที่กว้างใหญ่ค่อยๆขยายออกกว้างขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันใกล้จะไปบรรจบกับแม่น้ำสายอื่นๆ และยิ่งใกล้ถึงปลายทางมากเท่าไร บรรยากาศรอบๆก็เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ สายลมกรรโชกที่เกิดจากการปะทะกันของความความกดอากาศต่ำกับความกดอากาศสูงพัดโหมอย่างหนักจนซัดเอาก้อนหินตกลงมา โชคดีที่ม้าโครงกระดูกหลบไปได้อย่างหวุดหวิด เสียงโหยหวน และกรีดร้องของดวงวิญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเขย่าประสาทให้สั่นคลอนจนเสียสมาธิ ก่อนที่ความโกลาหนทุกอย่างจะหลวมรวมกัน ณ จุดบรรจบของแม่น้ำทั้งห้าสาย
พายุเฮอร์ริเคนขนาดยักษ์ที่มีตัวกลางเป็นแม่น้ำทั้งห้าหมุนวนเป็นวงกว้างอยู่ที่จุดบรรจบของแม่น้ำจนเกือบจะกลืนกินพวกเขาเข้าไป ชานยอลมองภาพตรงหน้าก่อนจะกลั้นหายใจ คลื่นความตกใจถาโถมสู่จิตใจก่อนจะพัดกระพือจนแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว เขาไม่เคยเจอพายุเฮอร์ริเคนขนาดใหญ่และเกรี้ยวกราดมากขนาดนี้มาก่อน มันอันตรายและชั่วร้ายมากจนเขาไม่มั่นใจว่าจะฝ่าพายุเข้าไปถึงใจกลางแล้วนำน้ำมารักษาคริสได้รึเปล่า
“ชานยอล ช่วยคริสที”เสียงป้าของเขาร้องขอเมื่อร่างของคริสเริ่มซีดขาวไร้สีเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างโปร่งเม้มปากแน่น ก่อนจะเหลือบมองมือที่กุมกันเอาไว้ มือของคริสเย็นเฉียบและเปราะบางเกินไป อีกไม่ช้าร่างของสูงจะต้องแตกสลายแน่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องช่วยคริสไว้ให้ทันเวลา...
“ครับ....”เขารับคำสั้นๆก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้า
ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่พายุ ก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิเพื่อเรียกความกล้ากลับคืนมา จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นควบคุมสายน้ำ แม่น้ำทั้งห้าไหลเชี่ยวกราดอย่างบ้าคลั่งต่อต้านพลังของเขาอย่างสุดกำลัง
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เสียงของสายน้ำสบประมาทร่างโปร่งจนเขย่าความเชื่อมั่นของเขาให้สั่นคลอนจนเกือบพังทลายลงมา
เจ้ามันอ่อนแอ
เจ้ามันอ่อนแอ
เจ้ามันอ่อนแอ
ชานยอลระส่ำระส่าย เริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองราวกับสติส่วนหนึ่งของเขากำลังถูกชักจูงด้วยคำพูดของจิตวิญญาณแห่งสายน้ำพวกนั้น แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นร่างของคริสที่นอนสลบอยู่ พลังใจของเขาก็กลับคืนมา เขาต้องทำให้ได้ ต้องช่วยคริสให้ได้
ใครว่าฉันทำไม่ได้...
“ในนามของข้า บุตรแห่งโพไซดอน ขอสั่งให้น้ำทุกหยาดหยด ณ ที่แห่งนี้ จงเชื่อฟังข้า!!!”ดวงตาสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสุกใสที่แฝงแววดุดัน พายุที่อยู่เบื้องหน้าวูบไหวสั่นคลอน คลื่นความวุ่นวายและโกลาหลคลุ่มคลั่งไปทั่วบริเวณ ชานยอลออกแรงควบคุมพวกมันมากขึ้นไปอีก ก่อนที่พายุจะค่อยๆอ่อนกำลังลง แม่น้ำทั้งห้าพุ่งกระฉูดขึ้นสูงถึงม่านหมอกด้านบน ก่อนที่มันจะถูกร่างโปร่งบังคับให้บางส่วนไหลไปหาร่างของคริส
สายน้ำห่อหุ้มร่างสูงเอาไว้ราวกับฟองอากาศที่ปิดกั้นเขาออกจากภายนอก เพื่อรักษาตัวเขาให้หายจากบาดแผลภายในแคปซูลน้ำ และทันทีที่หยดน้ำหยดสุดท้ายห่อหุ้มร่างของคริส ชานยอลก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที สายน้ำทั้งหมดกระแทกลงสู่เบื้องล่าง จนสาดกระเซ็นขึ้นมาถึงด้านบน
“ชานยอล!!”ป้าของเขาอุทานเสียงดัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาพยุงร่างของเขา
“ผม....ไม่เป็น...ไร”ชานยอลตอบเสียงอ่อนแรง เพราะเสียพลังไปกับการควบคุมสายน้ำจนเกือบหมด
“พักก่อนเถอะ ลูกจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”
“มะไม่....พาคริสขึ้นข้างบนเถอะ....ครับ”ชานยอลตอบก่อนจะค่อยๆเดินไปหาร่างของคริสโดยไม่สนใจคำทัดทานของป้าของเขา จนสุดท้ายหญิงวัยกลางคนต้องยอมทำตามความตั้งใจของชานยอล เธอพยุงชานยอลขึ้นบนหลังม้า ก่อนจะปีนตามขึ้นไป แล้วควบม้ากลับไปตามทางที่มา โดยจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้คือโลกมนุษย์
พวกเขาทั้งสามค่อยๆห่างไกลออกไปจากนรกทาทาร์รัสมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตลอดทางแทบไม่มีวิญญาณร้ายหรือปีศาจตนไหนเข้ามากร่ำกรายหรือแม้แต่เฉียดเข้าใกล้ พวกมันดูหวาดกลัวและตื่นตระหนกจนผิดปกติเกินกว่าที่ควรจะเป็น ราวกับสิ่งที่ทำให้มันพรั่นพรึงได้ไม่ใช่เพียงแค่สร้อยเส้นนั้น แต่เป็นใครอื่นที่ทรงอนุภาพยิ่งกว่านั้น..
กลิ่นไออะไรบางอย่างค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของป้าของชานยอล แม้จะไม่ได้กลิ่นนี้มานานหลายสิบปี แต่เพียงแวบเดียวเธอก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร…
กลิ่นไอของเทพเจ้า
กลิ่นไอของฮาเดส
เธอเหลียวหลังกลับไปมองยังที่ที่จากมาก่อนจะสบตาเข้ากับชายร่างสูงที่เธอไม่ได้เห็นมานานแสนนาน เฉียบพลันนั้นความคิดถึงและคะนึงหาก็แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ เทพเจ้าสบตาเธอด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์และคะนึงหา ริมฝีปากหนาแย้มยิ้มอบอุ่นให้ ก่อนที่เธอจะยิ้มตอบแล้วก้มศีรษะให้แล้วหันกลับไปเพื่อรับแสงสว่างปากทางออกสู่โลกมนุษย์โดยมีสายตาของเทพเจ้ามองส่งตามไป
“ท่านจะไม่ตามไปหรือ”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเทพเจ้า
“ไม่….” องค์เทพเอ่ยตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะค่อยๆเรือนลางหายไปพร้อมกับการกลับไปของบุคคลอันเป็นที่รักของเทพเจ้า
การลงทัณฑ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว บุตรแห่งข้าได้รับบทเรียนราคาแพงจากการกระทำของเขาแล้ว ลาก่อน แสงสว่างของข้า ความงดงามและแข็งแกร่งของเจ้าจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของข้าไปตลอดกาล…
ร่างโปร่งรออยู่ที่ตรอกนั้นสักพักด้วยท่าทางระส่ำระส่าย มือเรียวกำแน่น ใบหน้าแหงนขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงช้าๆอย่างใจจดใจจ่อราวกับรออะไรบางอย่างที่กำลังมาจากเบื้องบน และยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเท่าไร หัวใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆจนเกือบถอดใจเลิกรอ แล้วในวินาทีนั้นเองที่เขากำลังจะเดินออกไปจู่ๆเสียงประหลาดก็ดังขึ้นจากฟากฟ้า
ฮี่ ฮี่
เสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท ก่อนจะตามมาด้วยเสียงควบเท้ากับสายลมจนเกิดเป็นเสียงลมพัดดังหวีดหวิว แล้วท้องฟ้าสีดำก็เหมือนถูกแหวกออกด้วยปีกสีขาวบริสุทธิ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็มาหยุดอยู่ข้างๆตัวเขา
ฮี่ ฮี่
เพกาซัสสีขาวบริสุทธิ์ส่งเสียงร้องทักเขาก่อนที่มันจะสะบัดหัวไปมาคล้ายกำลังหงุดหงิด
เรียกข้ามาทำไม
“พาฉันไปบ้านของคุณป้าที ฉันกำลังรีบไป”ชานยอลเอ่ยบอกกับเพกาซัสอย่างร้อนรน เจ้าม้าสะบัดหัวและตระกรุยพื้นไปมาอย่างรำคาญ ก่อนจะก่นด่าชานยอล
ถ้าธุระของเจ้ามันไม่สำคัญมากขนาดที่เรียกข้ามารอก็ข้าจะ…
“ฉันกำลังจะไปช่วยคนจากทาทาร์รัส” เจ้าม้าหยุดชะงักไปชั่วครู่
เจ้าบ้าไปแล้วรึไง
“ขอร้อง ช่วยฉันที ฉันต้องรีบไป”ชานยอลอ้อนวอนจนเพกาซัสมองด้วยความแปลกใจ เจ้าม้าลังเล ย้ำกีบเท้าซ้ำๆอยู่กับที่ หัวสะบัดไปมาอย่างสับสน จนทำให้ชานยอลใจหายวาบและร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม เขาต้องรีบไปหาป้าของเขาให้เร็วที่สุดและถ้าไม่ได้ความเร็วของเพกาซัสช่วย ทุกอย่างก็ล้าช้าออกไปอีก การช่วยคริสก็จะถูกยื้อเวลาเอาไว้ ชีวิตของร่างสูงก็จะทุกข์ทรมานต่อไป….
พรึ่บ!
เพกาซัสสยายปีกออก ก่อนจะพูดเสียงแข็งกับชานยอล
ขึ้นมา
ร่างโปร่งรีบกระโดดขึ้นขี่หลังเพกาซัส จากนั้นม้าสีขาวสะอาดก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง จนสายลมเข้าปะทะใบหน้าร่างโปร่งให้หนาวยะเยือกแต่ถึงกระนั้นความเย็นของมันก็ไม่อาจทำให้เขาใจเย็นลงได้ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำขณะที่เพกาซัสบินไปตามเส้นทาง เขากำลังร้อนรนและอยากไปถึงบ้านริมหาดให้เร็วที่สุด เพราะต้องการลงไปช่วยคริสที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาทาร์รัส
เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาขอร้องป้าของเขาว่าอยากลงไปช่วยคริสด้วย แต่ที่รู้คือ ณ วินาทีที่รู้ว่าคริสกำลังถูกลงโทษเพราะตัวเองมันทำให้เขารู้สึกว่าต้องไปช่วยให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้คริสหลุดพ้นจากความผิดที่ส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดมาจากตัวเอง แต่เป็นเขาเองที่เป็นต้นเหตุ และหากจะมีใครสักคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ควรจะเป็นเขาเองเสียมากกว่า…
ลงไปช่วยใครจากทาทาร์รัส
เสียงเพกาซัสถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับเวลาปกติที่มักจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้คุยกับชานยอล
“ลูกของฮาเดส”ชานยอลตอบปตามจริง ไม่คิดจะปิดบัง เพราะถึงเพกาซัสจะไม่ค่อยถูกชะตากับเขา แต่อย่างน้อยม้าตัวนี้ก็ไม่เคยทำร้ายหรือทรยศหักหลักเขามาก่อน
ที่บิดเบือนความตายใช่มั้ย
“ใช่ ทำไมนายถึงรู้ล่ะ”
อลาสเตอร์ (ม้าของฮาเดส)เพื่อนของข้าพูดถึงเรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อนที่เราเจอกัน บุตรแห่งฮาเดสอยู่ในทาทาร์รัสมาหลายวันแล้วและดูเหมือนว่าฮาเดสก็ไม่คิดจะยอมลดโทษให้เลยด้วยซ้ำ
ชานยอลชะงักงันไปเมื่อได้ยินคำตอบของเพกาซัส เขาไม่ได้รู้สึกดีกับคริส ทั้งยังเกลียดด้วยซ้ำ แต่การที่ต้องมารับรู้ว่าคนคนหนึ่งกำลังถูกลงโทษอย่างแสนสาหัสเพราะตัวเราอยู่ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะนิ่งดูดายได้เลยจริงๆ
“ทุกอย่างเป็นเพราะฉันเอง”
ข้าไม่สนหรอกนะ ว่าเรื่องเป็นมายังไง แต่คิดดีแล้วรึไง ถึงได้จะลงไปที่นั้น เจ้าก็รู้ว่ามันอันตรายและฮาเดสคงไม่ปล่อยเจ้าแน่ถ้าเขาจับเจ้าได้
“ฉันรู้ แต่ฉันต้องไป”
ทั้งๆที่รู้ว่ามันอันตรายมากน่ะหรอ
“ใช่”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันต่ออีก เพกาซัสบินไปตามเส้นทางของสายลม ปีกสีขาวตวัดปุยเมฆให้กระจายออก กีบเท้าควบไปตามท้องฟ้าอย่างสง่างาม หากแต่ความสวยงามเหล่านั้นไม่ได้ซึมซาบเข้ามาในจิตใจของชานยอลเลย ทุกพื้นที่ในห้วงคำนึงของเขาถูกยึดครองด้วยเรื่องการไปช่วยคริสจากทาทาร์รัส สถานที่ที่ไม่มีใครอยากจะลงไป แม้กระทั่งทวยเทพก็ตาม การลงไปที่นั้นเหมือนเป็นการเดินทางเที่ยวเดียว ที่ไม่มีวันได้ย้อนกลับขึ้นมาบนโลกอีก เพราะที่นั้นต้อนรับแต่วิญญาณคนตาย อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยความชั่วร้าย อาฆาตและพยาบาทอย่างสุดกู่ชนิดที่หากย่ำกายเข้าไปแม้เพียงนิดก็อาจเสียสติและสูญเสียการควบคุมจิตใจของตัวเองได้ ทำให้สถานที่แห่งนั้นนอกจากฮาเดส และกลุ่มเทพที่เกี่ยวข้องแล้วก็ไม่มีใครกล้าเหยียบลงไปที่นั้นเลย
นั่นคือทาทาร์รัสที่ชานยอลรู้จัก เขามักจะถูกโพไซดอนกำชับอยู่เสมอว่าห้ามลงไปที่นั้นเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะที่นั้นอันตรายจนเกินกว่ากำลังที่เขาจะต้านทานได้ ไม่เหมือนนรกชั้นนอกที่เขายังพอเข้าไปได้บ้างในช่วงวันงานเหมายัน ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเชื่อฟังโพไซดอนมาตลอด และไม่เคยคิดที่จะฝ่าฝืนสักครั้ง เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าที่นั้นอันตรายยิ่งกว่านรกส่วนอื่นๆ
แต่ตอนนี้…….ชานยอลต้องลงไปที่นั้น แม้มันจะเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหนก็ตาม
“เพกาซัส อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง รีบหน่อยได้มั้ย”ชานยอลเอ่ยเร่งเร้า เมื่อเขาไม่อยากจะเสียเวลากับการเดินทางมากไปกว่านี้ เพราะทุกวินาทีที่กำลังผ่านไป คือทุกวินาทีที่คริสกำลังถูกทรมาน
อีกไม่ไกล แล้ว ข้าก็เร็วได้เท่าที่ข้าจะทำได้แล้วตอนนี้
เพกาซัสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญเล็กน้อย ก่อนจะบินไปข้างหน้าแล้วลดความสูงลงเรื่อยๆ จนชานยอลค่อยๆมองเห็นวิวเบื้องล่าง ท้องทะเลสีน้ำเงินกว้างใหญ่ถูกล้อมกรอบด้านหนึ่งด้วยชายฝั่งที่มีบ้านคนอยู่แซมขึ้นประปรายไปตลอดแนว จากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆชัดเจนมากขึ้นเมื่อเพกาซัสค่อยๆบินต่ำลง และทันทีที่กีบเท้าของมันสัมผัสกับพื้นดิน ชานยอลก็รีบลงมาจากหลังของมันด้วยความรีบร้อน
“ขอบใจมาก”เขาเอ่ยบอก ก่อนจะพลิกตัวเตรียมจะเดินเข้าไปในบ้าน
เดี๋ยว ชานยอล
เสียงเพกาซัสดังขึ้นในความคิดของเขา
“มีอะไรหรอ”ชานยอลถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เจ้ามั่นใจว่าจะลงไปทาทาร์รัสแล้วจริงๆน่ะหรือ
ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบ เพกาซัสนิ่งเงียบไป พร้อมกับตระกรุบกีบเท้ากับพื้นซ้ายซ้ำๆ แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบบอกในความคิด
ถ้างั้นเจ้าก็ต้องรู้ความลับข้อหนึ่งเสียก่อน
“ความลับ…?”ชานยอลถามด้วยความไม่เข้าใจ เพกาซัสผงกหัวก่อนจะเอ่ยตอบ
อลาสเตอร์เคยบอกข้าว่า หากโซ่พันธนาการปลดเปลื้องออกจากบุตรแห่งฮาเดสเมื่อใด เมื่อนั้นกลไกการฟื้นฟูร่างกายของเขาจะยุติลง นั่นเท่ากับว่าเขาจะตายเพราะพิษบาดแผลทันทีที่หลุดออกจากพันธนาการ
ชานยอลชะงักงันไป หัวใจเหมือนถูกแช่แข็งให้ติดค้างอยู่ในความกลัว กังวล และจนปัญญา
“ละ แล้ว แล้วจะช่วยยังไง”
เจ้าต้องรีบรักษาเขาทันทีที่เขาหลุดออกมาจากพันธนาการ
“แล้วฉันจะทำยังไง ฉันควบคุมได้แต่น้ำเท่านั้น”
ฟังข้าให้ดี…..วิธีที่จะช่วยบุตรแห่งฮาเดสได้ก็คือ….
-------------------------------------------
“คริส....แม่ต้องช่วยลูกให้ได้”หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เธอวางสายจากชานยอลไปได้ไม่นาน ก่อนที่เธอจะรีบร้อนขึ้นไปยังห้องที่อยู่ชั้นสองของบ้าน แล้วนำกล่องใส่สร้อยสีดำสนิทที่ฝังโลหะรูปหัวกะโหลกออกมา....
สร้อยสีเงินยวงมีจี้ทำจากเพชรรูปหยดน้ำซึ่งภายในอัดแน่นด้วยของเหลวสีใส ปรากฏแก่สายตาของเธอ ฉับพลันนั้นน้ำตาก็ลื่นไหลเอ่อท้นอยู่ที่ขอบตาสวย สำหรับเธอมันไม่ได้เป็นเพียงแค่สร้อย แต่มันเป็นของล้ำค่า ของดูต่างหน้าที่ไม่มีวันทดแทนหรือบั่นทอนความคิดถึงที่มีให้กับเจ้าของสร้อยเส้นนี้ได้เลย ซ้ำยังอาจจะตอกย้ำถึงโชคชะตาที่ต้องพลัดพรากให้หัวใจบอบช้ำตรอมตรม
มันเป็นของเพียงสิ่งเดียวที่ฮาเดสให้ไว้กับเธอก่อนจะจากลา
หยดน้ำตาแห่งความตาย
จี้ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของฮาเดสซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร และคะนึงหาของเทพเจ้า ของเหลวสีใสที่อยู่ภายในจี้คือหยดน้ำตาของเทพเจ้าที่หลั่งรินออกมาเมื่อครั้งต้องจากกัน พลังของจี้สามารถปกป้องเธอจากวิญญาณร้าย เปรียบเสมือนมีฮาเดสคอยปกป้องและสามารถนำเธอลงไปในนรก ในดินแดนที่เขาเป็นเจ้าของ ในสถานที่ที่แยกทั้งคู่ออกจากกัน เพื่อกลับไปพบเขาอีกครั้งหากเธอต้องการ
แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยกล้าเสี่ยงใช้มันเลย แม้ในนรกจะมีช่วงเวลาที่เพอเซโฟเน่ ชายาของฮาเดสไม่อยู่เพราะต้องขึ้นมาบนโลกมนุษย์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าลงไปหาฮาเดส เพราะเธอกลัวว่าหากได้พบกับเทพเจ้าอีกครั้งจะทำให้เธอไม่อาจหักห้ามใจให้ลาจากกันได้อีกครั้ง และสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือหากเพอเซโฟเน่ล่วงรู้เข้า อาจจะโกรธเกรี้ยวและทำร้ายลูกของเธอ ของล้ำค่าเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่อาจให้ใครมาทำลายได้ เพราะเขาคือแก้วตาดวงใจ คือชีวิตทั้งหมดที่เธอมี
แต่ตอนนี้แก้วตาดวงใจของเธอกำลังจะแตกสลายเพราะถูกทำร้ายและทารุณ เธอยอมให้ลูกของเธอทุกข์ทรมานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และไม่ว่าการลงไปในนรกในช่วงที่เพอเซโฟเน่ยังประทับอยู่ตอนนี้จะเสี่ยงมากเพียงใด เธอก็จะทำ ขอแค่ช่วยคริสได้ ขอแค่คริสปลอดภัย ส่วนตัวเธอนั้นจะเป็นอย่างไร เธอไม่สนใจ...
ที่สุดของชีวิต
ที่สุดของหัวใจ
ที่สุดของแม่......มีแต่ลูกคนเดียว
เธอกำสร้อยแน่นจนข้อนิ้วซีดก่อนจะรีบใส่สร้อย หยาดน้ำตาแห่งความกังวลและหวาดกลัวพรั่งพรูออกมาเป็นสาย ภาพของคริสที่กำลังทุกข์ทรมานค้างติดอยู่ในทุกห้วงคำนึง เธอจะปล่อยให้ลูกของเธอทุกข์ทรมานอย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอจะต้องไปช่วยเขาให้เร็วที่สุด
“แม่จะต้องช่วยลูกให้ได้”เธอพูดก่อนจะปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆแล้วรีบลงมารอชานยอลยังชั้นล่าง
สองตาชะเง้อชะแง้มองหาร่างโปร่ง ก่อนจะเห็นแผ่นหลังไวๆที่อยู่ไกลออกไปจากบริเวณหน้าบ้านไม่มากนัก เธอรีบร้อนวิ่งเข้าไปหา ก่อนจะพบว่าชานยอลกำลังยืนคุยอะไรบางอย่างอยู่กับเพกาซัสสีขาวสะอาดตาที่เธอจำได้ว่ามันเป็นลูกของโพไซดอนกับเมดูซาและถือเป็นญาติห่างๆกับชานยอล
“ขอบใจมาก เพกาซัส”เสียงร่างโปร่งเอ่ยขอบคุณกับเพกาซัสด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ ก่อนที่เจ้าม้าจะเหลือบตามามองผู้มาใหม่แล้วจึงหันกลับไปหาชานยอลแล้วเอ่ยตอบที่เธอฟังได้เป็นเพียงแค่เสียงม้าร้อง ร่างโปร่งพยักหน้ารับก่อนที่เจ้าม้าจะสยายปีกแล้วโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ชานยอล เราต้องรีบไปกันแล้ว”เธอพูดก่อนจะจับมือชานยอล ดวงตากลมโตสบกับความแวววาวของจี้เพชรที่อยู่ที่ลำคอระหงส์ของเธอก่อนจะเอ่ยถาม
“สร้อยนั่นฮาเดสให้มาหรอครับ”
“ใช่ มันคือตัวแทนของฮาเดส สามารถพาเราไปถึงที่ทาทาร์รัสได้”ชานยอลพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“งั้นเราก็รีบไปกันเถอะครับ”ป้าของเขาพยักหน้าก่อนจะจับสร้อยเอาไว้แล้วเปล่งเสียงออกคำสั่ง
“พาพวกเราไปที่ทาทาร์รัส”เฉียบพลันนั้นความมืดก็แผ่คลุมไปทั่วบริเวณจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างถูกบดบังด้วยความมืดมิดอนธการ ก่อนที่มุมหนึ่งของห้องจะปรากฏหมอกควันสีเทาที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ร่างๆหนึ่งปรากฏกายออกมาฝ่าม่านหมอก
ม้าโครงกระดูกที่มีดวงตาอัดแน่นไปด้วยหมอกควันมอบลงแทบเท้าของทั้งสอง และทันทีที่พวกเขาขึ้นขี่มัน มันก็ออกวิ่งทะลุกำแพงไปอย่างรวดเร็วจนภาพที่เห็นกลายเป็นเพียงแค่เส้นสีหลากสีสันที่หลวมรวมกัน โดยอีกด้านหนึ่งของกำแพงคือเส้นทางอันเวิ้งว้างที่มืดมิดไร้แสงไฟใดๆ ทุกอย่างรกร้างและเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายและอับชื้นไปด้วยซากเน่าเปื่อยต่างๆที่ทับถมกันมาหลายร้อยล้านปี กีบเท้าของม้าควบไปตามทาง ทุกครั้งที่แตะถูกพื้นดิน หมอกควันสีเทาก็จะลอยทิ้งไปข้างหลังตามทางที่ผ่านมา
หวีด หวิว หวิว
เสียงดวงวิญญาณพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขาหมายที่จะทำร้าย แต่ทันทีที่พวกมันจะได้สัมผัสร่างของคนทั้งสอง จู่ๆสร้อยก็สว่างวาบ พวกวิญญาณรีบลอยออกห่างหนีออกไปไกล แล้วปล่อยให้พวกเขาไปตามทางโดยที่พวกมันได้แต่มองตามด้วยความพรั่นพรึง
ชานยอลเหลียวหลังกลับไปมองพวกวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง แล้วเหลือบมองสร้อยของป้าของเขาด้วยความทึ่งระคนแปลกใจ ก่อนที่เขาจะถูกเรียกร้องความสนใจจากสองข้างทางที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ทางที่เคยรกร้างถูกแทนที่ด้วยหนามแหลมคม อุณหภูมิที่เคยหนาวเย็นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนร้อนอบอ้าว สะเก็ดไฟที่ลอยปะทุขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งไฟปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ที่เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นเงาของหอคอยที่เลือนรางอยู่ท่ามกลางม่านหมอก เสียงกรีดร้องและโหยหวนดังสอดประสานกับเสียงผู้คุมและการลงทัณฑ์ดังระงมมาให้ได้ยิน ที่ยอดของหอคอยมีสัตว์มีชีวิตบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ชานยอลมองตามขึ้นไปด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ หัวใจดวงน้อยภาวนาว่าขออย่าให้คริสอยู่บนนั้นเลย อย่าให้คริสถูกทำโทษ ณ ที่แห่งนั้นเลย เพราะที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กคือ ยอดหอคอยเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับลงโทษนักโทษที่ทำบาปร้ายแรง และบทลงโทษที่สั่งสอนก็รุนแรงและทุกข์ทรมานมากด้วย...
“คริสอยู่บนนั้น รีบหน่อยได้มั้ย”ทันทีที่ป้าของเขาพูดจบหัวใจของเขาก็หล่นวูบ คริสอยู่บนยอดหอคอยนั่น อยู่บนสถานที่ที่อันตรายที่สุด และกำลังรับโทษที่หนักหนาสาหัสที่สุด
หยาดน้ำใสคลอหน่วงอยู่ที่เบ้าตา แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับร่างสูง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่นึกโทษตัวเองที่ทำให้คริสต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเขา หากเขาคิดถึงคนอื่น และเลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้งให้ได้มากกว่านี้ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น คนอื่นคงไม่ต้องมาทรมานแบบนี้
พรึ่บ พรึ่บ หวิว หวิว
เสียงตัวอะไรบางอย่างกระพือปีกเสียงดังก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามาหาพวกเขาด้วยความฉับไว
“พวกเจ้าเป็นใคร!!!”มันกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวและดุร้าย
“หลีกไป!!!”ป้าของเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนและติดรำคาญ เพราะนี่ไม่ใช่เวลาของเจ้าอสูรตัวนั้น แต่เป็นของคริส ของคริสคนเดียวเท่านั้น
“ฝันไปเถอะ!!!”มันคำรามก่อนจะพุ่งเข้ามาเตรียมจะใช้กงเล็บตะปบพวกเขา เฉียบพลันนั้นจี้ก็สว่างวาบ มันรีบถอยห่างออกไปได้แต่กระพือปีกค้างอยู่กลางอากาศ แล้วปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปข้างในเหมือนยามโง่ๆคนหนึ่งที่ปล่อยให้โจรเข้าไปในเขตหวงห้าม
จากนั้นม้าโครงกระดูกก็วิ่งเข้าไปใกล้ยอดหอคอยมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไร เสียงการลงโทษก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น หากแต่ไร้เสียงโอดครวญหรือทุกข์ทรมานของผู้ถูกลงโทษจนหัวใจของชานยอลสั่นสะท้าน หัวสมองขบคิดไปต่างๆนานา ว่าร่างสูงจะเป็นอย่างไร ตายแล้วหรือเปล่า หรือจะเจ็บปวดจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้
“เจ็บจนไม่มีเสียงพูดแล้วงั้นเรอะ ท่านคริส!!!”เสียงอสูรกายตัวหนึ่งพูดก่อนจะตามมาด้วยเสียงคล้ายการฟาดแส้ลงกับอะไรบางอย่าง
“คริส!....”ป้าของเขาแผดเสียงดังลั่น
“ใคร!!!”อสุรกายตัวนั้นกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะบินพุ่งออกมาทางทั้งสอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ม้าโครงกระดูกวิ่งถึงยอดหอคอยพอดี เฉียบพลันนั้นร่างของฟิวรี่ตัวนั้นก็ถูกโล่ที่มองไม่เห็นผลักกระเด็นออกไปไกล ฟิวรี่ตัวอื่นที่เห็นอย่างนั้นต่างพากันกรูเข้ามาหาหมายจะทำร้าย แต่ทันทีที่มันเห็นสร้อยมันก็รีบหมอบลงทำความเคารพแล้วหลีกทางให้แต่โดยดี
“นั่น....ใคร”เสียงคริสที่แหบแห้งดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งสองท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
“คริส...”ป้าของเขาเรียกชื่ออีกคนด้วยน้ำเสียงสั่น ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีที่ได้เห็นร่างของคริสกับตา ....
ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกแส้ฟาด ตามรอยแผลมีเปลวไฟลุกโชน ผิวเนื้อคล้ำดำเพราะถูกพิษ เล็บถูกตอกออกทั้งหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยกรีดจากกงเล็บ แก้มด้านหนึ่งถูกเลาะหนังออกจนเห็นแต่กล้ามเนื้อ และดวงตาที่ปิดสนิทและโชกเลือดเพราะถูกควักลูกตาออกมา
“คะ คริส...”ชานยอลเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหายไปในพริบตา หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ สิ่งที่เห็นตรงหน้าร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนดูได้ และหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะยอมรับว่าทั้งหมด.....เป็นเพราะเขา
คริสขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่หูตัวเองได้ยิน ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพึมพำออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงอ่อนแรงและโรยรา
“นี่ฉัน.....กำลังจะตาย....อีก...รอบแล้วใช่มั้ย....ถึงได้ประสาท.....หลอน”
“นะ น่ะ นี่...นี่...ฉันเอง”ชานยอลพูดตะกุกตะกัก คริสขมวดคิ้วอีกครั้งราวกับกำลังใช้สมองที่อ่อนล้าเต็มทีของเขาประมวลและเชื่อมโยงเหตุผลว่าผู้พูดเป็นใคร ก่อนที่เขาจะมีท่าทีตกใจแล้วโถมตัวมาข้างหน้าพร้อมกับแผดเสียงดังเมื่อรู้ว่าใครมา
“มาทำอะไรที่นี่ เป็นบ้าไปแล้วรึไง กลับไปซะ!!!”คริสแผดเสียงออกมาจนเกินขอบเขตที่ร่างกายตัวเองจะทานทน ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งและฟังดูทรมาน ในขณะที่ชานยอลได้แต่ทรุดนั่ง หยาดน้ำตาหลังรินออกมาเป็นสาย มองภาพเบื้องหน้าอย่างเจ็บปวด เขากำลังทำให้คนคนหนึ่งต้องทรมานถึงขนาดนี้เลยหรอ ทำให้ผู้ชายที่สูงศักดิ์คนนั้นกลายเป็นเพียงแค่นักโทษชายที่ไร้ค่าคนหนึ่งเลยอย่างนั้นหรอ นี่เขาทำอะไรลงไป...
“คริส...ยะ อย่า พูด”ป้าของเขาร้องห้ามเพราะเจ็บปวดที่เห็นลูกทรมาน ร่างสูงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ป้าของ....นายหรอ กลับไป! ออกไป...แค่ก จากที่นี่ซะ!!!”คริสอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนจะหอบหายใจหนักอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกุมหัวใจตัวเองเอาไว้แน่นราวกับขีดจำกัดของร่ายกายเขาใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว
“ยะ อย่าพูด หยุดพูดนะ”ชานยอลร้องห้าม หัวใจของเขาปวดหนึบโดยไม่รู้สาเหตุ รู้เพียงแต่เขาทนไม่ได้จริงๆหากต้องฟังเสียงที่ทรมานอย่างนั้น เพราะมันเหมือนคริสกำลังเจ็บปวด กำลังทรมาน และทุกข์ทน
“กลับ....แค่ก แค่ก กลับไป!!!”คริสยกมือขึ้นป้องปาก ก่อนที่เลือดและคราบของเหลวสีดำจะเลอะเต็มมือของเขา
“คริส หยุดพูดเถอะ หยุดพูดนะ ขอร้อง เราหนีกันเถอะ คริส ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”ป้าของเขาร้องบอกก่อนจะถลาเข้าไปโอบกอดร่างที่ถูกตรึงอยู่ที่เสาอย่างไม่นึกรังเกียจร่างกายอันเน่าเฟะและสภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้น
ร่างสูงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงเป็นช่วงๆ
“กลับ.....ซะ แค่ก แค่ก”
“ขอร้องล่ะ! หยุดเถอะ กลับไปกับเราเถอะ”ชานยอลร้องห้ามอย่างเหลืออด เมื่อเขาทนเห็นคริสทรมานอย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
น้ำเสียงที่สั่นพร่าของร่างโปร่งดึงความสนใจของร่างสูงให้หันไปหา ดวงตาที่ควรจะจับจ้องมาที่เขากลับถูกปิดสนิทและเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมา ชานยอลรีบยกมือขึ้นปิดปากปิดกลั้นเสียงสะอื้น ภาพที่เห็นมันโหดร้ายเกินไป คริสน่าสงสารเกินกว่าที่เขาจะเย็นชาได้
“กลับกันเถอะนะคริส”ป้าของเขาพูดก่อนจะปลดโซ่ตรวนเหล่านั้นออกไป ทันทีที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ร่างของคริสก็ล้มลงมากองกับพื้น โชคดีที่ป้าและเขาช่วยพยุงตัวไว้ได้ทัน
“แค่ก แค่ก.....ถ้าหลุดจากโซ่...ร่างกาย...ไม่....คืนสภาพ”
“ว่าไงนะ”ป้าของเขาอุทานด้วยความตกใจ เพราะถ้าร่างกายไม่ฟื้นฟูสภาพแล้วนั่นเท่ากับว่าต่อให้ช่วยไปยังไงก็ไร้ผล ซ้ำยังทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม เพราะร่างสูงจะตายอย่างช้าๆจากการทนพิษบาดแผลไม่ไหว
“ผม ผมมีวิธี...”ชานยอลเอ่ยบอก ก่อนจะนึกถึงคำแนะนำของเพกาซัส
วิธีที่จะรักษาบาดแผลของคริส จำเป็นต้องใช้น้ำที่มาจากแม่น้ำทุกสายในนรกได้แก่ โคไซทัส แม่น้ำแห่งความกำสวล เฟลจีธอน แม่น้ำแห่งไฟ เลธี แม่น้ำแห่งการลืมเลือน และสุดท้าย สติกซ์ แม่น้ำแห่งความเกลียดชัง เพื่อสมานแผลจากเปลวไฟและชะล้างพิษของไฮดราซึ่งสถานที่ที่รวมสายน้ำทั้งห้าเอาไว้คือทะเลสาบอคีรูเซียนจุดที่แม่น้ำทุกสายมาบรรจบกันซึ่งอยู่ในนรกทาทาร์รัส
“เราต้องพาเขาไปที่ทะเลสาบอคีรูเซียน”ร่างโปร่งเอ่ยบอกก่อนที่ป้าของเขาจะออกคำสั่งเรียกม้าโครงกระดูกนั้นกลับมา
“พาพวกเราไปที่ทะเลสาบอคีรูเซียน”เฉียบพลันนั้นจี้ก็สว่างวาบ ม้าโครงกระดูกปรากฏกายขึ้นที่ริมหอคอยอีกด้าน ก่อนที่คริสจะถูกพยุงขึ้นไปบนหลังม้า แล้วมุ่งตรงไปสู่จุดหมายของการเดินทาง
ร่างสูงปรือตามองอย่างไม่เข้าใจ ม้าตัวนั้นเป็นของฮาเดส แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เรียกใช้มันได้กัน คริสได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้น แต่สมองของเขาก็ล้าเกินกว่าที่จะขบคิดอะไรได้ สุดท้ายจึงปล่อยให้ความผิดปกตินี้เลยผ่านไปโดยไม่คิดจะค้นหาคำตอบให้กับคำถามในครั้งนี้...
ม้าโครงกระดูกควบไปตามเส้นทางที่ห่างไกลจากคุกแห่งทาทาร์รัสออกไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพรอบด้านแปรเปลี่ยนจากที่รกร้างกลายเป็นหุบเขาลาดชันที่เบื้องล่างมีแม่น้ำแห่งไฟไหลอยู่ ประกายไฟปะทุขึ้นจนควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม่น้ำไหลเชี่ยวจนน้ำกระเด็นขึ้นมายังเบื้องบน ชานยอลรีบสะบัดมือออกแรงควบคุมสายน้ำที่ดื้อด้านต่ออำนาจของเขาอย่างสุดกำลัง เพื่อคุ้มครองคนอื่นๆจากประกายความร้อนระอุของหยาดน้ำแห่งไฟ และยิ่งพวกเขาเดินทางไปได้ไกลมากเท่าไร ความปั่นป่วนของแม่น้ำและสภาพอากาศก็ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนร่างโปร่งเริ่มเหนื่อย แต่เมื่อหันกลับมามองร่างของคริสที่สั่นสะท้านและเริ่มพึมพำไม่มีสติเขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง คริสเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องช่วยร่างสูงให้ได้
“อดทนนะ”ชานยอลพูดออกมาเบาๆ เพิ่งรู้ว่าการเห็นคนคนหนึ่งกำลังจะตายจะทำให้เขาสงสารและลดอคติของตัวเองลงได้มากถึงขนาดนี้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาก็ตาม
“อืม”เสียงครางทุ้มต่ำที่เบาจนฟังแทบไม่ได้ยินถูกเอ่ยออกมาจากร่างสูง ก่อนที่มือหนาจะกุมมือของเขาเอาไว้ ร่างโปร่งเหลือบตามองดู ก่อนจะปล่อยให้คริสกุมมือของเขาต่อไปโดยไม่พูดอะไร
การเดินทางผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะฝีเท้าของม้าที่ควบเร็วจนเกิดควันลอยออกมา แม่น้ำแห่งไฟที่กว้างใหญ่ค่อยๆขยายออกกว้างขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันใกล้จะไปบรรจบกับแม่น้ำสายอื่นๆ และยิ่งใกล้ถึงปลายทางมากเท่าไร บรรยากาศรอบๆก็เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ สายลมกรรโชกที่เกิดจากการปะทะกันของความความกดอากาศต่ำกับความกดอากาศสูงพัดโหมอย่างหนักจนซัดเอาก้อนหินตกลงมา โชคดีที่ม้าโครงกระดูกหลบไปได้อย่างหวุดหวิด เสียงโหยหวน และกรีดร้องของดวงวิญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเขย่าประสาทให้สั่นคลอนจนเสียสมาธิ ก่อนที่ความโกลาหนทุกอย่างจะหลวมรวมกัน ณ จุดบรรจบของแม่น้ำทั้งห้าสาย
พายุเฮอร์ริเคนขนาดยักษ์ที่มีตัวกลางเป็นแม่น้ำทั้งห้าหมุนวนเป็นวงกว้างอยู่ที่จุดบรรจบของแม่น้ำจนเกือบจะกลืนกินพวกเขาเข้าไป ชานยอลมองภาพตรงหน้าก่อนจะกลั้นหายใจ คลื่นความตกใจถาโถมสู่จิตใจก่อนจะพัดกระพือจนแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว เขาไม่เคยเจอพายุเฮอร์ริเคนขนาดใหญ่และเกรี้ยวกราดมากขนาดนี้มาก่อน มันอันตรายและชั่วร้ายมากจนเขาไม่มั่นใจว่าจะฝ่าพายุเข้าไปถึงใจกลางแล้วนำน้ำมารักษาคริสได้รึเปล่า
“ชานยอล ช่วยคริสที”เสียงป้าของเขาร้องขอเมื่อร่างของคริสเริ่มซีดขาวไร้สีเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างโปร่งเม้มปากแน่น ก่อนจะเหลือบมองมือที่กุมกันเอาไว้ มือของคริสเย็นเฉียบและเปราะบางเกินไป อีกไม่ช้าร่างของสูงจะต้องแตกสลายแน่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องช่วยคริสไว้ให้ทันเวลา...
“ครับ....”เขารับคำสั้นๆก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้า
ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่พายุ ก่อนจะหลับตารวบรวมสมาธิเพื่อเรียกความกล้ากลับคืนมา จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นควบคุมสายน้ำ แม่น้ำทั้งห้าไหลเชี่ยวกราดอย่างบ้าคลั่งต่อต้านพลังของเขาอย่างสุดกำลัง
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เจ้าควบคุมพวกข้าไม่ได้หรอก
เสียงของสายน้ำสบประมาทร่างโปร่งจนเขย่าความเชื่อมั่นของเขาให้สั่นคลอนจนเกือบพังทลายลงมา
เจ้ามันอ่อนแอ
เจ้ามันอ่อนแอ
เจ้ามันอ่อนแอ
ชานยอลระส่ำระส่าย เริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองราวกับสติส่วนหนึ่งของเขากำลังถูกชักจูงด้วยคำพูดของจิตวิญญาณแห่งสายน้ำพวกนั้น แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นร่างของคริสที่นอนสลบอยู่ พลังใจของเขาก็กลับคืนมา เขาต้องทำให้ได้ ต้องช่วยคริสให้ได้
ใครว่าฉันทำไม่ได้...
“ในนามของข้า บุตรแห่งโพไซดอน ขอสั่งให้น้ำทุกหยาดหยด ณ ที่แห่งนี้ จงเชื่อฟังข้า!!!”ดวงตาสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสุกใสที่แฝงแววดุดัน พายุที่อยู่เบื้องหน้าวูบไหวสั่นคลอน คลื่นความวุ่นวายและโกลาหลคลุ่มคลั่งไปทั่วบริเวณ ชานยอลออกแรงควบคุมพวกมันมากขึ้นไปอีก ก่อนที่พายุจะค่อยๆอ่อนกำลังลง แม่น้ำทั้งห้าพุ่งกระฉูดขึ้นสูงถึงม่านหมอกด้านบน ก่อนที่มันจะถูกร่างโปร่งบังคับให้บางส่วนไหลไปหาร่างของคริส
สายน้ำห่อหุ้มร่างสูงเอาไว้ราวกับฟองอากาศที่ปิดกั้นเขาออกจากภายนอก เพื่อรักษาตัวเขาให้หายจากบาดแผลภายในแคปซูลน้ำ และทันทีที่หยดน้ำหยดสุดท้ายห่อหุ้มร่างของคริส ชานยอลก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที สายน้ำทั้งหมดกระแทกลงสู่เบื้องล่าง จนสาดกระเซ็นขึ้นมาถึงด้านบน
“ชานยอล!!”ป้าของเขาอุทานเสียงดัง ก่อนจะวิ่งเข้ามาพยุงร่างของเขา
“ผม....ไม่เป็น...ไร”ชานยอลตอบเสียงอ่อนแรง เพราะเสียพลังไปกับการควบคุมสายน้ำจนเกือบหมด
“พักก่อนเถอะ ลูกจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”
“มะไม่....พาคริสขึ้นข้างบนเถอะ....ครับ”ชานยอลตอบก่อนจะค่อยๆเดินไปหาร่างของคริสโดยไม่สนใจคำทัดทานของป้าของเขา จนสุดท้ายหญิงวัยกลางคนต้องยอมทำตามความตั้งใจของชานยอล เธอพยุงชานยอลขึ้นบนหลังม้า ก่อนจะปีนตามขึ้นไป แล้วควบม้ากลับไปตามทางที่มา โดยจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้คือโลกมนุษย์
พวกเขาทั้งสามค่อยๆห่างไกลออกไปจากนรกทาทาร์รัสมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตลอดทางแทบไม่มีวิญญาณร้ายหรือปีศาจตนไหนเข้ามากร่ำกรายหรือแม้แต่เฉียดเข้าใกล้ พวกมันดูหวาดกลัวและตื่นตระหนกจนผิดปกติเกินกว่าที่ควรจะเป็น ราวกับสิ่งที่ทำให้มันพรั่นพรึงได้ไม่ใช่เพียงแค่สร้อยเส้นนั้น แต่เป็นใครอื่นที่ทรงอนุภาพยิ่งกว่านั้น..
กลิ่นไออะไรบางอย่างค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของป้าของชานยอล แม้จะไม่ได้กลิ่นนี้มานานหลายสิบปี แต่เพียงแวบเดียวเธอก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร…
กลิ่นไอของเทพเจ้า
กลิ่นไอของฮาเดส
เธอเหลียวหลังกลับไปมองยังที่ที่จากมาก่อนจะสบตาเข้ากับชายร่างสูงที่เธอไม่ได้เห็นมานานแสนนาน เฉียบพลันนั้นความคิดถึงและคะนึงหาก็แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ เทพเจ้าสบตาเธอด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์และคะนึงหา ริมฝีปากหนาแย้มยิ้มอบอุ่นให้ ก่อนที่เธอจะยิ้มตอบแล้วก้มศีรษะให้แล้วหันกลับไปเพื่อรับแสงสว่างปากทางออกสู่โลกมนุษย์โดยมีสายตาของเทพเจ้ามองส่งตามไป
“ท่านจะไม่ตามไปหรือ”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเทพเจ้า
“ไม่….” องค์เทพเอ่ยตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะค่อยๆเรือนลางหายไปพร้อมกับการกลับไปของบุคคลอันเป็นที่รักของเทพเจ้า
การลงทัณฑ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว บุตรแห่งข้าได้รับบทเรียนราคาแพงจากการกระทำของเขาแล้ว ลาก่อน แสงสว่างของข้า ความงดงามและแข็งแกร่งของเจ้าจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของข้าไปตลอดกาล…