เฮเฟสตัสพาทุกคนดำดิ่งลงสู่โรงงานตีเหล็กของเขา ภายในนั้นเต็มไปด้วยเบ้าหลอมมากมายที่แม้จะอยู่ใต้ทะเลแต่มันก็ยังคงร้อนระอุและส่งเสียงฉ่าๆอยู่ตลอดเวลา แรงงานของที่นี่ไม่ใช่นางเงือก หรือแม้แต่พวกพรายแต่มันคือไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ชานยอลแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ายักษ์พวกนั้นทั้งหมด เลือดครึ่งหนึ่งในกายของพวกเขาเป็นเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในตัวของเขาเช่นกัน ใช่...พวกเขามีพ่อคนเดียวกัน
แรกๆเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ จะคิดยังไงหากเรามีญาติเป็นอสูรกาย แต่พอได้พูดคุยและทำความรู้จัก เขาก็รู้ว่ายักษ์ตาเดียวพวกนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขาออกจะนิสัยดีมากเสียด้วยซ้ำ จนบางครั้งก็อาจจะดีกว่ามนุษย์บางคนเสียด้วย
เฮเฟสตัสพาพวกเขาตรงเข้ามายังด้านในของโรงตีเหล็ก ที่ใจกลางของที่นี่มีเบ้าหลอมขนาดใหญ่ที่ร้อนยิ่งกว่าเบ้าอื่นๆ น้ำทะเลที่อยู่รอบเดือดปุดๆ มันร้อนมากจนขนาดที่ชานยอลกับโยฟานเองยังเข้าไปไม่ได้ มีเพียงเฮเฟสตัสเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในนั้นได้...
เทพเจ้าหันมาขอของทั้งสามสิ่งก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปในนั้น แล้วการตีศาสตราวุธที่ทรงพลังที่สุด อันตรายที่สุด และไร้เทียมทานที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น...
เฮเฟสตัสใส่โล่เอจิสเข้าไปในเบ้าหลอมเป็นสิ่งแรก แสงสีทองสว่างวาบ ไฟในเบ้าหลอมปะทุขึ้น สะเก็ดไฟแตกกระจาย พลังมหาศาลหลั่งรินออกมา ถ้ำทั้งถ้ำสั่นสะเทือน ทุกคนต้องรีบหาที่ยึดเกาะ เทพเจ้าใส่น้ำตาแห่งแอตลาสลงไป แสงสีขาวสว่างขึ้น เปลวไฟลุกพรึ่บ ความร้อนแรงแผดเผา พลังเก่าแก่แผ่ออกมา ทุกคนถูกดันให้ถอยห่าง แม้แต่เฮเฟสตัสเองยังสั่นสะเทือน เทพเจ้าค่อยๆต้านแรงกลับมา การตีศาสตราวุธนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายพลังอำนาจของเขามากที่สุด เขาเหลือบตาไปมองกล่องบรรจุหัวใจของโครนอส แม้ไม่ถูกหยิบออกมาแต่พลังมหาศาลก็ยังคงแผ่ออกมาจากในนั้น เทพเจ้ากลั้นใจเปิดมันออก ชั่ววินาทีนั้นกาลเวลาก็หยุดหมุน เวลาในการเกิดสุริยคราสถูกหยุดไว้ที่สามสิบสามนาที พวกเขามีเวลาอีกสามสิบสามนาทีในการรอขึ้นไปบุกซุส!!!
เวลากลับมาเดินต่ออีกครั้ง หัวใจของโครนอสถูกหลอมในเบ้าหลอม แสงสีดำกลืนกินทุกสิ่งที่แตะต้อง พลังมหาศาลล้นทะลักออกมาผลักร่างของพวกเขาให้กระเด็นออก เบ้าร้าวจนถึงพื้น ถ้ำสั่นสะเทือนใกล้ถล่ม เศษหินร่วงหล่นลงมา เฮเฟสตัสค่อยๆตะเกียกตะกายกลับไปก่อนที่เขาจะเริ่มตีสุดยอดอาวุธขึ้น เวลาผ่านไปห้านาที สิบนาที ยี่สิบนาที จนตอนนี้เหลือเพียงสิบนาทีเท่านั้น เทพเจ้าจะต้องตีมันให้เสร็จ ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นตอนเกิดสุริยคราสพอดี
เฮเฟสตัสทุ่มพลังสุดกำลัง เขาพยายามไม่สนใจถ้ำที่กำลังถล่ม และฝืนกับแรงมหาศาลที่แผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา นิ้วของเทพเจ้าค่อยๆถูกกระแสพลังบาดออกเป็นริ้วๆ อีคอร์สีทองไหลออกมาเรื่อยๆ แต่เฮเฟสตัสก็ยังไม่หยุด เขายังคงฝืนต่อไปเรื่อยๆ ฝืนจนกระทั่งที่เหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีเท่านั้น
5 ดวงจันทร์เริ่มเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
4 แสงสีดำเริ่มกลืนกิน
3 ดวงอาทิตย์ถูกกลืนไปแล้วเสี้ยวหนึ่ง
2 ดวงจันทร์บดบังเข้ามาครึ่งดวง
1 เหลือเวลาอีกไม่กี่วินาทีก่อนที่จะบดบังเต็มดวง เฮเฟสตัสยังคงทำอะไรไม่เสร็จ!! พวกเขาทุกคนเริ่มมองอย่างลุ้นระทึก มันจะต้องเสร็จ มันจะต้องเสร็จทัน มันจะต้องเสร็จ!!
5
4
3
2
1
0
ดวงจันทร์กลืนกินดวงอาทิตย์ทั้งหมด พระอาทิตย์กลายเป็นสีดำ โลกทั้งใบมืดบอด
ฉับพลันนั้นแสงสีแดงก็อาบไล้ไปทั่วทั้งถ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดไว้ด้วยกาลเวลา ขุมพลังอันแรงกล้าระเบิดออกมาก่อนที่ศาสตราวุธที่มิมีผู้ใดเอาชนะได้จะปรากฏขึ้นที่เหนือเบ้าหลอม...
เคียวสีแดงราวโลหิตขนาดใหญ่เล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากเบ้าหลอมพร้อมกับโล่ผลึกเพชรที่เรืองแววด้วยแสงสีทองและขาว ความทรงพลังของพวกมันมากพอที่จะย้อนเศษผนังถ้ำและธุลีต่างๆให้ย้อนกลับขึ้นไปเป็นแบบเดิมได้ ก่อนที่มันจะลอยมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กน้อยทั้งสอง โดยเคียวโลหิตอยู่ตรงหน้าโยดาและโล่ผลึกเพชรอยู่ตรงหน้าโยฟาน
“พวกมันเลือกเจ้า...” เฮเฟสตัสพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง ทุกคนหันมามองภาพนั้นด้วยความเหลือเชื่อก่อนที่เทพเจ้าจะพูดขึ้น
“รีบขึ้นไปซะ ตอนนี้จะเป็นเวลาที่พลังทุกอย่างแปรปรวน พวกเจ้าจะเอาชนะซุสได้โดยง่าย” ทุกคนตื่นจากความตะลึงก่อนที่พวกเขาจะโค้งศรีษะให้กับเทพเจ้า เด็กน้อยทั้งสองคนวิ่งเข้ามากอด โยฟานจับโล่ให้แสงอาบไล้เทพเจ้า ร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ เฮเฟสตัสแย้มยิ้มก่อนที่เขาจะลูบผมเด็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“จงมีชัยอยู่ในซุส” เสียงทรงพลังที่เขย่าทั้งโรงงานตีเหล็กดังขึ้น ฉับพลันนั้นแสงสว่างก็สว่างวาบขึ้นจนลุกโชนพร้อมกับที่พวกเขาถูกทำให้หายวับไปจากตรงนั้นทั้งหมด
...................................................
โอลิมปัสกำลังระส่ำระส่าย เทพเจ้าน้อยใหญ่จากทุกวังแห่งเทพโอลิมเปียนถูกเกณฑ์ให้มารวมตัวกันที่พระราชวังของซุส ทหารทุกนายต่างสอดส่ายสายตาอย่างหวาดระแวง มือของพวกเขาสั่นระริก ความตื่นกลัวเข้าเขย่าขวัญ พระอาทิตย์ถูกกลืนกินแล้ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ อีกไม่ช้าพวกศัตรูจะมา…
ทหารยามที่คอยตรวจตราความเป็นไปรอบกำแพงแห่งโอลิมปัสต่างเริ่มกระสับกระส่าย พวกเขากวาดตามองทุกสิ่งในความมืด มีเพียงความเงียบอันน่าขนลุกที่ตอบพวกเขากลับมา ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ไม่มีอะไรซ่อนภายใต้พื้นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบจนกระทั่งที่หนึ่งในป้อมยามเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทะเลที่อยู่เบื้องล่างกลายเป็นสีดำสนิท หมอกควันจากความตายแผ่คลุมเป็นวงกว้าง เสียงฝีเท้าของคนนับร้อยดังขึ้นเขย่าขวัญ ทหารยามเริ่มขวัญผวา รีบวิ่งไปคว้าระฆังแจ้งเตือน ก่อนที่ความหวาดกลัวจะเข้าจู่โจมจนพวกเขาแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นกองทัพอันทรงพลังของอีกฝ่าย
เด็กน้อยทั้งสองคนที่ซุสสั่งให้กำจัดนำทัพของมนุษย์กึ่งเทพที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์มาพร้อมกับเซนทอร์ผู้บ้าคลั่งทั้งฝูง และเทพโอลิมปัสผู้ยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆปรากฏกายขึ้น ทั้งเอรีส เทพเจ้าแห่งสงคราม เฮอร์มีส เทพแห่งการสื่อสาร อะโฟรไดท์ เทพีแห่งความงาม อธีน่า เทพแห่งยุทธศาสตร์และปัญญา เฮเฟสตัส เทพแห่งการช่างและการประดิษฐ์ และ…
สองมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ เคียงข้างมาด้วยเทพีผู้เรืองอำนาจที่สุดในสรวงสวรรค์ โพไซดอน ฮาเดส และเฮรา พวกเขาเข้าร่วมกับกองทัพด้วย ทหารเฝ้ายามต่างมองด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขาตัวสั่นระริกอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะรวบรวมความกล้าลุกขึ้นสั่นระฆังแจ้งเตือนแล้วตะโกนแจ้งข่าวลั่น
“พวกมันมาแล้ว!!! พวกมันมาแล้ว!!!” เขาหวีดร้องก่อนที่ทหารจะรีบแจ้งกลับไปที่วังของซุส
ซุสกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ที่อับแสง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ความตื่นกลัวเข้าเขย่าขวัญ เทพเจ้าทำอะไรไม่ถูก เด็กสองคนนั้นกำลังมาแล้ว พวกเขากำลังจะมาโค่นล้มเขา พวกเขากำลังจะมาฆ่าเขา เขาจะเป็นเหมือนโครนอส จะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนลงทาร์ทารัส ไม่ เขาจะต้องไม่เป็นอย่างนั้น เขาจะต้องไม่มีจุดจบเหมือนกับพ่อ!!!
ซุสกำมือที่สั่นของตัวเองแน่น ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งด้วยเสียงที่ไม่ทรงพลังเท่าแต่ก่อน..
“เปิดศึกได้…”
สิ้นเสียงนั้นกองทัพก็เริ่มออกจากราชวัง เทพแห่งโอลิมปัสอีกสามองค์กระโจนเข้าสู่สมรภูมิรบ ดีมิเทอร์เทพแห่งกสิกรรม อาร์ทิมิสเทพแห่งการล่าสัตว์ อพอลโลเทพแห่งการดนตรีและการแพทย์ และไดโอนีซุสเทพแห่งไวน์ พวกเขาพุ่งโจมตีด้วยพลังมหาศาล
คริสกับชานยอลคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาของพวกเขาเปล่งแสงขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งจะเรียกสายน้ำจากมหาสมุทรขึ้นมากวาดล้าง คริสใช้ธรณีสูบ ฝูงผีดิบขึ้นมาลากพวกนั้นลงสู่นรก กึ่งเทพและเทพเจ้าที่เหลือใช้พลังของตนเข้าจัดการกับอีกฝ่าย ลู่หานใช้วาจาสิทธิ์สั่งให้ทหารห้ำหั่นกันเอง ซีวอนซัดพายุสายฟ้าใส่ ฮีซอลเรียกกองทัพแห่งนักรบขึ้นมาช่วย คยองซูใช้เวทมนตร์เสกให้พวกเขากลายเป็นดอกไม้ และเซฮุนที่สร้างความสับสนให้กับกองทัพด้วยการเคลื่อนไหวเร็วป่วนให้ทหารแตกระเบียบจนจัดการได้ง่าย
“อ่อนหัดนัก!!!!” ดีมิเทอร์คำราม เทพีอัดพลังเวทมนตร์ใส่กองทัพของพวกเขา เซนทอร์มากมายที่ต้องเวทมนตร์กลายร่างเป็นธัญพืช
เทพเจ้าฝั่งโยดากับโยฟานกู่ร้องด้วยความเดือดดาล ก่อนที่พวกเขาจะเข้าจัดการกับอีกฝ่าย เอรีสโจมตีไดโอนีซุสที่เรียกใช้ฝูงเมนาด นางอัปสรผู้บ้าคลั่งที่ฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยมือเปล่าด้วยทหารสปาตาร์ ทหารจากฟันมังกรที่จะไม่มีวันหยุด หากไม่ได้ฆ่าคน อะโฟรไดท์และเฮอร์มีสแยกกันจัดการกับอพอลโลและอาร์ทิมิส เฮอร์มีสใช้การเคลื่อนที่รวดเร็วหลบหลีกเหล่านายพรานของอาร์ทิมีสและอาศัยลอบโจมตีในตอนเผลอ ในขณะที่อะโฟรไดท์ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์เบี่ยงเบนทิศทางของธนูที่อพอลโลระดมยิงเข้าใส่ ก่อนที่เฮเฟสตัสจะเข้าจัดการกับพวกนายพรานอย่างราบคาบ โพไซดอนและฮาเดสจับจ้องไปที่ดีมิเทอร์ เทพีองค์เดียวที่ยังไม่ถูกเทพเจ้าจัดการ
“เทพีองค์นี้ข้ายกให้เจ้า” โพไซดอนแสยะยิ้มร้าย เขารู้เรื่องความบาดหมางระหว่างสองคนนี้ดี และมันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้ประจันหน้ากัน
“ข้าไม่ได้คิดทำร้ายท่าน ท่านยังพอมีเวลาสละออกจากกองทัพ” ฮาเดสเอ่ยเตือน แต่เธอไม่ยอมฟัง
“เจ้ากับเชื้อสายของเจ้ามันก็แค่เศษสวะ ก็แค่ผลผลิตของความชั่วร้าย จงตายๆไปเสียเถอะ!!!” เธอพุ่งเข้าใส่ ฮาเดสเบี่ยงตัวหลบก่อนที่เขาจะจับแขนเทพีเอาไว้
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงไม่ขอออมมือ” สิ้นเสียงนั้นฝูงผีดิบก็กรูกันขึ้นมาจับกุมเทพีเอาไว้ เธอกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่ฮาเดสจะสูบเธอลงไปในนรก บางทีเธอก็ควรจะไปอยู่กับลูกสาวในนั้นสักพัก
ทั้งสองกองทัพห้ำหั่นกันเองด้วยความโหดร้ายและป่าเถื่อน การต่อสู้กินระยะเวลาอยู่สักพัก มีทหารมากมายบาดเจ็บและถูกฆ่า บางตนที่ฉลาดพอก็รีบวิ่งหนี ในขณะที่บางตนที่ยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างซุสก็ถูกจำกัด ในที่สุดกองทัพของซุสก็ไม่เหลือใคร…
“หนูไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย…” โยดาที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพูดขึ้นอย่างเศร้าสร้อย โยฟานจับมือของเธอไว้แน่น
“พี่ฟานก็ไม่ชอบ..” คริสกับชานยอลเอื้อมมือมาจับมือลูกน้อยทั้งสอง
“พวกเขาจะไม่มีวันตาย พวกเขาจะกลับมาอีก เพราะพวกเขาคือเทพเจ้า” ทั้งสองเอ่ยบอก แต่แน่นอนว่าสำหรับซุส เขาจะไม่มีวันกลับมาอีก เขาจะถูกสับเป็นชิ้นๆแล้วถูกโยนลงสู่ทาร์ทารัสเฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับพ่อของตนเอง…
สองสายเลือดแห่งเทพผู้ถูกกำหนดมาเพื่อให้โค่นล้ม พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าประตูพระราชวังของซุส ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในนั้น สู่สถานที่หลบภัยแห่งสุดท้ายของซุส...
ทหารจากราชวังกรูกันออกมาขัดขวางพวกเขาแต่ด้วยขวัญและกำลังใจที่ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือ ทำให้พวกนั้นถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย กองทัพของโยดาและโยฟานบุกพระราชวังเข้าไปเรื่อยๆ พวกเซนทอร์กู่ร้องอย่างคึกคะนอง พวกมันเที่ยวทำลายข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนกระทั่งที่พระราชวังที่ครั้งหนึ่งเคยทรงไว้ซึ่งเกียรติยศและความศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นแค่ซากของเศษปูนเศษหินเท่านั้น
“ไม่ ข้าจะไม่ยอม ข้าจะไม่ยอมลงจากบัลลังก์นี้เด็ดขาด ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันมาโค่นล้ม!!” เสียงของซุสที่ตื่นกลัวสุดขีดดังก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง ต้นเสียงนั้นมาจากท้องพระโรง
“ท่านพ่ออยู่ในนั้น” ซีวอนพูดขึ้น คริสหันไปสบตาก่อนที่เขาจะพูด
“รออยู่ตรงนี้ก็ได้” เขาพอจะเข้าใจดีว่าการเดินเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังจะโค่นล้มพ่อแท้ๆของตัวเองมันทำใจยากแค่ไหน ถึงแม้ว่าพ่อคนนั้นจะชั่วร้าย จะเคยทำร้ายสักเท่าใด แต่สายเลือดก็ต้องย่อมเป็นสายเลือด
“ฉันจะเป็นคนนำพวกนายเข้าไปเอง” แล้วซีวอนก็เดินนำทุกคนเข้าไปที่โถงทางเดิน ก่อนที่เขาจะผลักประตูให้เปิดออก
ซุสกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ที่อับแสง
มหาเทพที่เคยปกครองทั้งสรวงสวรรค์บัดนี้กลับเหลือเพียงแค่ชายแก่ผู้อ่อนแรงและหวาดกลัวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงที่แทบมองไม่ออกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นบัลลังก์ที่วิจิตรตระการตาที่สุด ทรงพลังที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด
“พวกแก” เทพเจ้าพูดด้วยความเกลียดชัง เขาดูเหมือนหนูที่จนตรอกแต่ก็ยังคงบ้าคลั่ง พวกเขาทั้งหมดค่อยๆเดินเข้าไปหา
“ลูกของผมมีอาวุธที่จะโค่นล้มท่านได้ ท่านไม่มีทางจะชนะพวกเรา ท่านควรจะยุติเรื่องนี้ซะ เลิกทำร้ายครอบครัวของผม” คริสเจรจา เขาไม่ใช่คนใจดีกับศัตรูนัก แต่สำหรับซุสตอนนี้เขาคิดว่าเทพเจ้าควรมีทางเลือก
ซุสกำลังอ่อนแอเกินกว่าที่จะสู้
“ข้าไม่มีวันยอมพ่ายแพ้ ข้าคือประมุขแห่งสรวงสวรรค์ ข้าไม่มีวันถูกโค่นล้ม!!!” เขาคำรามพร้อมกับเขย่ากำปั้น ชานยอลพูดขึ้นด้วยเสียงที่ละมุนละม่อมมากกว่าคริส
“พวกเราไม่เคยคิดอยากจะทำร้ายท่าน ทุกอย่างมันจบลงด้วยดีได้ถ้าท่านยอมบอกว่าจะไม่ตามทำร้ายลูกของผมอีกแล้ว” เทพเจ้าเงียบไม่ยอมตอบ โพไซดอนกับฮาเดสช่วยเกลี้ยกล่อม
“คิดให้ดีนะซุส จะอยู่อย่างสันติ หรือจะเค่นฆ่ากันจนเจ้ามีชะตากรรมแบบโครนอส…” โพไซดอนพูดขึ้น ซุสตัวสั่นเทา ก่อนที่ฮาเดสจะกล่าวต่อ
“เจ้าคงรู้ความเจ็บปวดของการถูกสับร่างเป็นชิ้นๆแล้วโยนลงทาร์ทารัสนะซุส อย่าให้ข้า…”
“ไม่!!! ข้าจะไม่มีวันจบลงแบบนั้น!! ข้าจะไม่มีวันเป็นอย่างโครนอส!!!”
เปรี้ยง!!!
สายฟ้าฟาดลงมากลางห้อง โยฟานยกโล่ขึ้นปกป้อง ฉับพลันนั้นสายฟ้าก็ถูกสลายกลายเป็นเพียงสายลมเย็น แต่ทว่าเด็กน้อยไม่สามารถปกป้องทุกคนไว้ได้ ชานยอลกับคริสถูกสายฟ้าฟาดไปด้วย ร่างของพ่อแม่บาดเจ็บอยู่ข้างๆเขา
โยฟานกับโยดาตัวสั่น ทั้งสองก้มลงกอดพ่อแม่ ร่างกายที่โชกเลือดและเต็มไปด้วยรอยไหม้ทำให้ทั้งสองตื่นตระหนก เพลิงแห่งโทสะค่อยๆลุกโหมขึ้น เสียงหัวเราะของซุสยิ่งเร่งให้กองไฟยิ่งแผดเผา พวกเขากำมือแน่น ดวงตาใสซื่อทั้งสองเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เขากล้าทำได้ยังไง เขากล้าทำร้ายพ่อแม่ของเขาได้ยังไง เขากล้าหัวเราะกับความเจ็บปวดของพ่อแม่ของเขาได้ยังไง!!!!
ฉับพลันนั้นโทสะของทั้งสองก็ระเบิดออก สร้อยคอที่โพไซดอนเคยให้แตกกระจาย พลังที่ถูกสะกดไว้ระเบิดออก ดวงตาของทั้งสองเปลี่ยนสี ไอพลังมหาศาลลุกโชติช่วง ร่างกายของพวกเขาเปล่งประกายด้วยรัศมีเทพเจ้า โยดากับโยฟานค่อยๆย่างสามขุมไปหาซุส เทพเจ้าหวาดผวาจนขว้างอัตสนีบาตรใส่ไม่ยั้ง
“ทำไมถึงต้องทำร้ายพ่อแม่ของหนู” โยดาถามแววตาของเธอแทบจะใกล้เคียงกับตอนฮาเดสกำลังพิโรธ เด็กน้อยแผ่รัศมีสีดำที่กลืนกินทุกแสงสี สายฟ้าถูกพลังของเธอดูดกลืนจนไม่เหลือพิษสง ในขณะที่โยฟานเองก็จับสายฟ้าแล้วสลายมันไว้ได้ด้วยมือเปล่า
“ทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเขา” โยฟานถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่ได้คำตอบ เทพเจ้าตัวสั่นระริก เขายิ่งฟาดสายฟ้าใส่ เหล่ามนุษย์กึ่งเทพที่เหลือเริ่มกระสับกระส่ายอยากจะเข้าช่วย แต่กลับถูกเทพเจ้าห้ามเอาไว้
เพราะพวกเขารู้ดีว่าสองคนนี้จะปราบซุสได้
“พ่อแม่หนูทำอะไรผิดเหรอ” เธอถามขึ้นอีกครั้งขณะที่แต่ละก้าวที่เดินไป แสงสีดำก็ค่อยๆกลืนกินทุกสิ่งภายในห้อง มีเพียงรัศมีสีฟ้าของโยฟานเท่านั้นที่ทำให้อีกครึ่งของท้องพระโรงสว่าง
“ออกไป!! ออกไป!!! อย่ามายุ่งกับข้า อย่ามายุ่งกับข้า!!!” ซุสขว้างของใส่ แต่ทุกสิ่งกลับถูกสลายไปเพียงแค่สัมผัสกับรัศมีของทั้งสอง โยดากับโยฟานค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาจนเกือบจะถึงบัลลังก์
“ไม่!!! ออกไป ข้าบอกให้ออกไป!!! ทหาร!! มาจับพวกมัน มาจับพวกมันไปที!!!” แต่กลับไม่เหลือทหารไว้ให้สั่งการ ตอนนี้เหลือเพียงซุสอยู่ในพระราชวังเพียงลำพัง…
“ทำไมคุณถึงไม่ตอบ!!! พ่อแม่หนูทำอะไรผิดถึงต้องทำร้ายพวกเขาด้วย!!!” ฉับพลันนั้นพวกเขาจับมือกัน แรงโทสะของพวกเขาระเบิดออก รัศมีเข้ารวมกัน พลังมหาศาลสั่นคลอนให้ท้องพระโรงพังทลาย โยดากับโยฟานพุ่งเข้าใส่ ซุสฟาดสายฟ้าใส่อย่างบ้าคลั่งแต่โยฟานกลับสะท้อนออกไปหมด ก่อนที่ทั้งสองจะเงื้อเคียวขนาดมหึมานั้นขึ้นเหนือหัวเตรียมจะฟันใส่ซุส
เทพเจ้าหวีดร้อง ภาพที่เขาเคยสับร่างของพ่อเป็นชิ้นๆย้อนกลับเข้ามา วันนั้นเขาก็ทำท่าแบบนี้ ฟาดฟันใส่ร่าง แล้วก็สับออกเป็นชิ้นๆ เขากำลังจะตายงั้นหรือ เขากำลังจะถูกโค่นล้มงั้นหรอ ประวัติอันยาวนานของเขากำลังจะจบลงที่นี่อย่างงั้นหรือ…
ทั้งคู่ลงเคียวฉับ เสียงถูกตัดดังขึ้น พลังทุกอย่างระเบิดออก ท้องพระโรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทุกๆสิ่งพังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างของซุสเบิกตาโพล่ง เขานั่งนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น เทพเจ้าตัวสั่นระริก ก่อนที่เขาจะค่อยๆสัมผัสที่ลำคอของเขา
มันยังอยู่ดี…คอของเขายังไม่ถูกตัด
“ทำไม…” เทพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ เขามองเด็กน้อยทั้งสองที่ตวัดเคียวใส่เสาต้นด้านหน้าแทนด้วยความไม่เข้าใจ โยดาและโยฟานหันไปสบตากับเขา
“พวกหนูทำไม่ลง…” เธอพูดขึ้น ก่อนที่โยฟานจะขยายความ
“อย่างน้อยคุณตาก็คือคนในครอบครัวของพวกเรา…” ทั้งท้องพระโรงตกตะลึงโดยเฉพาะซุส เด็กคนนี้บอกว่าเขาคือคนในครอบครัวอย่างนั้นรึ
“คุณตาเป็นพี่น้องของท่านตาของพวกเรา ตอนนั้นคุณตาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพ่อกับแม่ คุณตาต้องการฟาดสายฟ้าใส่พวกเราต่างหาก คุณตาต้องการที่จะฆ่าพวกเรา…” ปลายเสียงของเขาสั่น ความเศร้าสั่นระริกอยู่ในดวงตา โยดาจับมือคู่แฝดของเธอไว้แน่น
“หนูรู้ว่าคุณตาไม่ชอบพวกหนู อยากให้พวกหนูหายไป แต่พวกหนูไม่เคยอยากให้คุณตาหายไปเลย เราไม่เคยอยากได้เก้าอี้ตัวนั้น” เธอพูดอย่างใสซื่อพร้อมกับชี้ไปที่บัลลังก์ บัลลังก์นั้น เทพเจ้ามองทั้งสองด้วยแววตาสั่นระริก เขาคิดมาตลอดว่าต้องฆ่า เขาคิดมาตลอดว่าต้องทำร้าย แต่เด็กสองคนนี้กลับ…
ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลยสักครั้ง
“เราเป็นแค่เด็กสองคน เราทำอย่างที่คุณตาทำไม่ไหวหรอก และก็คงไม่มีใครอยากให้เราขึ้นมาแทนคุณตาด้วย” โยฟานหันไปมองเทพเจ้าโอลิมปัสและมนุษย์กึ่งเทพที่เหลือ ก่อนที่เอรีสจะพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของเด็กคนนั้น ไม่มีใครคิดจะโค่นล้มท่านจริงๆหรอก”
“ข้าเองก็ไม่เคยคิด” เฮอร์มีสพูดขึ้น
“ข้าเองก็เช่นกัน” อะโฟรไดท์พูดขึ้น ก่อนที่โพไซดอนจะพูดตาม
“ต่อให้ข้าจะเคยคิดกบฏกับเจ้ามากแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้หลานของข้ามาแทนที่เจ้า” ฮาเดสพยักหน้า
“ข้าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้มากกว่า” เขาพูดขึ้นก่อนที่เฮเฟสตัสจะสบตากับพ่อของตัวเอง
“ต่อให้ท่านจะโยนข้าลงมาจากสวรรค์อีกสักกี่พันรอบ ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้ใครมาแทนที่ท่าน” ซุสแววตาสั่นระริก
“เฮเฟสตัส…”
“ท่านเห็นหรือยังว่าไม่มีใครอยากให้ท่านถูกโค่นล้ม มีแต่ท่านเท่านั้นที่หวาดระแวงเด็กสองคนนี้” เฮราพูดขึ้นพร้อมกับโอบไหล่เด็กทั้งสองของเธอ
“ตื่นเสียเถิดซุส ตื่นจากความโกรธแค้น ตื่นขึ้นมาดูว่าของล่ำค่าของข้านั้นบริสุทธิ์และสวยงามมากแค่ไหน” เทพีพูดขึ้น ก่อนที่ซุสจะจ้องมองเด็กทั้งสอง ความรู้สึกผิดเข้าคุกคามหัวใจของเขา ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำอะไรอยู่ เขาฝังตัวเองอยู่ในความโกรธแค้น หวาดระแวงว่าเด็กทั้งสองจะมาโค่นล้มเขา ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยอยากทำ และไม่มีใครคิดอยากให้เขาถูกโค่นล้ม มีแต่เขาเท่านั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่โง่เขลา และดูถูกพลังอำนาจของตัวเอง แท้จริงแล้วนั้นศัตรูตัวฉกาจของเขา และผู้ที่จะมาโค่นล้มเขานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากใจของเขาเอง
“ข้าขอโทษ…” เทพเจ้าเอ่ยพร้อมกับโค้งศีรษะขอโทษเด็กสองคนนั้น และครอบครัวของพวกเขา โยดาและโยฟานส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับแย้มยิ้มให้ก่อนที่ทั้งสองจะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
พวกเขายื่นอาวุธให้กับซุส
“พวกหนูให้ท่าน ให้มันอยู่กับคุณตาดีที่สุด มันจะได้ช่วยปกป้องคุณตา” ทั้งสองพูดขึ้น ซุสเข้าใจถึงความหมาย หากยกมันให้กับเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องระแวงว่าใครจะมาทำร้ายอีก
ฉับพลันนั้นที่โยดาและโยฟานมอบมันให้กับเขา โลกก็สั่นสะเทือน ท้องฟ้าค่อยๆกลับมาสว่างอีกครั้ง พระจันทร์คลายพระอาทิตย์ออก พลังของซุสค่อยๆกลับคืนมา เทพเจ้ากลับมาสง่างามอีกครั้ง บัลลังก์นั้นกลับมาเปล่งประกายและทรงพลังเหมือนอย่างเก่า ท้องพระโรงที่ค่อยๆซ่อมแซมตัวเอง ทหารทุกคนที่บาดเจ็บ รวมไปถึงคริสกับชานยอลที่ถูกสายฟ้าฟาดก็กลับขึ้นมาเป็นปกติ ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมภายใต้การปกครองของซุสที่เป็นมากว่าหลายพันปี
เทพเจ้าสบตากับเด็กน้อยทั้งสอง เขาไม่คิดที่จะทำลายอาวุธเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อใจในตัวเด็กน้อย และเขา...
ก็ไม่คิดที่จะทำร้ายพวกเขาอีกแล้ว
“เหล่าไพร่ฟ้าของข้าจงฟัง!!!” ซุสประกาศพร้อมกับกระแทกอัตสนีบาตเสียงดังกึกก้อง เหล่าเทพเจ้าและเทพีทั่วทั้งโอลิมปัสต่างเงี่ยหูสดับรับฟัง มหาเทพประกาศคำสั่งดังกึกก้องไปทั้งสวรรค์
“ในนามของข้า มหาเทพซุส ข้าขอสั่งห้ามมิให้ผู้ใดคิด หรือกระทำการใดที่จะเป็นอันตรายต่อโยดากับโยฟาน และครอบครัวของเด็กทั้งสอง หากมันผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง ทำให้เลือดหนึ่งหยดต้องหลั่งริน ทำให้เนื้อหนังต้องถลอก หรือแม้แต่เกิดรอยขีดข่วนแม้เพียงปลายเล็บ มันผู้นั้นจะต้องได้รับโทษสูงสุด!!!”
“และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป....” เขาเว้นช่วง ทั่วทั้งโอลิมปัสต่างอยู่ในความเงียบ ก่อนที่เทพเจ้าจะระเบิดเสียงดังออกมา
“โยดาและโยฟานจะเปรียบเสมือนบุตรและธิดาของข้า พวกเขาจะได้รับสิทธิและการเคารพเสมอเหมือนที่บุตรและธิดาของข้าได้รับทุกประการ และนอกจากนี้พวกเขายังจะได้...”
“บัลลังก์ในสภาโอลิมปัส หากการประชุมใดมิมีพวกเขา การประชุมนั้นจะเริ่มต้นไม่ได้เป็นอันขาด!!!” ฉับพลันนั้นบัลลังก์คู่ของโยดาและโยฟานที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏในการประชุมเหล่ามนุษย์กึ่งเทพก็ประจักษ์ให้เห็นสู่สายตาถึงความทรงพลัง ยิ่งใหญ่ และเรืองอำนาจที่สภาเทพโอลิมเปี่ยน เสียงผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน มหาสมุทรคลุ้มคลั่ง เหล่าเทพเจ้าและเทพีที่ฟังอยู่ต่างพากันตื่นตระหนก พวกเขาสบตากันอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีใครสักคนในนั้นคุกเข่าแล้วน้อมรับคำสั่งของซุส
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าพูดขึ้นตาม
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
เสียงน้อมรับบัญชาดังขึ้นเรื่อยๆ เหล่าเทพเจ้าและเทพีบนสรวงสวรรค์ต่างตอบรับคำสั่งของมหาเทพซุส พวกเขายึดถือมันเป็นดั่งคำสั่งประกาศิตที่ฝ่าฝืนไม่ได้ ซุสผายมือให้โยดาและโยฟานขึ้นนั่งบนบัลลังก์คู่ของตนเด็กน้อยหันมาสบตากันด้วยความครั่นคร้าม ก่อนที่พวกเขาจะหันไปขอความเห็นจากพ่อและแม่ คริสและชานยอลพยักหน้าตอบรับ พวกเขาจึงยอมเดินไปที่บัลลังก์ ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของทั้งสองเพ่งพินิจบัลลังก์ของพวกเขาด้วยความพรั่นพรึง ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยฝันถึงเก้าอี้ของเจ้าหญิงและเจ้าชายที่สวยงามและน่านั่งเหมือนในการ์ตูนที่เคยดู แต่วันนี้ ณ เวลานี้พวกเขากลับมีบัลลังก์เป็นของตัวเอง แม้ไม่ได้เหมือนในการ์ตูนที่วาดฝันไว้ แต่พวกมันก็สวยงาม สวยยิ่งกว่าครั้งแรกที่พวกเขาเคยนั่ง...
แล้วพวกเขาก็ค่อยๆนั่งบนบัลลังก์อย่างช้าๆ..
ฉับพลันนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็เปล่งแสงสว่างวาบ รัศมีของบัลลังก์ลุกโชติช่วงชัดชวาล มหาเทพคลี่ยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง
“ขอบคุณที่รับคำขอโทษจากข้า นับบัดนี้พวกเจ้าคือโยดาและโยฟาน มนุษย์กึ่งเทพคู่แรกและคู่สุดท้ายแห่งสภาเทพโอลิมเปียนแล้ว” ซุสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างพากันแย้มยิ้ม คริสและชานยอลเดินเข้าไปหาลูกๆ พวกเขากอดกันแน่นด้วยความโล่งอก เซฮุนที่เฝ้ามองอยู่คอยส่งเสียงกระตู้วู้ ลู่หานต้องคอยฟาดไหล่ห้าม ซีวอน และฮีซอลหัวเราะอย่างขบขัน คยองซูแย้มยิ้มจนแก้มปริ เสียงหัวเราะของพวกเขาค่อยๆร่ายมนตร์ให้โอลิมปัสกลับมามีความสุขอีกครั้ง เสียงนั้นเดินทางไปทักทายเหล่าเทวดาและมนุษย์กึ่งเทพที่เฝ้ามองอยู่ให้ต่าง พากันคลี่ยิ้มตาม ความทุกข์และความกดดันค่อยๆถูกปัดเป่าจนสลายหายไป เสียงหัวเราะรดน้ำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ต้นไม้แห่งความสุขที่เติบโตได้ด้วยเสียงหัวเราะค่อยๆชูช่อขึ้น ดอกของมันค่อยๆเบ่งบาน กลีบสีขาวบริสุทธิ์อวดโฉมสู่สายตา กลิ่นหอมอ่อนๆคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงหัวเราะผู้คนทำให้ต้นแห่งความสุขออกดอกบานสะพรั่ง แล้ว ณ ที่แห่งนั้น ความสงบสุขก็กลับมาเยือนสวรรค์แห่งนี้อีกครั้ง
“ท่านเชื่อหรือยังว่าเด็กทั้งสองคือของขวัญจากข้า…” เสียงของเฮราดังขึ้นพร้อมกับที่นางเดินมายืนอยู่เคียงข้างกับซุสที่กำลังทอดตามองภาพนั้นอยู่ เขาเหลือบตามองมเหสีของเขาเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ
ครั้งหนึ่งที่เฮราเคยห้ามเขาเรื่องที่จะฆ่าเด็กสองคนนี้ เธอถึงขั้นเดินเข้ามาขอร้องกับเขา เธอเฝ้าแต่พร่ำบอกว่าจงอย่าฆ่าพวกเขาทั้งสอง จงอย่าทำลายของขวัญจากเธอ และจงอย่าทำลายความสุขของโอลิมปัส วันนั้นเขาไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยสักนิด เขาอยากจะกำจัด อยากจะฆ่าให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่ทว่า...พอมาถึงวันนี้ เขากลับเข้าใจความหมายของคำขอร้องนั้นแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว เฮรา ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้าแล้ว...” เขาคลี่ยิ้ม ก่อนที่ทั้งสองจะพูดขึ้นพร้อมกัน
“พวกเขาไม่ใช่เพียงแต่ของขวัญจากเฮรา แต่ทั้งสองคือของขวัญจากโอลิมปัส การถือกำเนิดของพวกเขาทำให้สรวงสวรรค์กลับมามีความสุขอีกครั้ง” สิ้นเสียงนั้นทั้งสองก็คลี่ยิ้ม รอยยิ้มแห่งความผ่าสุขถูกวาดขึ้นกลีบปาก และมัน..อาจจะกว้างที่สุดตั้งแต่ที่พวกเขาเคยยิ้มมา เพราะโยดาและโยฟานคือ...
ของขวัญจากเฮรา
และของขวัญล้ำค่าที่สุดของโอลิมปัส…
ยามเมื่อบุตรธิดาแห่งสายน้ำและความตายบังเกิด
เมื่อนั้นสรวงสวรรค์จักกลับมาผาสุข ความทุกข์ระทมจักสูญสิ้น
ความสุขสงบจักกลับมาเยือนอีกครั้ง
นั่นคือคำพยากรณ์จากเดลฟี ในตอนที่นางมาเข้าฝันเฮรา อันนำมาซึ่งการประทานโยดาและโยฟานแก่คริสและชานยอล เพื่อเป็นของขวัญจากเฮรา และความสุขแห่งโอลิมปัสสืบไปชั่วฟ้ากาลนาน
...............................................
จบแล้วค่ะ ^^ รบกวนติดแท็กให้นิดนึงนะว่าเป็นยังไงบ้าง #ทะเลดำ
ขอบคุณค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
แรกๆเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ จะคิดยังไงหากเรามีญาติเป็นอสูรกาย แต่พอได้พูดคุยและทำความรู้จัก เขาก็รู้ว่ายักษ์ตาเดียวพวกนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขาออกจะนิสัยดีมากเสียด้วยซ้ำ จนบางครั้งก็อาจจะดีกว่ามนุษย์บางคนเสียด้วย
เฮเฟสตัสพาพวกเขาตรงเข้ามายังด้านในของโรงตีเหล็ก ที่ใจกลางของที่นี่มีเบ้าหลอมขนาดใหญ่ที่ร้อนยิ่งกว่าเบ้าอื่นๆ น้ำทะเลที่อยู่รอบเดือดปุดๆ มันร้อนมากจนขนาดที่ชานยอลกับโยฟานเองยังเข้าไปไม่ได้ มีเพียงเฮเฟสตัสเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในนั้นได้...
เทพเจ้าหันมาขอของทั้งสามสิ่งก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปในนั้น แล้วการตีศาสตราวุธที่ทรงพลังที่สุด อันตรายที่สุด และไร้เทียมทานที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น...
เฮเฟสตัสใส่โล่เอจิสเข้าไปในเบ้าหลอมเป็นสิ่งแรก แสงสีทองสว่างวาบ ไฟในเบ้าหลอมปะทุขึ้น สะเก็ดไฟแตกกระจาย พลังมหาศาลหลั่งรินออกมา ถ้ำทั้งถ้ำสั่นสะเทือน ทุกคนต้องรีบหาที่ยึดเกาะ เทพเจ้าใส่น้ำตาแห่งแอตลาสลงไป แสงสีขาวสว่างขึ้น เปลวไฟลุกพรึ่บ ความร้อนแรงแผดเผา พลังเก่าแก่แผ่ออกมา ทุกคนถูกดันให้ถอยห่าง แม้แต่เฮเฟสตัสเองยังสั่นสะเทือน เทพเจ้าค่อยๆต้านแรงกลับมา การตีศาสตราวุธนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายพลังอำนาจของเขามากที่สุด เขาเหลือบตาไปมองกล่องบรรจุหัวใจของโครนอส แม้ไม่ถูกหยิบออกมาแต่พลังมหาศาลก็ยังคงแผ่ออกมาจากในนั้น เทพเจ้ากลั้นใจเปิดมันออก ชั่ววินาทีนั้นกาลเวลาก็หยุดหมุน เวลาในการเกิดสุริยคราสถูกหยุดไว้ที่สามสิบสามนาที พวกเขามีเวลาอีกสามสิบสามนาทีในการรอขึ้นไปบุกซุส!!!
เวลากลับมาเดินต่ออีกครั้ง หัวใจของโครนอสถูกหลอมในเบ้าหลอม แสงสีดำกลืนกินทุกสิ่งที่แตะต้อง พลังมหาศาลล้นทะลักออกมาผลักร่างของพวกเขาให้กระเด็นออก เบ้าร้าวจนถึงพื้น ถ้ำสั่นสะเทือนใกล้ถล่ม เศษหินร่วงหล่นลงมา เฮเฟสตัสค่อยๆตะเกียกตะกายกลับไปก่อนที่เขาจะเริ่มตีสุดยอดอาวุธขึ้น เวลาผ่านไปห้านาที สิบนาที ยี่สิบนาที จนตอนนี้เหลือเพียงสิบนาทีเท่านั้น เทพเจ้าจะต้องตีมันให้เสร็จ ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นตอนเกิดสุริยคราสพอดี
เฮเฟสตัสทุ่มพลังสุดกำลัง เขาพยายามไม่สนใจถ้ำที่กำลังถล่ม และฝืนกับแรงมหาศาลที่แผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา นิ้วของเทพเจ้าค่อยๆถูกกระแสพลังบาดออกเป็นริ้วๆ อีคอร์สีทองไหลออกมาเรื่อยๆ แต่เฮเฟสตัสก็ยังไม่หยุด เขายังคงฝืนต่อไปเรื่อยๆ ฝืนจนกระทั่งที่เหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีเท่านั้น
5 ดวงจันทร์เริ่มเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
4 แสงสีดำเริ่มกลืนกิน
3 ดวงอาทิตย์ถูกกลืนไปแล้วเสี้ยวหนึ่ง
2 ดวงจันทร์บดบังเข้ามาครึ่งดวง
1 เหลือเวลาอีกไม่กี่วินาทีก่อนที่จะบดบังเต็มดวง เฮเฟสตัสยังคงทำอะไรไม่เสร็จ!! พวกเขาทุกคนเริ่มมองอย่างลุ้นระทึก มันจะต้องเสร็จ มันจะต้องเสร็จทัน มันจะต้องเสร็จ!!
5
4
3
2
1
0
ดวงจันทร์กลืนกินดวงอาทิตย์ทั้งหมด พระอาทิตย์กลายเป็นสีดำ โลกทั้งใบมืดบอด
ฉับพลันนั้นแสงสีแดงก็อาบไล้ไปทั่วทั้งถ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดไว้ด้วยกาลเวลา ขุมพลังอันแรงกล้าระเบิดออกมาก่อนที่ศาสตราวุธที่มิมีผู้ใดเอาชนะได้จะปรากฏขึ้นที่เหนือเบ้าหลอม...
เคียวสีแดงราวโลหิตขนาดใหญ่เล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากเบ้าหลอมพร้อมกับโล่ผลึกเพชรที่เรืองแววด้วยแสงสีทองและขาว ความทรงพลังของพวกมันมากพอที่จะย้อนเศษผนังถ้ำและธุลีต่างๆให้ย้อนกลับขึ้นไปเป็นแบบเดิมได้ ก่อนที่มันจะลอยมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กน้อยทั้งสอง โดยเคียวโลหิตอยู่ตรงหน้าโยดาและโล่ผลึกเพชรอยู่ตรงหน้าโยฟาน
“พวกมันเลือกเจ้า...” เฮเฟสตัสพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง ทุกคนหันมามองภาพนั้นด้วยความเหลือเชื่อก่อนที่เทพเจ้าจะพูดขึ้น
“รีบขึ้นไปซะ ตอนนี้จะเป็นเวลาที่พลังทุกอย่างแปรปรวน พวกเจ้าจะเอาชนะซุสได้โดยง่าย” ทุกคนตื่นจากความตะลึงก่อนที่พวกเขาจะโค้งศรีษะให้กับเทพเจ้า เด็กน้อยทั้งสองคนวิ่งเข้ามากอด โยฟานจับโล่ให้แสงอาบไล้เทพเจ้า ร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ เฮเฟสตัสแย้มยิ้มก่อนที่เขาจะลูบผมเด็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“จงมีชัยอยู่ในซุส” เสียงทรงพลังที่เขย่าทั้งโรงงานตีเหล็กดังขึ้น ฉับพลันนั้นแสงสว่างก็สว่างวาบขึ้นจนลุกโชนพร้อมกับที่พวกเขาถูกทำให้หายวับไปจากตรงนั้นทั้งหมด
...................................................
โอลิมปัสกำลังระส่ำระส่าย เทพเจ้าน้อยใหญ่จากทุกวังแห่งเทพโอลิมเปียนถูกเกณฑ์ให้มารวมตัวกันที่พระราชวังของซุส ทหารทุกนายต่างสอดส่ายสายตาอย่างหวาดระแวง มือของพวกเขาสั่นระริก ความตื่นกลัวเข้าเขย่าขวัญ พระอาทิตย์ถูกกลืนกินแล้ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ อีกไม่ช้าพวกศัตรูจะมา…
ทหารยามที่คอยตรวจตราความเป็นไปรอบกำแพงแห่งโอลิมปัสต่างเริ่มกระสับกระส่าย พวกเขากวาดตามองทุกสิ่งในความมืด มีเพียงความเงียบอันน่าขนลุกที่ตอบพวกเขากลับมา ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ไม่มีอะไรซ่อนภายใต้พื้นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบจนกระทั่งที่หนึ่งในป้อมยามเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทะเลที่อยู่เบื้องล่างกลายเป็นสีดำสนิท หมอกควันจากความตายแผ่คลุมเป็นวงกว้าง เสียงฝีเท้าของคนนับร้อยดังขึ้นเขย่าขวัญ ทหารยามเริ่มขวัญผวา รีบวิ่งไปคว้าระฆังแจ้งเตือน ก่อนที่ความหวาดกลัวจะเข้าจู่โจมจนพวกเขาแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นกองทัพอันทรงพลังของอีกฝ่าย
เด็กน้อยทั้งสองคนที่ซุสสั่งให้กำจัดนำทัพของมนุษย์กึ่งเทพที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์มาพร้อมกับเซนทอร์ผู้บ้าคลั่งทั้งฝูง และเทพโอลิมปัสผู้ยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆปรากฏกายขึ้น ทั้งเอรีส เทพเจ้าแห่งสงคราม เฮอร์มีส เทพแห่งการสื่อสาร อะโฟรไดท์ เทพีแห่งความงาม อธีน่า เทพแห่งยุทธศาสตร์และปัญญา เฮเฟสตัส เทพแห่งการช่างและการประดิษฐ์ และ…
สองมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ เคียงข้างมาด้วยเทพีผู้เรืองอำนาจที่สุดในสรวงสวรรค์ โพไซดอน ฮาเดส และเฮรา พวกเขาเข้าร่วมกับกองทัพด้วย ทหารเฝ้ายามต่างมองด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขาตัวสั่นระริกอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะรวบรวมความกล้าลุกขึ้นสั่นระฆังแจ้งเตือนแล้วตะโกนแจ้งข่าวลั่น
“พวกมันมาแล้ว!!! พวกมันมาแล้ว!!!” เขาหวีดร้องก่อนที่ทหารจะรีบแจ้งกลับไปที่วังของซุส
ซุสกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ที่อับแสง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ความตื่นกลัวเข้าเขย่าขวัญ เทพเจ้าทำอะไรไม่ถูก เด็กสองคนนั้นกำลังมาแล้ว พวกเขากำลังจะมาโค่นล้มเขา พวกเขากำลังจะมาฆ่าเขา เขาจะเป็นเหมือนโครนอส จะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนลงทาร์ทารัส ไม่ เขาจะต้องไม่เป็นอย่างนั้น เขาจะต้องไม่มีจุดจบเหมือนกับพ่อ!!!
ซุสกำมือที่สั่นของตัวเองแน่น ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งด้วยเสียงที่ไม่ทรงพลังเท่าแต่ก่อน..
“เปิดศึกได้…”
สิ้นเสียงนั้นกองทัพก็เริ่มออกจากราชวัง เทพแห่งโอลิมปัสอีกสามองค์กระโจนเข้าสู่สมรภูมิรบ ดีมิเทอร์เทพแห่งกสิกรรม อาร์ทิมิสเทพแห่งการล่าสัตว์ อพอลโลเทพแห่งการดนตรีและการแพทย์ และไดโอนีซุสเทพแห่งไวน์ พวกเขาพุ่งโจมตีด้วยพลังมหาศาล
คริสกับชานยอลคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาของพวกเขาเปล่งแสงขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งจะเรียกสายน้ำจากมหาสมุทรขึ้นมากวาดล้าง คริสใช้ธรณีสูบ ฝูงผีดิบขึ้นมาลากพวกนั้นลงสู่นรก กึ่งเทพและเทพเจ้าที่เหลือใช้พลังของตนเข้าจัดการกับอีกฝ่าย ลู่หานใช้วาจาสิทธิ์สั่งให้ทหารห้ำหั่นกันเอง ซีวอนซัดพายุสายฟ้าใส่ ฮีซอลเรียกกองทัพแห่งนักรบขึ้นมาช่วย คยองซูใช้เวทมนตร์เสกให้พวกเขากลายเป็นดอกไม้ และเซฮุนที่สร้างความสับสนให้กับกองทัพด้วยการเคลื่อนไหวเร็วป่วนให้ทหารแตกระเบียบจนจัดการได้ง่าย
“อ่อนหัดนัก!!!!” ดีมิเทอร์คำราม เทพีอัดพลังเวทมนตร์ใส่กองทัพของพวกเขา เซนทอร์มากมายที่ต้องเวทมนตร์กลายร่างเป็นธัญพืช
เทพเจ้าฝั่งโยดากับโยฟานกู่ร้องด้วยความเดือดดาล ก่อนที่พวกเขาจะเข้าจัดการกับอีกฝ่าย เอรีสโจมตีไดโอนีซุสที่เรียกใช้ฝูงเมนาด นางอัปสรผู้บ้าคลั่งที่ฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยมือเปล่าด้วยทหารสปาตาร์ ทหารจากฟันมังกรที่จะไม่มีวันหยุด หากไม่ได้ฆ่าคน อะโฟรไดท์และเฮอร์มีสแยกกันจัดการกับอพอลโลและอาร์ทิมิส เฮอร์มีสใช้การเคลื่อนที่รวดเร็วหลบหลีกเหล่านายพรานของอาร์ทิมีสและอาศัยลอบโจมตีในตอนเผลอ ในขณะที่อะโฟรไดท์ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์เบี่ยงเบนทิศทางของธนูที่อพอลโลระดมยิงเข้าใส่ ก่อนที่เฮเฟสตัสจะเข้าจัดการกับพวกนายพรานอย่างราบคาบ โพไซดอนและฮาเดสจับจ้องไปที่ดีมิเทอร์ เทพีองค์เดียวที่ยังไม่ถูกเทพเจ้าจัดการ
“เทพีองค์นี้ข้ายกให้เจ้า” โพไซดอนแสยะยิ้มร้าย เขารู้เรื่องความบาดหมางระหว่างสองคนนี้ดี และมันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้ประจันหน้ากัน
“ข้าไม่ได้คิดทำร้ายท่าน ท่านยังพอมีเวลาสละออกจากกองทัพ” ฮาเดสเอ่ยเตือน แต่เธอไม่ยอมฟัง
“เจ้ากับเชื้อสายของเจ้ามันก็แค่เศษสวะ ก็แค่ผลผลิตของความชั่วร้าย จงตายๆไปเสียเถอะ!!!” เธอพุ่งเข้าใส่ ฮาเดสเบี่ยงตัวหลบก่อนที่เขาจะจับแขนเทพีเอาไว้
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงไม่ขอออมมือ” สิ้นเสียงนั้นฝูงผีดิบก็กรูกันขึ้นมาจับกุมเทพีเอาไว้ เธอกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่ฮาเดสจะสูบเธอลงไปในนรก บางทีเธอก็ควรจะไปอยู่กับลูกสาวในนั้นสักพัก
ทั้งสองกองทัพห้ำหั่นกันเองด้วยความโหดร้ายและป่าเถื่อน การต่อสู้กินระยะเวลาอยู่สักพัก มีทหารมากมายบาดเจ็บและถูกฆ่า บางตนที่ฉลาดพอก็รีบวิ่งหนี ในขณะที่บางตนที่ยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างซุสก็ถูกจำกัด ในที่สุดกองทัพของซุสก็ไม่เหลือใคร…
“หนูไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย…” โยดาที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบพูดขึ้นอย่างเศร้าสร้อย โยฟานจับมือของเธอไว้แน่น
“พี่ฟานก็ไม่ชอบ..” คริสกับชานยอลเอื้อมมือมาจับมือลูกน้อยทั้งสอง
“พวกเขาจะไม่มีวันตาย พวกเขาจะกลับมาอีก เพราะพวกเขาคือเทพเจ้า” ทั้งสองเอ่ยบอก แต่แน่นอนว่าสำหรับซุส เขาจะไม่มีวันกลับมาอีก เขาจะถูกสับเป็นชิ้นๆแล้วถูกโยนลงสู่ทาร์ทารัสเฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับพ่อของตนเอง…
สองสายเลือดแห่งเทพผู้ถูกกำหนดมาเพื่อให้โค่นล้ม พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าประตูพระราชวังของซุส ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในนั้น สู่สถานที่หลบภัยแห่งสุดท้ายของซุส...
ทหารจากราชวังกรูกันออกมาขัดขวางพวกเขาแต่ด้วยขวัญและกำลังใจที่ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือ ทำให้พวกนั้นถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย กองทัพของโยดาและโยฟานบุกพระราชวังเข้าไปเรื่อยๆ พวกเซนทอร์กู่ร้องอย่างคึกคะนอง พวกมันเที่ยวทำลายข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนกระทั่งที่พระราชวังที่ครั้งหนึ่งเคยทรงไว้ซึ่งเกียรติยศและความศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นแค่ซากของเศษปูนเศษหินเท่านั้น
“ไม่ ข้าจะไม่ยอม ข้าจะไม่ยอมลงจากบัลลังก์นี้เด็ดขาด ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันมาโค่นล้ม!!” เสียงของซุสที่ตื่นกลัวสุดขีดดังก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง ต้นเสียงนั้นมาจากท้องพระโรง
“ท่านพ่ออยู่ในนั้น” ซีวอนพูดขึ้น คริสหันไปสบตาก่อนที่เขาจะพูด
“รออยู่ตรงนี้ก็ได้” เขาพอจะเข้าใจดีว่าการเดินเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังจะโค่นล้มพ่อแท้ๆของตัวเองมันทำใจยากแค่ไหน ถึงแม้ว่าพ่อคนนั้นจะชั่วร้าย จะเคยทำร้ายสักเท่าใด แต่สายเลือดก็ต้องย่อมเป็นสายเลือด
“ฉันจะเป็นคนนำพวกนายเข้าไปเอง” แล้วซีวอนก็เดินนำทุกคนเข้าไปที่โถงทางเดิน ก่อนที่เขาจะผลักประตูให้เปิดออก
ซุสกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ที่อับแสง
มหาเทพที่เคยปกครองทั้งสรวงสวรรค์บัดนี้กลับเหลือเพียงแค่ชายแก่ผู้อ่อนแรงและหวาดกลัวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงที่แทบมองไม่ออกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นบัลลังก์ที่วิจิตรตระการตาที่สุด ทรงพลังที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด
“พวกแก” เทพเจ้าพูดด้วยความเกลียดชัง เขาดูเหมือนหนูที่จนตรอกแต่ก็ยังคงบ้าคลั่ง พวกเขาทั้งหมดค่อยๆเดินเข้าไปหา
“ลูกของผมมีอาวุธที่จะโค่นล้มท่านได้ ท่านไม่มีทางจะชนะพวกเรา ท่านควรจะยุติเรื่องนี้ซะ เลิกทำร้ายครอบครัวของผม” คริสเจรจา เขาไม่ใช่คนใจดีกับศัตรูนัก แต่สำหรับซุสตอนนี้เขาคิดว่าเทพเจ้าควรมีทางเลือก
ซุสกำลังอ่อนแอเกินกว่าที่จะสู้
“ข้าไม่มีวันยอมพ่ายแพ้ ข้าคือประมุขแห่งสรวงสวรรค์ ข้าไม่มีวันถูกโค่นล้ม!!!” เขาคำรามพร้อมกับเขย่ากำปั้น ชานยอลพูดขึ้นด้วยเสียงที่ละมุนละม่อมมากกว่าคริส
“พวกเราไม่เคยคิดอยากจะทำร้ายท่าน ทุกอย่างมันจบลงด้วยดีได้ถ้าท่านยอมบอกว่าจะไม่ตามทำร้ายลูกของผมอีกแล้ว” เทพเจ้าเงียบไม่ยอมตอบ โพไซดอนกับฮาเดสช่วยเกลี้ยกล่อม
“คิดให้ดีนะซุส จะอยู่อย่างสันติ หรือจะเค่นฆ่ากันจนเจ้ามีชะตากรรมแบบโครนอส…” โพไซดอนพูดขึ้น ซุสตัวสั่นเทา ก่อนที่ฮาเดสจะกล่าวต่อ
“เจ้าคงรู้ความเจ็บปวดของการถูกสับร่างเป็นชิ้นๆแล้วโยนลงทาร์ทารัสนะซุส อย่าให้ข้า…”
“ไม่!!! ข้าจะไม่มีวันจบลงแบบนั้น!! ข้าจะไม่มีวันเป็นอย่างโครนอส!!!”
เปรี้ยง!!!
สายฟ้าฟาดลงมากลางห้อง โยฟานยกโล่ขึ้นปกป้อง ฉับพลันนั้นสายฟ้าก็ถูกสลายกลายเป็นเพียงสายลมเย็น แต่ทว่าเด็กน้อยไม่สามารถปกป้องทุกคนไว้ได้ ชานยอลกับคริสถูกสายฟ้าฟาดไปด้วย ร่างของพ่อแม่บาดเจ็บอยู่ข้างๆเขา
โยฟานกับโยดาตัวสั่น ทั้งสองก้มลงกอดพ่อแม่ ร่างกายที่โชกเลือดและเต็มไปด้วยรอยไหม้ทำให้ทั้งสองตื่นตระหนก เพลิงแห่งโทสะค่อยๆลุกโหมขึ้น เสียงหัวเราะของซุสยิ่งเร่งให้กองไฟยิ่งแผดเผา พวกเขากำมือแน่น ดวงตาใสซื่อทั้งสองเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เขากล้าทำได้ยังไง เขากล้าทำร้ายพ่อแม่ของเขาได้ยังไง เขากล้าหัวเราะกับความเจ็บปวดของพ่อแม่ของเขาได้ยังไง!!!!
ฉับพลันนั้นโทสะของทั้งสองก็ระเบิดออก สร้อยคอที่โพไซดอนเคยให้แตกกระจาย พลังที่ถูกสะกดไว้ระเบิดออก ดวงตาของทั้งสองเปลี่ยนสี ไอพลังมหาศาลลุกโชติช่วง ร่างกายของพวกเขาเปล่งประกายด้วยรัศมีเทพเจ้า โยดากับโยฟานค่อยๆย่างสามขุมไปหาซุส เทพเจ้าหวาดผวาจนขว้างอัตสนีบาตรใส่ไม่ยั้ง
“ทำไมถึงต้องทำร้ายพ่อแม่ของหนู” โยดาถามแววตาของเธอแทบจะใกล้เคียงกับตอนฮาเดสกำลังพิโรธ เด็กน้อยแผ่รัศมีสีดำที่กลืนกินทุกแสงสี สายฟ้าถูกพลังของเธอดูดกลืนจนไม่เหลือพิษสง ในขณะที่โยฟานเองก็จับสายฟ้าแล้วสลายมันไว้ได้ด้วยมือเปล่า
“ทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเขา” โยฟานถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่ได้คำตอบ เทพเจ้าตัวสั่นระริก เขายิ่งฟาดสายฟ้าใส่ เหล่ามนุษย์กึ่งเทพที่เหลือเริ่มกระสับกระส่ายอยากจะเข้าช่วย แต่กลับถูกเทพเจ้าห้ามเอาไว้
เพราะพวกเขารู้ดีว่าสองคนนี้จะปราบซุสได้
“พ่อแม่หนูทำอะไรผิดเหรอ” เธอถามขึ้นอีกครั้งขณะที่แต่ละก้าวที่เดินไป แสงสีดำก็ค่อยๆกลืนกินทุกสิ่งภายในห้อง มีเพียงรัศมีสีฟ้าของโยฟานเท่านั้นที่ทำให้อีกครึ่งของท้องพระโรงสว่าง
“ออกไป!! ออกไป!!! อย่ามายุ่งกับข้า อย่ามายุ่งกับข้า!!!” ซุสขว้างของใส่ แต่ทุกสิ่งกลับถูกสลายไปเพียงแค่สัมผัสกับรัศมีของทั้งสอง โยดากับโยฟานค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาจนเกือบจะถึงบัลลังก์
“ไม่!!! ออกไป ข้าบอกให้ออกไป!!! ทหาร!! มาจับพวกมัน มาจับพวกมันไปที!!!” แต่กลับไม่เหลือทหารไว้ให้สั่งการ ตอนนี้เหลือเพียงซุสอยู่ในพระราชวังเพียงลำพัง…
“ทำไมคุณถึงไม่ตอบ!!! พ่อแม่หนูทำอะไรผิดถึงต้องทำร้ายพวกเขาด้วย!!!” ฉับพลันนั้นพวกเขาจับมือกัน แรงโทสะของพวกเขาระเบิดออก รัศมีเข้ารวมกัน พลังมหาศาลสั่นคลอนให้ท้องพระโรงพังทลาย โยดากับโยฟานพุ่งเข้าใส่ ซุสฟาดสายฟ้าใส่อย่างบ้าคลั่งแต่โยฟานกลับสะท้อนออกไปหมด ก่อนที่ทั้งสองจะเงื้อเคียวขนาดมหึมานั้นขึ้นเหนือหัวเตรียมจะฟันใส่ซุส
เทพเจ้าหวีดร้อง ภาพที่เขาเคยสับร่างของพ่อเป็นชิ้นๆย้อนกลับเข้ามา วันนั้นเขาก็ทำท่าแบบนี้ ฟาดฟันใส่ร่าง แล้วก็สับออกเป็นชิ้นๆ เขากำลังจะตายงั้นหรือ เขากำลังจะถูกโค่นล้มงั้นหรอ ประวัติอันยาวนานของเขากำลังจะจบลงที่นี่อย่างงั้นหรือ…
ทั้งคู่ลงเคียวฉับ เสียงถูกตัดดังขึ้น พลังทุกอย่างระเบิดออก ท้องพระโรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทุกๆสิ่งพังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างของซุสเบิกตาโพล่ง เขานั่งนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น เทพเจ้าตัวสั่นระริก ก่อนที่เขาจะค่อยๆสัมผัสที่ลำคอของเขา
มันยังอยู่ดี…คอของเขายังไม่ถูกตัด
“ทำไม…” เทพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ เขามองเด็กน้อยทั้งสองที่ตวัดเคียวใส่เสาต้นด้านหน้าแทนด้วยความไม่เข้าใจ โยดาและโยฟานหันไปสบตากับเขา
“พวกหนูทำไม่ลง…” เธอพูดขึ้น ก่อนที่โยฟานจะขยายความ
“อย่างน้อยคุณตาก็คือคนในครอบครัวของพวกเรา…” ทั้งท้องพระโรงตกตะลึงโดยเฉพาะซุส เด็กคนนี้บอกว่าเขาคือคนในครอบครัวอย่างนั้นรึ
“คุณตาเป็นพี่น้องของท่านตาของพวกเรา ตอนนั้นคุณตาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพ่อกับแม่ คุณตาต้องการฟาดสายฟ้าใส่พวกเราต่างหาก คุณตาต้องการที่จะฆ่าพวกเรา…” ปลายเสียงของเขาสั่น ความเศร้าสั่นระริกอยู่ในดวงตา โยดาจับมือคู่แฝดของเธอไว้แน่น
“หนูรู้ว่าคุณตาไม่ชอบพวกหนู อยากให้พวกหนูหายไป แต่พวกหนูไม่เคยอยากให้คุณตาหายไปเลย เราไม่เคยอยากได้เก้าอี้ตัวนั้น” เธอพูดอย่างใสซื่อพร้อมกับชี้ไปที่บัลลังก์ บัลลังก์นั้น เทพเจ้ามองทั้งสองด้วยแววตาสั่นระริก เขาคิดมาตลอดว่าต้องฆ่า เขาคิดมาตลอดว่าต้องทำร้าย แต่เด็กสองคนนี้กลับ…
ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลยสักครั้ง
“เราเป็นแค่เด็กสองคน เราทำอย่างที่คุณตาทำไม่ไหวหรอก และก็คงไม่มีใครอยากให้เราขึ้นมาแทนคุณตาด้วย” โยฟานหันไปมองเทพเจ้าโอลิมปัสและมนุษย์กึ่งเทพที่เหลือ ก่อนที่เอรีสจะพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของเด็กคนนั้น ไม่มีใครคิดจะโค่นล้มท่านจริงๆหรอก”
“ข้าเองก็ไม่เคยคิด” เฮอร์มีสพูดขึ้น
“ข้าเองก็เช่นกัน” อะโฟรไดท์พูดขึ้น ก่อนที่โพไซดอนจะพูดตาม
“ต่อให้ข้าจะเคยคิดกบฏกับเจ้ามากแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้หลานของข้ามาแทนที่เจ้า” ฮาเดสพยักหน้า
“ข้าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้มากกว่า” เขาพูดขึ้นก่อนที่เฮเฟสตัสจะสบตากับพ่อของตัวเอง
“ต่อให้ท่านจะโยนข้าลงมาจากสวรรค์อีกสักกี่พันรอบ ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้ใครมาแทนที่ท่าน” ซุสแววตาสั่นระริก
“เฮเฟสตัส…”
“ท่านเห็นหรือยังว่าไม่มีใครอยากให้ท่านถูกโค่นล้ม มีแต่ท่านเท่านั้นที่หวาดระแวงเด็กสองคนนี้” เฮราพูดขึ้นพร้อมกับโอบไหล่เด็กทั้งสองของเธอ
“ตื่นเสียเถิดซุส ตื่นจากความโกรธแค้น ตื่นขึ้นมาดูว่าของล่ำค่าของข้านั้นบริสุทธิ์และสวยงามมากแค่ไหน” เทพีพูดขึ้น ก่อนที่ซุสจะจ้องมองเด็กทั้งสอง ความรู้สึกผิดเข้าคุกคามหัวใจของเขา ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำอะไรอยู่ เขาฝังตัวเองอยู่ในความโกรธแค้น หวาดระแวงว่าเด็กทั้งสองจะมาโค่นล้มเขา ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยอยากทำ และไม่มีใครคิดอยากให้เขาถูกโค่นล้ม มีแต่เขาเท่านั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่โง่เขลา และดูถูกพลังอำนาจของตัวเอง แท้จริงแล้วนั้นศัตรูตัวฉกาจของเขา และผู้ที่จะมาโค่นล้มเขานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากใจของเขาเอง
“ข้าขอโทษ…” เทพเจ้าเอ่ยพร้อมกับโค้งศีรษะขอโทษเด็กสองคนนั้น และครอบครัวของพวกเขา โยดาและโยฟานส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับแย้มยิ้มให้ก่อนที่ทั้งสองจะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
พวกเขายื่นอาวุธให้กับซุส
“พวกหนูให้ท่าน ให้มันอยู่กับคุณตาดีที่สุด มันจะได้ช่วยปกป้องคุณตา” ทั้งสองพูดขึ้น ซุสเข้าใจถึงความหมาย หากยกมันให้กับเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องระแวงว่าใครจะมาทำร้ายอีก
ฉับพลันนั้นที่โยดาและโยฟานมอบมันให้กับเขา โลกก็สั่นสะเทือน ท้องฟ้าค่อยๆกลับมาสว่างอีกครั้ง พระจันทร์คลายพระอาทิตย์ออก พลังของซุสค่อยๆกลับคืนมา เทพเจ้ากลับมาสง่างามอีกครั้ง บัลลังก์นั้นกลับมาเปล่งประกายและทรงพลังเหมือนอย่างเก่า ท้องพระโรงที่ค่อยๆซ่อมแซมตัวเอง ทหารทุกคนที่บาดเจ็บ รวมไปถึงคริสกับชานยอลที่ถูกสายฟ้าฟาดก็กลับขึ้นมาเป็นปกติ ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมภายใต้การปกครองของซุสที่เป็นมากว่าหลายพันปี
เทพเจ้าสบตากับเด็กน้อยทั้งสอง เขาไม่คิดที่จะทำลายอาวุธเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อใจในตัวเด็กน้อย และเขา...
ก็ไม่คิดที่จะทำร้ายพวกเขาอีกแล้ว
“เหล่าไพร่ฟ้าของข้าจงฟัง!!!” ซุสประกาศพร้อมกับกระแทกอัตสนีบาตเสียงดังกึกก้อง เหล่าเทพเจ้าและเทพีทั่วทั้งโอลิมปัสต่างเงี่ยหูสดับรับฟัง มหาเทพประกาศคำสั่งดังกึกก้องไปทั้งสวรรค์
“ในนามของข้า มหาเทพซุส ข้าขอสั่งห้ามมิให้ผู้ใดคิด หรือกระทำการใดที่จะเป็นอันตรายต่อโยดากับโยฟาน และครอบครัวของเด็กทั้งสอง หากมันผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง ทำให้เลือดหนึ่งหยดต้องหลั่งริน ทำให้เนื้อหนังต้องถลอก หรือแม้แต่เกิดรอยขีดข่วนแม้เพียงปลายเล็บ มันผู้นั้นจะต้องได้รับโทษสูงสุด!!!”
“และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป....” เขาเว้นช่วง ทั่วทั้งโอลิมปัสต่างอยู่ในความเงียบ ก่อนที่เทพเจ้าจะระเบิดเสียงดังออกมา
“โยดาและโยฟานจะเปรียบเสมือนบุตรและธิดาของข้า พวกเขาจะได้รับสิทธิและการเคารพเสมอเหมือนที่บุตรและธิดาของข้าได้รับทุกประการ และนอกจากนี้พวกเขายังจะได้...”
“บัลลังก์ในสภาโอลิมปัส หากการประชุมใดมิมีพวกเขา การประชุมนั้นจะเริ่มต้นไม่ได้เป็นอันขาด!!!” ฉับพลันนั้นบัลลังก์คู่ของโยดาและโยฟานที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏในการประชุมเหล่ามนุษย์กึ่งเทพก็ประจักษ์ให้เห็นสู่สายตาถึงความทรงพลัง ยิ่งใหญ่ และเรืองอำนาจที่สภาเทพโอลิมเปี่ยน เสียงผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน มหาสมุทรคลุ้มคลั่ง เหล่าเทพเจ้าและเทพีที่ฟังอยู่ต่างพากันตื่นตระหนก พวกเขาสบตากันอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีใครสักคนในนั้นคุกเข่าแล้วน้อมรับคำสั่งของซุส
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าพูดขึ้นตาม
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
“น้อมรับบัญชาองค์มหาเทพ”
เสียงน้อมรับบัญชาดังขึ้นเรื่อยๆ เหล่าเทพเจ้าและเทพีบนสรวงสวรรค์ต่างตอบรับคำสั่งของมหาเทพซุส พวกเขายึดถือมันเป็นดั่งคำสั่งประกาศิตที่ฝ่าฝืนไม่ได้ ซุสผายมือให้โยดาและโยฟานขึ้นนั่งบนบัลลังก์คู่ของตนเด็กน้อยหันมาสบตากันด้วยความครั่นคร้าม ก่อนที่พวกเขาจะหันไปขอความเห็นจากพ่อและแม่ คริสและชานยอลพยักหน้าตอบรับ พวกเขาจึงยอมเดินไปที่บัลลังก์ ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของทั้งสองเพ่งพินิจบัลลังก์ของพวกเขาด้วยความพรั่นพรึง ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยฝันถึงเก้าอี้ของเจ้าหญิงและเจ้าชายที่สวยงามและน่านั่งเหมือนในการ์ตูนที่เคยดู แต่วันนี้ ณ เวลานี้พวกเขากลับมีบัลลังก์เป็นของตัวเอง แม้ไม่ได้เหมือนในการ์ตูนที่วาดฝันไว้ แต่พวกมันก็สวยงาม สวยยิ่งกว่าครั้งแรกที่พวกเขาเคยนั่ง...
แล้วพวกเขาก็ค่อยๆนั่งบนบัลลังก์อย่างช้าๆ..
ฉับพลันนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็เปล่งแสงสว่างวาบ รัศมีของบัลลังก์ลุกโชติช่วงชัดชวาล มหาเทพคลี่ยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง
“ขอบคุณที่รับคำขอโทษจากข้า นับบัดนี้พวกเจ้าคือโยดาและโยฟาน มนุษย์กึ่งเทพคู่แรกและคู่สุดท้ายแห่งสภาเทพโอลิมเปียนแล้ว” ซุสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างพากันแย้มยิ้ม คริสและชานยอลเดินเข้าไปหาลูกๆ พวกเขากอดกันแน่นด้วยความโล่งอก เซฮุนที่เฝ้ามองอยู่คอยส่งเสียงกระตู้วู้ ลู่หานต้องคอยฟาดไหล่ห้าม ซีวอน และฮีซอลหัวเราะอย่างขบขัน คยองซูแย้มยิ้มจนแก้มปริ เสียงหัวเราะของพวกเขาค่อยๆร่ายมนตร์ให้โอลิมปัสกลับมามีความสุขอีกครั้ง เสียงนั้นเดินทางไปทักทายเหล่าเทวดาและมนุษย์กึ่งเทพที่เฝ้ามองอยู่ให้ต่าง พากันคลี่ยิ้มตาม ความทุกข์และความกดดันค่อยๆถูกปัดเป่าจนสลายหายไป เสียงหัวเราะรดน้ำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ต้นไม้แห่งความสุขที่เติบโตได้ด้วยเสียงหัวเราะค่อยๆชูช่อขึ้น ดอกของมันค่อยๆเบ่งบาน กลีบสีขาวบริสุทธิ์อวดโฉมสู่สายตา กลิ่นหอมอ่อนๆคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงหัวเราะผู้คนทำให้ต้นแห่งความสุขออกดอกบานสะพรั่ง แล้ว ณ ที่แห่งนั้น ความสงบสุขก็กลับมาเยือนสวรรค์แห่งนี้อีกครั้ง
“ท่านเชื่อหรือยังว่าเด็กทั้งสองคือของขวัญจากข้า…” เสียงของเฮราดังขึ้นพร้อมกับที่นางเดินมายืนอยู่เคียงข้างกับซุสที่กำลังทอดตามองภาพนั้นอยู่ เขาเหลือบตามองมเหสีของเขาเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ
ครั้งหนึ่งที่เฮราเคยห้ามเขาเรื่องที่จะฆ่าเด็กสองคนนี้ เธอถึงขั้นเดินเข้ามาขอร้องกับเขา เธอเฝ้าแต่พร่ำบอกว่าจงอย่าฆ่าพวกเขาทั้งสอง จงอย่าทำลายของขวัญจากเธอ และจงอย่าทำลายความสุขของโอลิมปัส วันนั้นเขาไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยสักนิด เขาอยากจะกำจัด อยากจะฆ่าให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่ทว่า...พอมาถึงวันนี้ เขากลับเข้าใจความหมายของคำขอร้องนั้นแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว เฮรา ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้าแล้ว...” เขาคลี่ยิ้ม ก่อนที่ทั้งสองจะพูดขึ้นพร้อมกัน
“พวกเขาไม่ใช่เพียงแต่ของขวัญจากเฮรา แต่ทั้งสองคือของขวัญจากโอลิมปัส การถือกำเนิดของพวกเขาทำให้สรวงสวรรค์กลับมามีความสุขอีกครั้ง” สิ้นเสียงนั้นทั้งสองก็คลี่ยิ้ม รอยยิ้มแห่งความผ่าสุขถูกวาดขึ้นกลีบปาก และมัน..อาจจะกว้างที่สุดตั้งแต่ที่พวกเขาเคยยิ้มมา เพราะโยดาและโยฟานคือ...
ของขวัญจากเฮรา
และของขวัญล้ำค่าที่สุดของโอลิมปัส…
ยามเมื่อบุตรธิดาแห่งสายน้ำและความตายบังเกิด
เมื่อนั้นสรวงสวรรค์จักกลับมาผาสุข ความทุกข์ระทมจักสูญสิ้น
ความสุขสงบจักกลับมาเยือนอีกครั้ง
นั่นคือคำพยากรณ์จากเดลฟี ในตอนที่นางมาเข้าฝันเฮรา อันนำมาซึ่งการประทานโยดาและโยฟานแก่คริสและชานยอล เพื่อเป็นของขวัญจากเฮรา และความสุขแห่งโอลิมปัสสืบไปชั่วฟ้ากาลนาน
...............................................
จบแล้วค่ะ ^^ รบกวนติดแท็กให้นิดนึงนะว่าเป็นยังไงบ้าง #ทะเลดำ
ขอบคุณค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ