“คริส…”มาธาร์และฮาเดสเอ่ยชื่อลูกด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวหัวใจกำลังจะแตกสลายเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของลูกชายแท้ๆ
ร่างสูงนั่งนิ่ง ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้น นึกอยากย้อนเวลากลับไปถึงตอนที่เทพซุสยังไม่มา และเขายังไม่รู้ความจริงอันน่าเจ็บปวดทั้งหมดนี้
เพราะหลังจากที่ฮาเดสย้อนเวลาไปได้เพียงชั่วครู่ๆห้องทั้งห้องก็สั่นสะท้าน ท้องทะเลปั่นป่วนบ้าคลั่ง เขารู้ได้ทันทีว่ามีเทพกำลังจะมาเยือน โพไซดอนปรากฏกายขึ้นที่มุมห้อง สมุทรเทพตรงดิ่งเข้าช่วยลูกชาย เทพเจ้านำไข่มุกที่ชานยอลพกติดตัวไว้ออกมา ก่อนจะเปล่งถ้อยคำศักดิ์สิทธิแห่งท้องทะเล ฉับพลันนั้นอัญมณีก็สว่างวาบกลายเป็นลูกแก้วสีใสที่ภายในมีสายพลังแห่งท้องทะเลอัดแน่นอยู่ในนั้น จากนั้นเส้นสายสีน้ำเงินเรืองแสงก็พ่วงพุ่งออกมา ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปในร่างของชานยอล และทันทีที่แสงสุดท้ายลับสาย เทพเจ้าก็หันมามองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นเต็มไปด้วยแรงโทสะ จนท้องทะเลภายนอกปั่นป่วน พื้นชายหาดสั่นไหว สมุทรเทพเงื้อตรีศูลหมายสังหาร เฉียบพลันนั้นทั่วทั้งบริเวณก็ส่งเสียงกึกก้องกัมปนาทของสายฟ้า ก่อนที่ซุสจะปรากฏตัวเข้าหยุดยั้งสมุทรเทพ
“ข้ามีธุระกับเด็กคนนี้”ซุสเปล่งเสียงทรงพลังจนห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน และเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังชี่ๆ ท้องทะเลโดนกระแสลมที่บ้าคลั่งเข้ากำราบ
“แต่มันทำให้ลูกข้าต้องเป็นอย่างนี้!!!”
“ข้าจะให้เจ้าฆ่าเขาแน่ หากเจ้ายังคงเจตนา หลังจากที่ข้าย้อนอดีตเสร็จแล้ว”
“ท่านหมายความว่าไง”คริสเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มหาเทพหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยตอบ
“มันถึงเวลาที่เจ้าควรรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างควรจะจบได้แล้ว” เขาไม่มีโอกาสได้ถามว่ารู้เรื่องราวอะไร และทำไมเขาจะต้องรู้ เมื่อเมฆพายุลายล้อมรอบตัวเขา ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีควันบุหรี่ ก่อนที่เขาจะมาอยู่ในสถานที่ที่ต่างออกไป และค่อยๆได้รับรู้เรื่องราวอันน่าเจ็บปวดของตัวเอง…
แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมแม่ยังมีชีวิต แต่เพียงรู้ว่าเธอยังอยู่ และเขาก็เผลอทำร้ายเธอไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้หัวใจดวงนี้พังทลายลงมาจนไม่เหลือชิ้นดี ได้แต่เฝ้าถามตัวเองอย่างเจ็บปวดว่า ที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไป…
เขาทำร้ายคนที่รักเขาลงไปได้ยังไง
ดวงตาคมที่อับแสงก้มมองมือที่สั่นเทาของตัวเองอย่างปวดร้าว ภาพในอดีตไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา เขาทำร้ายแม่แท้ๆด้วยมือคู่นี้ มือคู่ที่แม่เฝ้าเพียรรักษามาตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง และต่อว่าเสียดสีเธอด้วยริมฝีปากนี้ ริมฝีปากที่แม่มอบให้ทั้งหมดของร่างกายที่ไว้ทำเรื่องเลวๆทั้งหลายที่ผ่านมาคือของแม่ หญิงผู้ที่รักเขายิ่งกว่าสิ่งใด แต่เขากลับทรยศหักหลังเธอด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจ
เนรคุณ….
อกตัญญูจนเกินกว่าจะให้อภัย
“ผม…..”คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไป หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาจากดวงตาคู่นั้นเงียบๆ ไร้การสะอื้น ไร้เสียงคร่ำครวญ แต่กับกึกก้องไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเศร้า บุตรแห่งฮาเดส เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”มหาเทพซุสเปล่งวาจาทรงพลัง ห้องทั้งห้องส่งเสียงดังชี่ๆของประจุไฟฟ้าที่แล่นแปลบโอบล้อมทั้งห้องอยู่
“มันเป็นความผิดของข้า”ฮาเดสเอ่ยด้วยความสำนึกผิด สีหน้าหม่นหมองเคล้าทุกข์อย่างที่เทพเจ้าผู้เย็นชาผู้นี้ไม่เคยแสดงออกมา หัวใจที่แข็งแกร่งประดุจเพชรกับร้าวราน เมื่อวงจรความเศร้านี้ เกิดจากเขาเพียงคนเดียว
“เปล่าเลย….”ซุสเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“มันเป็นความผิดของพวกเจ้าทั้งสามคน ที่ทำผิดต่อเด็กคนนี้”ดวงตาทรงพลังเหลือบมองคริสที่ก้มหน้านิ่งด้วยแววตาเห็นใจ โศกนาฏกรรมของผู้ใหญ่สามคนทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งป่นปี้แหลกลานและไร้ซึ่งหลักยึดเหนี่ยวในชีวิต จะเป็นเช่นไรเมื่อเราต้องใช้ความแค้นล่อเลี้ยงหัวใจ จะขมขื่นเพียงใดหากความรักเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน จะทุกข์ทมเท่าไรหากศรัทธายังไม่มีให้เชื่อถือ และจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไรเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด…….นั้นสูญเปล่า
ช่างน่าเวทนา
ผู้ชายคนนี้ช่างน่าเวทนา…
“คริส….แม่ แม่ ….ขอโทษ…”เธอพูดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมา ก่อนจะสาวเท้าไปหาลูกชายอย่างยากลำบาก เมื่ออาการบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายยังคงมีอยู่ แต่จะให้เธอทนนั่งอยู่เฉยๆได้อย่างไร เมื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงนั้นคือลูกของเธอ สมบัติล่ำค่าเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต…
“ผม….ผม ขะ…”คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกายไปด้วยก้อนสะอื้น หัวใจของเขาร้าวรานละอายเกินกว่าจะสบตาผู้เป็นแม่
“อย่าร้องไห้ อย่า…โอ๊ย”เธออุทานเสียงหลงเมื่อรู้สึกเจ็บที่ขาจนเกือบเสียหลักล้ม หากไม่มีคริสคอยจับไว้
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าคริส”สิ่งแรกที่นึกถึงไม่ใช่สุขภาพของตัวเองแต่เป็นของลูกชายที่เข้ามาช่วยพยุงไว้ ร่างสูงมองคนตรงหน้าก็จะยิ่งร่ำไห้ออกมา
“ไม่เป็นไร คริส….อย่าร้องไห้ ไม่…เป็นไร”ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยนและอบอุ่นกับเขา พร้อมกับฝ่ามือบางที่ปาดน้ำตาเขาออกช้าๆราวกับสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของเด็ก ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจนเกือบถึงแก่ชีวิต…
“ทำไม…คุณ….ถึงให้อภัยผม”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างต้องการหาคำตอบ คนถูกถามนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ก็เพราะเป็นลูกไง ………….ถึงให้อภัยได้ทุกอย่าง”ทำนบน้ำตาพังทลายลงมา หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย คำตอบที่ได้ยิน ทำหัวใจปวดหนึบ เพราะเป็นลูกถึงให้อภัยได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเกือบสังหารแม่ตัวเองตาย…
ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้า หมดซึ่งความเหย่อหยิ่ง ทระนงตนที่เคยรักษา เหลือแต่เด็กผู้ชายที่รู้สึกผิดบาปต่อผู้มีพระคุณอย่างถึงที่สุด
“ผมขอโทษครับ….”ร่างสูงเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“……..แม่”เฉียบพลันนั้นหยาดน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็ยิ่งไหลริน คำเพียงพยางค์เดียวที่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต เพียงคำเดียวที่ไพเราะยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงคำเดียวที่มีค่าสุดหัวใจ คือ คำว่าแม่ที่ลูกเอ่ยออกมา…
“คริส…..แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง ลูกไม่ได้ผิดอะไร”ร่างบอบบางของมาธาร์พยุงลูกชายขึ้นยืน มือบางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอีกฝ่าย แล้วดึงเขาเข้ามากอด ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นระริกลูบผมลูกชายเป็นการปลอบประโลม ความตื้นตันใจเต็มตื้นล้นหัวใจ กว่าสิบปีที่เธอวาดฝันถึงวันนี้ กว่าสิบปีที่รอคอยวันพบหน้า กว่าสิบปีที่เฝ้าภาวนา ในที่สุดวันนี้มันก็เป็นจริง วันที่ลูกชายเรียกเธอว่าแม่ และเธอได้โอบกอดเขาไว้ในอ้อมอกเหมือนอย่างตอนนี้…
ชีวิตนี้เธอไม่ต้องการอะไรแล้ว…
แค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับแม่คนหนึ่ง
คริสได้แต่ยืนนิ่งร่ำไห้ในอ้อมกอดของหญิงผู้เป็นแม่ แม้เขาจะทำผิดมากแค่ไหนแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพร้อมจะอ้าแขนโอบกอดเขาไว้อยู่ดี ความรู้สึกผิดและละอายใจตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก อยากจะขอโทษเธออีกเสียพันครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตาถาโถมเข้าสกัดกั้น
“อย่าร้องไห้ คริส…ไม่เป็นไรนะ ลูก”เธอเอ่ยปลอบเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย จนร่างสูงยิ่งตื้นตัน
นี่หรือความห่วงใยของแม่
นี่หรือความรักของแม่
นี่หรือการเป็นแก้วตาของใครสักคน
ร่างสูงฝังใบหน้าซบกับไหล่อันบอบบางที่ดูยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของลูกคนหนึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีวันนี้ วันที่ได้กอดแม่ ได้รับความรักจากแม่ ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนหนึ่งมากขนาดนี้
“ผมขอโทษ….ผมขอโทษ”
“แม่ให้อภัยแล้ว อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ”ผู้เป็นแม่เอ่ยบอก ก่อนจะผละอ้อมกอดออกมาเล็กน้อย แล้วยกมือบางของเธอปาดน้ำตาให้เขาเบาๆ พร้อมกับฉีกยิ้มให้บางๆราวกับจะย้ำเตือนเขาว่าทุกอย่างไม่ร้ายแรง
“ข้าก็ให้อภัยเจ้าแล้ว บุตรเพียงคนเดียวของข้า”ฮาเดสเอ่ยเสียงเรียบแต่แววตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย
“ท่านพ่อ….”
“คนเป็นพ่อเป็นแม่ พร้อมจะอภัยให้ลูกได้เสมอ เมื่อลูกสำนึกผิด”
“ผมขอโทษ”ฮาเดสส่ายหน้าก่อนจะเปรยตามองร่างที่เคียงข้างโพไซดอน
“เด็กคนนั้นต่างหาก……ที่อยากฟังคำขอโทษของเจ้ามากที่สุด”ร่างสูงหันไปมองตามสายตาของผู้เป็นพ่อ ชานยอลยังคงนอนสลบอยูตรงนั้น
“บุตรแห่งโพไซดอน ผู้ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย”ฮาเดสเอ่ยต่อ คลื่นความรู้สึกผิดถาโถมสู่จิตใจของร่างสูงเมื่อชานยอลคือหลักฐานความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของเขา เขาทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่างชานยอลต้องย่อยยับ เพียงเพราะการแก้แค้นบ้าๆของตัวเอง ทั้งๆที่ร่างโปร่งอาจมีชะตาที่ดีกว่านี้หากไม่ต้องมาเจอเขา…
“ผมจะขอโทษเขาทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมา”คริสพูดด้วยเสียงสำนึกผิด ท่าทางระอาใจอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาฉายชัดบนใบหน้าที่แสนจะเหย่อหยิ่งของร่างสูง จนมหาเทพทั้งสามยังอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ เพราะบางครั้งคนเราทุกคนไม่ได้อยากเป็นคนเลว แต่สถานการณ์และเหตุปัจจัยต่างๆบีบบังคับ ให้ทำ และเมื่อคนหลงผิดเหล่านั้นกลับตัวกลับใจได้ อย่างน้อยก็ควรได้รับการให้อภัย
“แม่เชื่อว่าชานยอลจะต้องเข้าใจลูก”มาธาร์เอ่ยย้ำความมั่นใจให้ลูกชาย
“ผมขอให้เป็นอย่างนั้น”คริสเอ่ยตอบด้วยเสียงบางเบา หัวใจของเขาบอกช้ำจากการรับรู้เรื่องหนักๆมาตลอดทั้งวัน และกำลังจะแตกสลายหากชานยอลไม่ให้อภัยเขา…
หลังจากนั้นมหาเทพทั้งสามและเพอร์เซโฟเนก็แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตน ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงแค่มาธาร์ คริส และชานยอล ความอึดอัดแบบแปลกๆค่อยๆโรยตัวปกคลุมทั่วทุกอณูของพื้นที่ คริสไม่เคยชินกับการมีแม่ และยังปรับตัวกับความจริงที่เพิ่งรู้ไม่ค่อยได้ ทั้งจิตใต้สำนึกลึกๆก็ยังคงรู้สึกละอายกับสิ่งที่เคยทำลงไปอยู่ ดังนั้นการที่ต้องอยู่กับอีกฝ่ายอย่างนี้จึงทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
ร่างสูงเหลือบตามองหญิงผู้เป็นแม่เล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม บางครั้งเขาก็เกิดคำถามและเริ่มไม่แน่ใจ นี่เขามีแม่จริงๆแล้วงั้นหรือ ผู้หญิงตรงหน้าใช่แม่ของเขาจริงหรอ ทำไมถึงได้แตกต่างกับเขานัก เธอทั้งอ่อนโยน อบอุ่น และใจดี ต่างจากเขาที่แข็งกระด้าง เย็นชา และโหดร้าย นี่เขาเป็นลูกเธอจริงๆใช่มั้ย…
“คริส รู้สึกยังไงบ้าง เพิ่งฟื้นจากพิษไฮดรามานะ แม่ว่าลูกไปพักก่อนดีกว่ามั้ย คงอีกนานกว่าชานยอลจะฟื้น”เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างไม่รู้สึกกระอักกระอวน เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เธอรอคอยมากว่าสิบปีที่จะได้ทำหน้าที่ของแม่ให้กับลูกชายแท้ๆของตัวเอง
ร่างสูงที่ถูกถามชะงักงันไปชั่วครู่ การถูกใครสักคนหนึ่งเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องปกติในชีวิตของเขา ทั้งยังผิดวิสัยไปเสียเลยเมื่อคนที่เป็นห่วงคือแม่ของเขา
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรอชานยอลตื่นก่อน”
“งะ งั้นหรอจ๊ะ งั้นแม่จะอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”
“…..ครับ”คริสตอบรับอย่างแก่นๆ เขาไม่สามารถทำตัวตามปกติ และลืมความรู้สึกผิดและอาการอึดอัดอย่างน่าประหลาดอย่างนี้ได้จริงๆ
เมื่อไม่เคยมี พอมี มันก็ทำตัวไม่ถูก
ร่างสูงเลือกที่จะหันเหความสนใจกลับไปมองร่างที่นอนสลบอยู่บนเตียง แววตาคมคายที่มักจะเย็นชากลับเจือไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลจนคนรอบสังเกตอย่างมาธาร์รู้สึกได้ ลูกของเธอช่างเหมือนกับพ่อของเขาเสียจริง เย็นชาภายนอก แต่กลับอบอุ่นภายใน
เธอคลี่ยิ้มบางๆเอ็นดูในตัวลูกชาย จนฝ่ายถูกมองเหลือบตามามองเธอด้วยความสงสัย ระคนไม่เข้าใจว่าเธอยิ้มอะไร
“แม่ยิ้มที่ลูกเหมือนพ่อมากจริงๆ”ร่างสูงขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม
“ยังไงครับ”
“เย็นชาแค่ภายนอก แต่จริงๆแล้วเป็นคนอบอุ่น”คริสส่ายหน้าไม่เห็นด้วย พร้อมกับหันไปมองชานยอลก่อนจะเอ่ยตอบ
“บางทีผมอาจเย็นชาทั้งข้างนอกและข้างใน เพราะถ้าไม่ ผมคงไม่ทำอะไรบ้าๆอย่างที่ผ่านมา คงจะนึกถึงจิตใจคนอื่นมากกว่านี้” คนฟังถึงกับถอนหายใจ เมื่อลูกชายของเธอยังคงรู้สึกผิดอยู่
“เลิกคิดอย่างนั้นเถอะคริส ทุกอย่างมันเกิดจากความไม่รู้”เธอเอ่ยตอบ
“แต่ผมก็ไม่ควรจะดึงเขาเข้ามาเกี่ยว เพราะฉะนั้นผมไม่เหมือนพ่อหรอกครับ”เธอมองลูกชายด้วยความเป็นห่วงและเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“คริส….ถ้าลูกเย็นชาจริงๆ ลูกคงไม่รู้สึกผิด และคงไม่รู้จักคำว่ารักหรอก”ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ของตนอย่างไม่เข้าใจ….รัก…..เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ในเมื่อเขาไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมันเลยด้วยซ้ำ
“ลองคิดดูนะคริส ว่าที่ทำอยู่นี่แค่ต้องการการให้อภัย หรือเป็นเพราะห่วงใยเขากันแน่”มาธาร์เอ่ยบอกก่อนจะทิ้งให้คริสจมอยู่กับคำถามของเธอเพียงลำพัง
“ผมไม่รู้”คริสเอ่ยตอบเบาๆ เขาไม่รู้ว่าระหว่างการได้รับการให้อภัย กับการที่เห็นอีกคนฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยอย่างไหนสำคัญกว่าเขากันแน่ แต่เมื่อลองจินตนาการถึงชานยอลที่หลับใหล ไม่ตื่นขึ้นมา แค่เพียงคิดเท่านั้น หัวใจของเขาก็ปวดหนึบจนไม่กล้าจะคิดต่อ
อย่างนี้รึเปล่า ที่เขาเรียกว่ารัก…
เพราะทั้งชีวิตไม่เคยรักใคร จึงไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่นี่คืออะไร
ราวกับคนโง่
ราวกับเด็กน้อย
เมื่ออยู่ต่อหน้าความรัก
“คริส…”ชานยอลเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา ร่างสูงหันขวับกลับไปมองร่างที่นอนอยู่ทันที เปลือกตาบางที่ยังคงปิดอยู่วูบไหวไปมาก่อนที่จะค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ เฉียบพลันนั้นก้อนเนื้อที่หัวใจก็พองโต เต้นระรัวอย่างดีใจ
“ชานยอล”ร่างโปร่งขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก
“ตื่นแล้วหรอลูก”มาธาร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ ชานยอลพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“เป็นยังไงบ้าง//เป็นยังไงบ้าง”เสียงของคริสกับชานยอลประสานขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะหลบตา แล้วเสนอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดก่อน
“นายเป็นยังไงบ้าง”คริสเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่แววตาที่สื่อออกมากลับเต็มไปด้วยความห่วงใย จนมาธาร์อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ยังมึนนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย แล้ว….นายล่ะ”
“ก็ดีขึ้นแล้ว”
“อื้ม ดีแล้วล่ะ”แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ชานยอลนึกเรื่องคุยไม่ออก เพราะไม่ชินกับการพูดจาดีๆกับผู้ชายแห่งความตายคนนี้ ในขณะที่คริสเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นขอโทษชานยอลยังไง เมื่อเขาต้องเล่าเรื่องเท้าความเสียยืดยาว
“คริส…..มีเรื่องจะพูดกับชานยอลไม่ใช่หรอจ๊ะ”มาธาร์เปิดโอกาสให้คริสได้พูด ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะตอบรับสั้นๆ
“ครับ”
“งั้นแม่ออกไปเตรียมอาหารให้เราสองคนดีกว่า”เธอเอ่ยบอกเพื่อให้ทั้งสองมีโอกาสอยู่ด้วยกัน ก่อนจะลุกออกไปจากห้อง ชานยอลที่ได้ฟังสรรพนามใหม่ถึงกับเบิกตาโพล่งตกใจ ดวงตากลมจับจ้องไปที่ป้าของเขา ก่อนจะหันมามองร่างที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมถึง….”
“ฉันรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว”เฉียบพลันนั้นหัวใจดวงน้อยเหมือนถูกเยือกแข็งด้วยสุ้มเสียงของร่างสูง แม้ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องแต่เขาก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
ร่างสูงนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากลับหม่นหมองและคลอไปด้วยน้ำตา
“หลังจากที่นายสลบ เพอร์เซโฟเนกับฮาเดสมาที่นี่ พ่อของฉันพาเธอย้อนเวลากลับไปดูเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าซุสพาฉันเข้าไปด้วย” ชานยอลถึงกับพูดไม่ออก การรับรู้จากการบอกเล่าหรือผ่านตัวหนังสือ ย่อมไม่เจ็บปวดเท่ากับการไปเห็นภาพเหตุการณ์จริง เพียงแค่นึกว่าถ้าเขาเป็นคริส น้ำตามันก็พาลจะไหล แล้วคริสเองล่ะ จะรู้สึกยังไง…
“นาย….โอเคใช่มั้ย”
“ไม่…..ไม่เลยสักนิด” คริสหลับตาลงก่อนที่ภาพความทรงจำ และความรู้สึกต่างๆจะถาโถมเข้ามา เขาแก้แค้นพ่อที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง ฮาเดสยอมเป็นคนเลวในสายตาลูกตัวเอง เพื่อที่จะปิดบังความจริงว่าแม่ยังมีชีวิต และปกป้องเธอกับเขาจากเพอร์เซโฟเน เขาเกือบฆ่าแม่ตัวเองตายเพราะความไม่รู้ ทำเธอบาดเจ็บ เสียเลือด เสียน้ำตา ให้กับลูกเนรคุณอย่างเขา ทั้งๆที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองจะต้องเป็นลูกที่ดี ต้องแก้แค้นให้แม่ แต่สุดท้าย………..เขากลับกลายเป็นคนเลวที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ…..
เขาลากชานยอลเข้ามารับเคราะห์ ใช้เป็นเครื่องในการกระทำบ้าๆของตัวเอง ทั้งๆที่ร่างโปร่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ชานยอลควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ได้มีความสุข และใช้ชีวิตเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่เขากลับทำให้ชีวิตของชานยอลเละไม่เป็นท่า
“ฉันขอโทษ….”ร่างสูงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ขอโทษที่ลากนายเข้ามา ทั้งๆที่นาย…..” คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายไป เมื่อหยาดน้ำตาและความเศร้าตีตื้นขึ้นมาจุกอก ร่างสูงหลับตานิ่ง มือแกร่งที่วันนี้ดูเปราะบางกำแน่นอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ ความรู้สึกผิดและละอายใจต่อใครหลายๆคนกดทับลงบนหัวใจของเขาจนเริ่มจะแบกรับไว้ไม่ไหว หากแต่ก็ไม่แตกสลายไปเสียที เหมือนแอทลาสที่ต้องแบกท้องฟ้าที่แสนหนักเอาไว้ แม้จะเกือบตายแต่ก็ไม่ตาย ความรู้สึกมันขมขื่น กล้ำกลืน สุดจะทน แต่แล้วจู่ๆขณะที่รู้สึกตกต่ำอย่างถึงที่สุด เมื่อมีมือๆหนึ่งเข้ามาช่วยเขาแบกรับมัน…
“…………ไม่เป็นไร”ร่างโปร่งตอบพร้อมบีบมือเขาเบาๆ คริสก้มมองมันอย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าคนที่ควรจะโกรธเกลียดเขามากที่สุดกลับให้อภัยเขา
“ทำไม…นายถึงไม่เกลียดฉัน”คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับยิ้มบางๆออกมาก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันไม่ใช่คนดีเหมือนแม่นายหรอกที่จะไม่โกรธไม่เกลียดใคร……ฉันทั้งโกรธ ทั้งเกลียดนายมากๆที่มาทำลายชีวิตฉัน”หัวใจของคริสปวดหนึบ มือที่กุมมือเขาไว้อยู่ดูราวกับเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
“แต่ฉันมันเป็นพวกโกรธเกลียดง่าย แต่หายเร็วน่ะ”คริสเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ชานยอลยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยต่อ
“อีกอย่าง นายได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว มากจนเกินไปด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยนายก็ควรดีใจนะ ที่รู้ว่าตัวเองมีแม่ รู้ว่าเธอยังไม่ตาย ได้กอดเธอ บอกรักเธอ ทดแทนคุณของเธอ ไม่เหมือนกับฉันที่ไม่มีโอกาสนั้น” ชานยอลยิ้มเศร้าสร้อยเมื่อพูดถึงแม่ที่จากไปของตัวเอง
“อย่าพูดอย่างนั้น…”
“รักษาโอกาสนี้ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่นายจะไม่มีโอกาส อย่ารอให้ท่านเสียไปแล้ว แล้วค่อยเอาดอกไม้ไปไหว้ท่าน”ชานยอลพูดตามสิ่งที่เขารู้สึก คริสยังมีแม่ให้คอยดูแล แต่เขาไม่มีแล้ว เรื่องครั้งนี้สำหรับเขามันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา
ร่างสูงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาเข้าใจคำพูดของชานยอล แต่ตอนนี้มันยากเหลือเกินที่เขาจะมองเรื่องนี้ในแง่ดี เมื่อความรู้สึกผิดมันท่วมท้นอยู่เต็มอก จะให้เขาเปลี่ยนมุมมองเพียงแค่ชั่วนาที เขาทำไม่ได้หรอก…
“พ่อฉันเคยสอนว่า ทุกที่ย่อมมีแสงสว่างเสมอแม้แต่ในห้วงทะเลลึกแค่ไหนก็ตาม แค่เราเลือกที่จะมองเห็นมันรึเปล่า แค่นั้นเอง แล้วนายล่ะ มองเห็นมันบ้างมั้ย”ชานยอลทิ้งคำพูดให้เขาคิด และตอบตัวเองในใจ…
ทุกทีที่ย่อมมีแสงสว่างเสมอ…
แล้วในความมืดอย่างเขาล่ะ…
แสงสว่างอยู่ที่ไหนกัน
“ถ้าไม่ดีขึ้น งั้นลองไปเที่ยวเล่น หรือหาอะไรทำดีมั้ย”ชานยอลเอ่ยถามเมื่อเขาคิดวิธีที่จะทำให้คริสหายเศร้าออก
“อะไร”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของซุสเป็นไง”คริสเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยิน งานฉลองวันเกิดของซุส เปรียบเสมือนวันที่เหล่าทวยเทพ และมนุษย์กึ่งเทพทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อรวมแสดงความยินดีกับมหาเทพ และแน่นอนว่าคนของความตายไม่เคยได้รับเกียรติขึ้นไปงานนั้นอย่างแน่นอน แล้วจะให้เขาขึ้นไปบนนู่นได้อย่างไร
“ฉันไปไม่ได้ ลูกของฮาเดสไม่เป็นที่ต้อนรับบนโอลิมปัส นายก็รู้”
“ไม่ได้มีใครเขียนกฎนั้นไว้นี่….”ชานยอลเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“ ไปกันเถอะ ไปหาคนอื่นที่เป็นเหมือนกับเรา ลองไปฟังความทุกข์ของพวกเขาดู เผื่อนายจะได้รู้ว่าโลกนี้นายไม่ได้เศร้าอยู่คนเดียว”
ร่างสูงนั่งนิ่ง ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้น นึกอยากย้อนเวลากลับไปถึงตอนที่เทพซุสยังไม่มา และเขายังไม่รู้ความจริงอันน่าเจ็บปวดทั้งหมดนี้
เพราะหลังจากที่ฮาเดสย้อนเวลาไปได้เพียงชั่วครู่ๆห้องทั้งห้องก็สั่นสะท้าน ท้องทะเลปั่นป่วนบ้าคลั่ง เขารู้ได้ทันทีว่ามีเทพกำลังจะมาเยือน โพไซดอนปรากฏกายขึ้นที่มุมห้อง สมุทรเทพตรงดิ่งเข้าช่วยลูกชาย เทพเจ้านำไข่มุกที่ชานยอลพกติดตัวไว้ออกมา ก่อนจะเปล่งถ้อยคำศักดิ์สิทธิแห่งท้องทะเล ฉับพลันนั้นอัญมณีก็สว่างวาบกลายเป็นลูกแก้วสีใสที่ภายในมีสายพลังแห่งท้องทะเลอัดแน่นอยู่ในนั้น จากนั้นเส้นสายสีน้ำเงินเรืองแสงก็พ่วงพุ่งออกมา ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปในร่างของชานยอล และทันทีที่แสงสุดท้ายลับสาย เทพเจ้าก็หันมามองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นเต็มไปด้วยแรงโทสะ จนท้องทะเลภายนอกปั่นป่วน พื้นชายหาดสั่นไหว สมุทรเทพเงื้อตรีศูลหมายสังหาร เฉียบพลันนั้นทั่วทั้งบริเวณก็ส่งเสียงกึกก้องกัมปนาทของสายฟ้า ก่อนที่ซุสจะปรากฏตัวเข้าหยุดยั้งสมุทรเทพ
“ข้ามีธุระกับเด็กคนนี้”ซุสเปล่งเสียงทรงพลังจนห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน และเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังชี่ๆ ท้องทะเลโดนกระแสลมที่บ้าคลั่งเข้ากำราบ
“แต่มันทำให้ลูกข้าต้องเป็นอย่างนี้!!!”
“ข้าจะให้เจ้าฆ่าเขาแน่ หากเจ้ายังคงเจตนา หลังจากที่ข้าย้อนอดีตเสร็จแล้ว”
“ท่านหมายความว่าไง”คริสเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ มหาเทพหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยตอบ
“มันถึงเวลาที่เจ้าควรรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างควรจะจบได้แล้ว” เขาไม่มีโอกาสได้ถามว่ารู้เรื่องราวอะไร และทำไมเขาจะต้องรู้ เมื่อเมฆพายุลายล้อมรอบตัวเขา ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีควันบุหรี่ ก่อนที่เขาจะมาอยู่ในสถานที่ที่ต่างออกไป และค่อยๆได้รับรู้เรื่องราวอันน่าเจ็บปวดของตัวเอง…
แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมแม่ยังมีชีวิต แต่เพียงรู้ว่าเธอยังอยู่ และเขาก็เผลอทำร้ายเธอไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้หัวใจดวงนี้พังทลายลงมาจนไม่เหลือชิ้นดี ได้แต่เฝ้าถามตัวเองอย่างเจ็บปวดว่า ที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไป…
เขาทำร้ายคนที่รักเขาลงไปได้ยังไง
ดวงตาคมที่อับแสงก้มมองมือที่สั่นเทาของตัวเองอย่างปวดร้าว ภาพในอดีตไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา เขาทำร้ายแม่แท้ๆด้วยมือคู่นี้ มือคู่ที่แม่เฝ้าเพียรรักษามาตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง และต่อว่าเสียดสีเธอด้วยริมฝีปากนี้ ริมฝีปากที่แม่มอบให้ทั้งหมดของร่างกายที่ไว้ทำเรื่องเลวๆทั้งหลายที่ผ่านมาคือของแม่ หญิงผู้ที่รักเขายิ่งกว่าสิ่งใด แต่เขากลับทรยศหักหลังเธอด้วยการทำร้ายร่างกายและจิตใจ
เนรคุณ….
อกตัญญูจนเกินกว่าจะให้อภัย
“ผม…..”คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไป หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาจากดวงตาคู่นั้นเงียบๆ ไร้การสะอื้น ไร้เสียงคร่ำครวญ แต่กับกึกก้องไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเศร้า บุตรแห่งฮาเดส เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”มหาเทพซุสเปล่งวาจาทรงพลัง ห้องทั้งห้องส่งเสียงดังชี่ๆของประจุไฟฟ้าที่แล่นแปลบโอบล้อมทั้งห้องอยู่
“มันเป็นความผิดของข้า”ฮาเดสเอ่ยด้วยความสำนึกผิด สีหน้าหม่นหมองเคล้าทุกข์อย่างที่เทพเจ้าผู้เย็นชาผู้นี้ไม่เคยแสดงออกมา หัวใจที่แข็งแกร่งประดุจเพชรกับร้าวราน เมื่อวงจรความเศร้านี้ เกิดจากเขาเพียงคนเดียว
“เปล่าเลย….”ซุสเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“มันเป็นความผิดของพวกเจ้าทั้งสามคน ที่ทำผิดต่อเด็กคนนี้”ดวงตาทรงพลังเหลือบมองคริสที่ก้มหน้านิ่งด้วยแววตาเห็นใจ โศกนาฏกรรมของผู้ใหญ่สามคนทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งป่นปี้แหลกลานและไร้ซึ่งหลักยึดเหนี่ยวในชีวิต จะเป็นเช่นไรเมื่อเราต้องใช้ความแค้นล่อเลี้ยงหัวใจ จะขมขื่นเพียงใดหากความรักเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน จะทุกข์ทมเท่าไรหากศรัทธายังไม่มีให้เชื่อถือ และจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไรเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด…….นั้นสูญเปล่า
ช่างน่าเวทนา
ผู้ชายคนนี้ช่างน่าเวทนา…
“คริส….แม่ แม่ ….ขอโทษ…”เธอพูดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมา ก่อนจะสาวเท้าไปหาลูกชายอย่างยากลำบาก เมื่ออาการบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายยังคงมีอยู่ แต่จะให้เธอทนนั่งอยู่เฉยๆได้อย่างไร เมื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงนั้นคือลูกของเธอ สมบัติล่ำค่าเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต…
“ผม….ผม ขะ…”คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกายไปด้วยก้อนสะอื้น หัวใจของเขาร้าวรานละอายเกินกว่าจะสบตาผู้เป็นแม่
“อย่าร้องไห้ อย่า…โอ๊ย”เธออุทานเสียงหลงเมื่อรู้สึกเจ็บที่ขาจนเกือบเสียหลักล้ม หากไม่มีคริสคอยจับไว้
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าคริส”สิ่งแรกที่นึกถึงไม่ใช่สุขภาพของตัวเองแต่เป็นของลูกชายที่เข้ามาช่วยพยุงไว้ ร่างสูงมองคนตรงหน้าก็จะยิ่งร่ำไห้ออกมา
“ไม่เป็นไร คริส….อย่าร้องไห้ ไม่…เป็นไร”ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยนและอบอุ่นกับเขา พร้อมกับฝ่ามือบางที่ปาดน้ำตาเขาออกช้าๆราวกับสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของเด็ก ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจนเกือบถึงแก่ชีวิต…
“ทำไม…คุณ….ถึงให้อภัยผม”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างต้องการหาคำตอบ คนถูกถามนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ก็เพราะเป็นลูกไง ………….ถึงให้อภัยได้ทุกอย่าง”ทำนบน้ำตาพังทลายลงมา หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย คำตอบที่ได้ยิน ทำหัวใจปวดหนึบ เพราะเป็นลูกถึงให้อภัยได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเกือบสังหารแม่ตัวเองตาย…
ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้า หมดซึ่งความเหย่อหยิ่ง ทระนงตนที่เคยรักษา เหลือแต่เด็กผู้ชายที่รู้สึกผิดบาปต่อผู้มีพระคุณอย่างถึงที่สุด
“ผมขอโทษครับ….”ร่างสูงเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“……..แม่”เฉียบพลันนั้นหยาดน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็ยิ่งไหลริน คำเพียงพยางค์เดียวที่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต เพียงคำเดียวที่ไพเราะยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงคำเดียวที่มีค่าสุดหัวใจ คือ คำว่าแม่ที่ลูกเอ่ยออกมา…
“คริส…..แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง ลูกไม่ได้ผิดอะไร”ร่างบอบบางของมาธาร์พยุงลูกชายขึ้นยืน มือบางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอีกฝ่าย แล้วดึงเขาเข้ามากอด ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นระริกลูบผมลูกชายเป็นการปลอบประโลม ความตื้นตันใจเต็มตื้นล้นหัวใจ กว่าสิบปีที่เธอวาดฝันถึงวันนี้ กว่าสิบปีที่รอคอยวันพบหน้า กว่าสิบปีที่เฝ้าภาวนา ในที่สุดวันนี้มันก็เป็นจริง วันที่ลูกชายเรียกเธอว่าแม่ และเธอได้โอบกอดเขาไว้ในอ้อมอกเหมือนอย่างตอนนี้…
ชีวิตนี้เธอไม่ต้องการอะไรแล้ว…
แค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับแม่คนหนึ่ง
คริสได้แต่ยืนนิ่งร่ำไห้ในอ้อมกอดของหญิงผู้เป็นแม่ แม้เขาจะทำผิดมากแค่ไหนแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพร้อมจะอ้าแขนโอบกอดเขาไว้อยู่ดี ความรู้สึกผิดและละอายใจตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก อยากจะขอโทษเธออีกเสียพันครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตาถาโถมเข้าสกัดกั้น
“อย่าร้องไห้ คริส…ไม่เป็นไรนะ ลูก”เธอเอ่ยปลอบเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย จนร่างสูงยิ่งตื้นตัน
นี่หรือความห่วงใยของแม่
นี่หรือความรักของแม่
นี่หรือการเป็นแก้วตาของใครสักคน
ร่างสูงฝังใบหน้าซบกับไหล่อันบอบบางที่ดูยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของลูกคนหนึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีวันนี้ วันที่ได้กอดแม่ ได้รับความรักจากแม่ ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนหนึ่งมากขนาดนี้
“ผมขอโทษ….ผมขอโทษ”
“แม่ให้อภัยแล้ว อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ”ผู้เป็นแม่เอ่ยบอก ก่อนจะผละอ้อมกอดออกมาเล็กน้อย แล้วยกมือบางของเธอปาดน้ำตาให้เขาเบาๆ พร้อมกับฉีกยิ้มให้บางๆราวกับจะย้ำเตือนเขาว่าทุกอย่างไม่ร้ายแรง
“ข้าก็ให้อภัยเจ้าแล้ว บุตรเพียงคนเดียวของข้า”ฮาเดสเอ่ยเสียงเรียบแต่แววตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย
“ท่านพ่อ….”
“คนเป็นพ่อเป็นแม่ พร้อมจะอภัยให้ลูกได้เสมอ เมื่อลูกสำนึกผิด”
“ผมขอโทษ”ฮาเดสส่ายหน้าก่อนจะเปรยตามองร่างที่เคียงข้างโพไซดอน
“เด็กคนนั้นต่างหาก……ที่อยากฟังคำขอโทษของเจ้ามากที่สุด”ร่างสูงหันไปมองตามสายตาของผู้เป็นพ่อ ชานยอลยังคงนอนสลบอยูตรงนั้น
“บุตรแห่งโพไซดอน ผู้ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย”ฮาเดสเอ่ยต่อ คลื่นความรู้สึกผิดถาโถมสู่จิตใจของร่างสูงเมื่อชานยอลคือหลักฐานความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของเขา เขาทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่างชานยอลต้องย่อยยับ เพียงเพราะการแก้แค้นบ้าๆของตัวเอง ทั้งๆที่ร่างโปร่งอาจมีชะตาที่ดีกว่านี้หากไม่ต้องมาเจอเขา…
“ผมจะขอโทษเขาทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมา”คริสพูดด้วยเสียงสำนึกผิด ท่าทางระอาใจอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาฉายชัดบนใบหน้าที่แสนจะเหย่อหยิ่งของร่างสูง จนมหาเทพทั้งสามยังอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ เพราะบางครั้งคนเราทุกคนไม่ได้อยากเป็นคนเลว แต่สถานการณ์และเหตุปัจจัยต่างๆบีบบังคับ ให้ทำ และเมื่อคนหลงผิดเหล่านั้นกลับตัวกลับใจได้ อย่างน้อยก็ควรได้รับการให้อภัย
“แม่เชื่อว่าชานยอลจะต้องเข้าใจลูก”มาธาร์เอ่ยย้ำความมั่นใจให้ลูกชาย
“ผมขอให้เป็นอย่างนั้น”คริสเอ่ยตอบด้วยเสียงบางเบา หัวใจของเขาบอกช้ำจากการรับรู้เรื่องหนักๆมาตลอดทั้งวัน และกำลังจะแตกสลายหากชานยอลไม่ให้อภัยเขา…
หลังจากนั้นมหาเทพทั้งสามและเพอร์เซโฟเนก็แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตน ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงแค่มาธาร์ คริส และชานยอล ความอึดอัดแบบแปลกๆค่อยๆโรยตัวปกคลุมทั่วทุกอณูของพื้นที่ คริสไม่เคยชินกับการมีแม่ และยังปรับตัวกับความจริงที่เพิ่งรู้ไม่ค่อยได้ ทั้งจิตใต้สำนึกลึกๆก็ยังคงรู้สึกละอายกับสิ่งที่เคยทำลงไปอยู่ ดังนั้นการที่ต้องอยู่กับอีกฝ่ายอย่างนี้จึงทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
ร่างสูงเหลือบตามองหญิงผู้เป็นแม่เล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม บางครั้งเขาก็เกิดคำถามและเริ่มไม่แน่ใจ นี่เขามีแม่จริงๆแล้วงั้นหรือ ผู้หญิงตรงหน้าใช่แม่ของเขาจริงหรอ ทำไมถึงได้แตกต่างกับเขานัก เธอทั้งอ่อนโยน อบอุ่น และใจดี ต่างจากเขาที่แข็งกระด้าง เย็นชา และโหดร้าย นี่เขาเป็นลูกเธอจริงๆใช่มั้ย…
“คริส รู้สึกยังไงบ้าง เพิ่งฟื้นจากพิษไฮดรามานะ แม่ว่าลูกไปพักก่อนดีกว่ามั้ย คงอีกนานกว่าชานยอลจะฟื้น”เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างไม่รู้สึกกระอักกระอวน เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เธอรอคอยมากว่าสิบปีที่จะได้ทำหน้าที่ของแม่ให้กับลูกชายแท้ๆของตัวเอง
ร่างสูงที่ถูกถามชะงักงันไปชั่วครู่ การถูกใครสักคนหนึ่งเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องปกติในชีวิตของเขา ทั้งยังผิดวิสัยไปเสียเลยเมื่อคนที่เป็นห่วงคือแม่ของเขา
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรอชานยอลตื่นก่อน”
“งะ งั้นหรอจ๊ะ งั้นแม่จะอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”
“…..ครับ”คริสตอบรับอย่างแก่นๆ เขาไม่สามารถทำตัวตามปกติ และลืมความรู้สึกผิดและอาการอึดอัดอย่างน่าประหลาดอย่างนี้ได้จริงๆ
เมื่อไม่เคยมี พอมี มันก็ทำตัวไม่ถูก
ร่างสูงเลือกที่จะหันเหความสนใจกลับไปมองร่างที่นอนสลบอยู่บนเตียง แววตาคมคายที่มักจะเย็นชากลับเจือไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลจนคนรอบสังเกตอย่างมาธาร์รู้สึกได้ ลูกของเธอช่างเหมือนกับพ่อของเขาเสียจริง เย็นชาภายนอก แต่กลับอบอุ่นภายใน
เธอคลี่ยิ้มบางๆเอ็นดูในตัวลูกชาย จนฝ่ายถูกมองเหลือบตามามองเธอด้วยความสงสัย ระคนไม่เข้าใจว่าเธอยิ้มอะไร
“แม่ยิ้มที่ลูกเหมือนพ่อมากจริงๆ”ร่างสูงขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม
“ยังไงครับ”
“เย็นชาแค่ภายนอก แต่จริงๆแล้วเป็นคนอบอุ่น”คริสส่ายหน้าไม่เห็นด้วย พร้อมกับหันไปมองชานยอลก่อนจะเอ่ยตอบ
“บางทีผมอาจเย็นชาทั้งข้างนอกและข้างใน เพราะถ้าไม่ ผมคงไม่ทำอะไรบ้าๆอย่างที่ผ่านมา คงจะนึกถึงจิตใจคนอื่นมากกว่านี้” คนฟังถึงกับถอนหายใจ เมื่อลูกชายของเธอยังคงรู้สึกผิดอยู่
“เลิกคิดอย่างนั้นเถอะคริส ทุกอย่างมันเกิดจากความไม่รู้”เธอเอ่ยตอบ
“แต่ผมก็ไม่ควรจะดึงเขาเข้ามาเกี่ยว เพราะฉะนั้นผมไม่เหมือนพ่อหรอกครับ”เธอมองลูกชายด้วยความเป็นห่วงและเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“คริส….ถ้าลูกเย็นชาจริงๆ ลูกคงไม่รู้สึกผิด และคงไม่รู้จักคำว่ารักหรอก”ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ของตนอย่างไม่เข้าใจ….รัก…..เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ในเมื่อเขาไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมันเลยด้วยซ้ำ
“ลองคิดดูนะคริส ว่าที่ทำอยู่นี่แค่ต้องการการให้อภัย หรือเป็นเพราะห่วงใยเขากันแน่”มาธาร์เอ่ยบอกก่อนจะทิ้งให้คริสจมอยู่กับคำถามของเธอเพียงลำพัง
“ผมไม่รู้”คริสเอ่ยตอบเบาๆ เขาไม่รู้ว่าระหว่างการได้รับการให้อภัย กับการที่เห็นอีกคนฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยอย่างไหนสำคัญกว่าเขากันแน่ แต่เมื่อลองจินตนาการถึงชานยอลที่หลับใหล ไม่ตื่นขึ้นมา แค่เพียงคิดเท่านั้น หัวใจของเขาก็ปวดหนึบจนไม่กล้าจะคิดต่อ
อย่างนี้รึเปล่า ที่เขาเรียกว่ารัก…
เพราะทั้งชีวิตไม่เคยรักใคร จึงไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่นี่คืออะไร
ราวกับคนโง่
ราวกับเด็กน้อย
เมื่ออยู่ต่อหน้าความรัก
“คริส…”ชานยอลเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา ร่างสูงหันขวับกลับไปมองร่างที่นอนอยู่ทันที เปลือกตาบางที่ยังคงปิดอยู่วูบไหวไปมาก่อนที่จะค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ เฉียบพลันนั้นก้อนเนื้อที่หัวใจก็พองโต เต้นระรัวอย่างดีใจ
“ชานยอล”ร่างโปร่งขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก
“ตื่นแล้วหรอลูก”มาธาร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ ชานยอลพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“เป็นยังไงบ้าง//เป็นยังไงบ้าง”เสียงของคริสกับชานยอลประสานขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะหลบตา แล้วเสนอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดก่อน
“นายเป็นยังไงบ้าง”คริสเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่แววตาที่สื่อออกมากลับเต็มไปด้วยความห่วงใย จนมาธาร์อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ยังมึนนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย แล้ว….นายล่ะ”
“ก็ดีขึ้นแล้ว”
“อื้ม ดีแล้วล่ะ”แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ชานยอลนึกเรื่องคุยไม่ออก เพราะไม่ชินกับการพูดจาดีๆกับผู้ชายแห่งความตายคนนี้ ในขณะที่คริสเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นขอโทษชานยอลยังไง เมื่อเขาต้องเล่าเรื่องเท้าความเสียยืดยาว
“คริส…..มีเรื่องจะพูดกับชานยอลไม่ใช่หรอจ๊ะ”มาธาร์เปิดโอกาสให้คริสได้พูด ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะตอบรับสั้นๆ
“ครับ”
“งั้นแม่ออกไปเตรียมอาหารให้เราสองคนดีกว่า”เธอเอ่ยบอกเพื่อให้ทั้งสองมีโอกาสอยู่ด้วยกัน ก่อนจะลุกออกไปจากห้อง ชานยอลที่ได้ฟังสรรพนามใหม่ถึงกับเบิกตาโพล่งตกใจ ดวงตากลมจับจ้องไปที่ป้าของเขา ก่อนจะหันมามองร่างที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมถึง….”
“ฉันรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว”เฉียบพลันนั้นหัวใจดวงน้อยเหมือนถูกเยือกแข็งด้วยสุ้มเสียงของร่างสูง แม้ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องแต่เขาก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
ร่างสูงนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากลับหม่นหมองและคลอไปด้วยน้ำตา
“หลังจากที่นายสลบ เพอร์เซโฟเนกับฮาเดสมาที่นี่ พ่อของฉันพาเธอย้อนเวลากลับไปดูเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าซุสพาฉันเข้าไปด้วย” ชานยอลถึงกับพูดไม่ออก การรับรู้จากการบอกเล่าหรือผ่านตัวหนังสือ ย่อมไม่เจ็บปวดเท่ากับการไปเห็นภาพเหตุการณ์จริง เพียงแค่นึกว่าถ้าเขาเป็นคริส น้ำตามันก็พาลจะไหล แล้วคริสเองล่ะ จะรู้สึกยังไง…
“นาย….โอเคใช่มั้ย”
“ไม่…..ไม่เลยสักนิด” คริสหลับตาลงก่อนที่ภาพความทรงจำ และความรู้สึกต่างๆจะถาโถมเข้ามา เขาแก้แค้นพ่อที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง ฮาเดสยอมเป็นคนเลวในสายตาลูกตัวเอง เพื่อที่จะปิดบังความจริงว่าแม่ยังมีชีวิต และปกป้องเธอกับเขาจากเพอร์เซโฟเน เขาเกือบฆ่าแม่ตัวเองตายเพราะความไม่รู้ ทำเธอบาดเจ็บ เสียเลือด เสียน้ำตา ให้กับลูกเนรคุณอย่างเขา ทั้งๆที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองจะต้องเป็นลูกที่ดี ต้องแก้แค้นให้แม่ แต่สุดท้าย………..เขากลับกลายเป็นคนเลวที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ…..
เขาลากชานยอลเข้ามารับเคราะห์ ใช้เป็นเครื่องในการกระทำบ้าๆของตัวเอง ทั้งๆที่ร่างโปร่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ชานยอลควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ได้มีความสุข และใช้ชีวิตเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่เขากลับทำให้ชีวิตของชานยอลเละไม่เป็นท่า
“ฉันขอโทษ….”ร่างสูงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ขอโทษที่ลากนายเข้ามา ทั้งๆที่นาย…..” คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายไป เมื่อหยาดน้ำตาและความเศร้าตีตื้นขึ้นมาจุกอก ร่างสูงหลับตานิ่ง มือแกร่งที่วันนี้ดูเปราะบางกำแน่นอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ ความรู้สึกผิดและละอายใจต่อใครหลายๆคนกดทับลงบนหัวใจของเขาจนเริ่มจะแบกรับไว้ไม่ไหว หากแต่ก็ไม่แตกสลายไปเสียที เหมือนแอทลาสที่ต้องแบกท้องฟ้าที่แสนหนักเอาไว้ แม้จะเกือบตายแต่ก็ไม่ตาย ความรู้สึกมันขมขื่น กล้ำกลืน สุดจะทน แต่แล้วจู่ๆขณะที่รู้สึกตกต่ำอย่างถึงที่สุด เมื่อมีมือๆหนึ่งเข้ามาช่วยเขาแบกรับมัน…
“…………ไม่เป็นไร”ร่างโปร่งตอบพร้อมบีบมือเขาเบาๆ คริสก้มมองมันอย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าคนที่ควรจะโกรธเกลียดเขามากที่สุดกลับให้อภัยเขา
“ทำไม…นายถึงไม่เกลียดฉัน”คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับยิ้มบางๆออกมาก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันไม่ใช่คนดีเหมือนแม่นายหรอกที่จะไม่โกรธไม่เกลียดใคร……ฉันทั้งโกรธ ทั้งเกลียดนายมากๆที่มาทำลายชีวิตฉัน”หัวใจของคริสปวดหนึบ มือที่กุมมือเขาไว้อยู่ดูราวกับเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
“แต่ฉันมันเป็นพวกโกรธเกลียดง่าย แต่หายเร็วน่ะ”คริสเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ชานยอลยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยต่อ
“อีกอย่าง นายได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว มากจนเกินไปด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยนายก็ควรดีใจนะ ที่รู้ว่าตัวเองมีแม่ รู้ว่าเธอยังไม่ตาย ได้กอดเธอ บอกรักเธอ ทดแทนคุณของเธอ ไม่เหมือนกับฉันที่ไม่มีโอกาสนั้น” ชานยอลยิ้มเศร้าสร้อยเมื่อพูดถึงแม่ที่จากไปของตัวเอง
“อย่าพูดอย่างนั้น…”
“รักษาโอกาสนี้ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่นายจะไม่มีโอกาส อย่ารอให้ท่านเสียไปแล้ว แล้วค่อยเอาดอกไม้ไปไหว้ท่าน”ชานยอลพูดตามสิ่งที่เขารู้สึก คริสยังมีแม่ให้คอยดูแล แต่เขาไม่มีแล้ว เรื่องครั้งนี้สำหรับเขามันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา
ร่างสูงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาเข้าใจคำพูดของชานยอล แต่ตอนนี้มันยากเหลือเกินที่เขาจะมองเรื่องนี้ในแง่ดี เมื่อความรู้สึกผิดมันท่วมท้นอยู่เต็มอก จะให้เขาเปลี่ยนมุมมองเพียงแค่ชั่วนาที เขาทำไม่ได้หรอก…
“พ่อฉันเคยสอนว่า ทุกที่ย่อมมีแสงสว่างเสมอแม้แต่ในห้วงทะเลลึกแค่ไหนก็ตาม แค่เราเลือกที่จะมองเห็นมันรึเปล่า แค่นั้นเอง แล้วนายล่ะ มองเห็นมันบ้างมั้ย”ชานยอลทิ้งคำพูดให้เขาคิด และตอบตัวเองในใจ…
ทุกทีที่ย่อมมีแสงสว่างเสมอ…
แล้วในความมืดอย่างเขาล่ะ…
แสงสว่างอยู่ที่ไหนกัน
“ถ้าไม่ดีขึ้น งั้นลองไปเที่ยวเล่น หรือหาอะไรทำดีมั้ย”ชานยอลเอ่ยถามเมื่อเขาคิดวิธีที่จะทำให้คริสหายเศร้าออก
“อะไร”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของซุสเป็นไง”คริสเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยิน งานฉลองวันเกิดของซุส เปรียบเสมือนวันที่เหล่าทวยเทพ และมนุษย์กึ่งเทพทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อรวมแสดงความยินดีกับมหาเทพ และแน่นอนว่าคนของความตายไม่เคยได้รับเกียรติขึ้นไปงานนั้นอย่างแน่นอน แล้วจะให้เขาขึ้นไปบนนู่นได้อย่างไร
“ฉันไปไม่ได้ ลูกของฮาเดสไม่เป็นที่ต้อนรับบนโอลิมปัส นายก็รู้”
“ไม่ได้มีใครเขียนกฎนั้นไว้นี่….”ชานยอลเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“ ไปกันเถอะ ไปหาคนอื่นที่เป็นเหมือนกับเรา ลองไปฟังความทุกข์ของพวกเขาดู เผื่อนายจะได้รู้ว่าโลกนี้นายไม่ได้เศร้าอยู่คนเดียว”