“ทำไม ทำไมจะต้องเป็นส่วนนี้ด้วย”ผมพูดเสียงเบาหวิว ก่อนจะรีบกุมขมับของตัวเองเมื่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมา อาการเจ็บแผลที่หัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง จนปวดไปหมด แผลที่แขนเริ่มมีเลือดซึมเล็กน้อย เกิดจากการขยับเขยื้อนตัวมากเกินไป
“คริส...”พี่สาวรีบวิ่งเข้ามาหาผม
“ผมไม่เป็นไร ผมจะไปหาเขา”
“คริส แต่”สีหน้าของพี่เต็มไปด้วยความกังวลเมื่อแผลของผมมีเลือดซึมไหลออกมามากยิ่งขึ้น
“ผมจะไปหาเขา”ผมพูดตัดบท ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ห้องผ่าตัด
ผมทรุดตัวนั่งอย่างอ่อนแรงที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ก่อนจะเอนหลังพิงกับกำแพง แหงนหน้าขึ้นมองดวงไฟที่ส่องสว่างอยู่อยู่บนเพดานสลับกับประตูห้องผ่าตัดที่ชานยอลกำลังทรมานอยู่ในนั้นด้วยแววตาว่างเปล่า เหม่อลอยเหมือนคนไร้สติ จิตใจปวดหนึบและวูบโหวงด้วยความกลัว ผมกลัว กลัวว่าชานยอลจะเป็นอันตราย กลัวว่าชานยอลอาจจะ.....อาจจะลืมผม...
“เขาจะต้องไม่เป็นไรคริส” พี่สาวบีบมือให้กำลังใจผม ผมพยักหน้าตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหลับตานิ่ง ควบคุมสติของตัวเองไม่ให้เตลิดคิดอะไรในแง่ร้ายมากไปกว่านี้ แต่สุดท้ายความพยายามก็พ่ายแพ้จิตใต้สำนึกอย่างราบคาบ ผมลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกา
เข็มยาวของนาฬิกาเพิ่งจะก้าวเดินไปได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่ช่วงเวลาที่ผมต้องติดอยู่ในความกลัวดูยาวนานยิ่งกว่านั้นมาก ผมเหลือบตาไปมองประตูผ่าตัดสลับกับนาฬิกาอย่างร้อนรน นั่งเพ่งมองก้าวเดินของเข็มนาฬิกาอยู่ทุกขณะจิต จากวินาทีเปลี่ยนเป็นนาที เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง สี่ชั่วโมง ห้าชั่วโมงอย่างเชื่องช้าจนทำผมหงุดหงิด
พยาบาลที่เดินผ่านแถวนั้นพยายามคะยั้นคะยอให้ผมไปทำแผลใหม่ และพักผ่อน เพราะตอนนี้อาการเจ็บแผลของผมเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว แต่ผมก็ไม่สนใจ ยังดันทุรังฝืนสังขารตัวเองนั่งรอเขาต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเกิดเขาออกมาแล้วไม่เจอผม เจ้าตัวแสบอาจจะร้องจ้าได้ ผมจะรอ รออยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นว่าเขาปลอดภัยดีแล้วก็พอ
แต่ไหนแต่ไร ผมเกลียดการรอคอยอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมเกลียด มันทำให้ผมหงุดหงิด และอึดอัดอยู่กับความไม่รู้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไง และห่วงใย ห่วงว่าเขาจะปลอดภัยดีมั้ย ผมนั่งรอต่อไปเรื่อยๆจนเข็มสั้นชี้เลขสิบ กว่าหกชั่วโมงที่รอคอย ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก แม่เดินออกมาพร้อมกับเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมาด้วย
“แม่ครับ เขา ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”
“อืม”แม่พยักหน้ารับช้าๆ สีหน้าเรียบเฉย แวบหนึ่งในดวงตาฉายแววกังวลเล็กน้อย แต่มันก็ถูกขจัดออกไปเร็วพอๆกับครั้งที่มันมา
“เขาจะ....”
“พาเขาไปที่ห้องพักก่อนเถอะ”แม่เลี่ยงที่จะตอบ ผมจำใจพยักหน้ารับคำบอกของแม่ช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเดินตามเตียงที่ถูกเข็นออกไปด้วยหัวใจที่เต้นช้าลงทุกที ทุกที ทุกที ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวกำลังร้องเตือนถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น...
หญิงผู้เป็นแม่ ทอดตามองลูกชายของเธอด้วยสายตาราบเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความกังวล เธอมองจนร่างนั้นหายลับไป เปลือกตาบางค่อยๆหลับตาลงช้าๆ เปิดรับเอาความเงียบอันน่าอึดอัดเข้ามาในจิตใจ เธอยืนนิ่งงันอย่างนั้นอยู่นานจนหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเริ่มกระวนกระวายและเริ่มใจคอไม่ดี
“แม่คะ”เธอเหลือบตามองหน้าลูกสาวก่อนจะมองไปตามทางที่เตียงถูกเข็นไป
“ขอให้ตื่นขึ้นมาแล้วยัง......เหมือนเดิมเถอะ” เธอพูดกับตัวเองลอยๆ ก่อนจะก็เดินออกไปจากบริเวณนั้นช้าๆ...
------------------------------------
ค่ำคืนแห่งความกลัวและกังวลค่อยๆผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า พระจันทร์คล้อยต่ำลงเกือบจะถึงเส้นขอบฟ้า อีกไม่กี่นาทีแสงตะวันก็คงจะโผล่พ้นออกมาขับไล่ความเงียบสงบอันน่าอึดอัดนี้ แต่ถึงกระนั้นห้วงเวลาที่ยังคงเหลือยอยู่ก็น่าสะอิดสะเอียนเหลือจะทานทน
พระจันทร์ใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดไปอย่างเนิบนาบ จนเกือบจะดูเหมือนกำลังประวิงเวลาอยู่ คล้ายกับอยากยืดเวลาที่จะได้เชยชมโลกต่อ แต่มันก็ทดเวลาต่อได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น แสงแรกจากพระอาทิตย์ค่อยๆกรีดม่านฟ้าอันมืดมิดออกอย่างช้าๆหากแต่มั่นคง ความอบอุ่นของมันกำลังขับไล่ความเยือกเย็นยามค่ำคืนให้สลายหายไป เตรียมรอรับการกลับมาของพระอาทิตย์อีกครั้ง ไม่นานนักทั่วทั้งฟากฟ้าก็ถูกแสงแดด สิ่งมีชีวิตมากมายต่างพากันตื่นขึ้นมาจากนิทราในยามราตรี เตรียมรับความสดชื่นในวันใหม่ที่กำลังมาเยือน
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนอยู่ตรงโซฟาในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่ง ค่อยๆกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ เพื่อปรับโฟกัสให้เข้ากับแสงที่สว่างขึ้น เขายันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปที่คนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ขายาวค่อยๆพาร่างตัวเองไปยืนข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบใบหน้านวลของอีกฝ่ายเบาๆ
“เมื่อไรจะตื่นนะ” ผมพูดออกมาลอยๆ เฮ้อ เมื่อไรจะตื่นนะ นี่มันก็ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เจ้าตัวแสบยังไม่ยอมลุกขึ้นมาเสียที ผมเกลี่ยนิ้วไปตามเครื่องหน้าของอีกคนเล่นอย่างเบามือ ใบหน้าที่นอนหลับพริ้มอย่างสุขสบายฉายอยู่ตรงหน้า เขาจะรู้มั้ยว่าผมเครียดแค่ไหนตอนที่เขาผ่าตัด จะรู้มั้ยว่าทำคนคนหนึ่งห่วงมากแค่ไหน หกชั่วโมงที่อยู่ในห้องผ่าตัด มันทำให้ผมกังวลจนแทบคลั่ง คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมจะทำยังไง
ผมมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากเขาเบาๆ แล้วเลื่อนหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากช้าๆ จูบบางเบาที่ไร้ความต้องการถูกใช้เป็นสายใยส่งความรู้สึกของผมอยู่อย่างนั้นสักพัก จนเมื่อรู้สึกถึงแรงขยับเขยื้อนน้อยๆ ผมจึงค่อยๆผละออกมา เปลือกตาบางวูบไหวไปมา อย่างคนที่กำลังหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการหลับ ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ ตากลมกลอกไปมามองดูรอบๆห้องอย่างสงสัย ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ผม
“ชาน เป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่มั้ย”ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะโผเข้ากอดเขา ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆผลักผมออก .....ทะ ทำไมล่ะ กะ เกิดอะไรขึ้น ทำไม เขาถึง...
ตากลมมองผมอย่างไม่เข้าใจ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบรวมกันเป็นเส้นเดียว ปากอิ่มเม้มแน่น ก่อนจะค่อยๆเผยออ้าออก เอ่ยคำพูดที่ทำโลกผมพังทลายลงในเสี้ยววินาที
“คุณเป็นใคร”
“ชาน....” ผมเรียกเขาเสียงเบาหวิว ท้องไส้วูบโหวง มือไม้เย็นเยียบ ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก น่ะ นี่ นี่เขาจำผมไม่ได้หรอ มะ ไม่จริงน่า มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
“คุณเป็นใคร” ประโยคสั้นๆที่ทำผมตัวชาไปหมด ดวงตากลมโตที่มักจะมีความสุขเสมอที่มองผม ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างคนที่กำลังระแวง ผมจ้องหน้าเขาค้างอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออก หัวสมองเหมือนถูกใครเอาไฟมาช็อตอย่างจัง
“คุณเป็นใคร แล้วทำไมผมมาอยู่ที่นี่”ชานยอลกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่ผมได้แต่ยื่นอยู่เฉยๆ
“ชะ ชาน....ชานยอล”
“รู้จักผมได้ยังไง!!!” ผมมองลึกเข้าไปในดวงตากลมนั้น ภาพที่สะท้อนอยู่คือร่างของผม แต่ในจิตใจของเขา คนคนนี้คือคนแปลกหน้าสำหรับเขา
“ชาน....นี่ นี่พี่หมอไงครับ ชานจำได้มั้ย” ผมพยายามยิ้มให้เขา พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ชานยอลถอยหลังกรูติดกับกำแพงทันที การกระทำของเขาทำผมชะงักงัน
เขากำลัง...
กลัวผมงั้นหรอ
“ชาน ลืมพี่หมอแล้วหรอ”ผมพูดเสียงสั่น ชานยอลโผล่หน้าออกมาจากหมอนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน เหมือนเราไม่เคยรู้จักกัน
“ผมไม่ได้ลืม แต่ผมไม่เคยรู้จักคุณ!!!” ผมอึ้งจนร้องไม่ออก พยายามคิดว่านี่อาจเป็นเพียงความฝัน อาจเป็นมุขตลกที่ชานยอลเอามาแกล้งผม
“ชาน ชาน นี่แกล้งพี่หมอใช่มั้ยครับ”ผมเขยิบเข้าไปใกล้
“ไป ออกไป!!! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!!!”
“ชาน ชานยอล เดี๋ยวก่อน ฟังพี่หมอก่อนสิ” ชานยอลปาหมอนใส่ผม ผมผงะถอยหลังไปสองสามก้าว ตากลมมองผมอย่างหาเรื่อง มือเรียวเอื้อมไปคว้าหมอนอีกใบมาไว้ในมือ เตรียมจะปาอีกรอบ แต่ด้วยความที่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทำให้อาการเจ็บแผลปวดแปลบขึ้นมาอีก ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเขา เมื่อเห็นเขาเริ่มเซไปเล็กน้อย ทันทีที่แตะตัวชานยอลก็สะบัดแขนผมทิ้ง เบี่ยงตัวหลบทันที
“ไปให้พ้น!!!” ชานยอลมองผมด้วยสายตารังเกียจ ราวกับผมเป็นเชื้อโรคร้ายแรงที่ไม่ควรเข้าใกล้ ผมได้แต่ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เหมือนการกระทำและคำพูดทุกคำถูกหยุดเอาไว้ด้วยสายตา
ของเขา
นี่มันอะไรกัน
นี่มันอะไรกัน
พระเจ้ากำลังเล่นตลกกับผมอยู่หรอ
ขณะที่ผมกำลังทำอะไรไม่ถูก ยืนแข็งทื่อเหมือนร่างไร้วิญญาณ จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออก โดยหญิงวัยกลางคนที่มีทรงผมและสไตล์การแต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ แม้จะไม่เจอกันนาน แต่ผมก็จำได้ในทันทีว่านี่คือแม่ของชานยอล โรงพยาบาลคงจะโทรไปบอกเธอเรื่องชานยอล
“หม่าม๊า!!!” ชานยอลร้องก่อนจะกอดเอวแม่ของเขาเอาไว้แน่น
“เอะอะอะไรชานยอล ม๊าได้ยินไปถึงข้างนอกเลย”
“เขามาบอกว่ารู้จักผม แต่ผมไม่รู้จักเขา!”
“อย่าสิลูก นั่น หมอคริสไงลูก ที่รักษาลูกไง” ชานยอลจ้องหน้าหาเรื่องผม ผมเบือนสายตาหนีไปทางอื่น
“ผมไม่รู้จักเขา!!! ไม่เคยรู้จักกับคนคนนี้”
“ชานยอล”
“ไม่!!!” ชานยอลนอนหอบหายใจอย่างหนัก คงเพราะเขากำลังโกรธจัด ผมมองภาพตรงหน้าอย่างใจหาย ชานยอลลืมผมแล้วจริงๆ
“ไป ออกไป!!!”
“ไม่ไปอีก!! ฮึ่ย! !” ชานยอลพูดก่อนจะปาแก้วน้ำใส่ผม
เคร้ง!!!
เสียงแก้วแตกดังไปทั่วบริเวณ หยุดทุกการกระทำของทุกคนเอาไว้ด้วยความตกใจ เศษแก้วกระเด็นเฉือนแก้มของผมจนเลือดออก ผมมองมันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เขา.....ทำร้ายผมหรอ เด็กน้อยที่รักผมขนาดนั้น กำลังทำร้ายผมอย่างนั้นหรอ…
“ชานยอล!!! // เกิดอะไรขึ้นคะ” เสียงแม่ของเขาดังขึ้นพร้อมกับเสียงพยาบาลที่วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์
“ทำไมทำแบบนี้ชานยอล!!”
“อย่าดุเขาเลยครับ เขาคงกำลังสับสน และกำลังกลัว”ผมขัดขึ้นก่อนชานยอลจะโดนแม่เขาดุ ชานยอลยังคงจ้องผมไม่วางตา ผมเสตาไปมองที่อื่น แกล้งก้มมองเศษแก้วที่แตกกระจายเต็มพื้นด้วยแววตาว่างเปล่า เมื่อกี้ชานยอลปามันมาแรงมาก แรงมากพอจนเศษของมันบาดหน้าผม รอยแผลนั้นมันไม่เจ็บเท่าไรหรอก แต่ที่เจ็บมันคือความรู้สึก...
“ออกไปทำแผลก่อนดีกว่านะคะ คุณหมอคริส” พยาบาลคนนั้นรีบเข้ามาหาผมด้วยความตกใจที่เห็นแผลถูกบาด ผมพยักหน้าตอบช้าๆ หันไปมองชานยอลอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป คงไม่ดีถ้าจะให้คนแปลกหน้าอยู่ในห้องนี้...
พยาบาลคนนั้นพาผมไปยังห้องพยาบาล ตลอดทางที่เดินมาเธอพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมตอบเธอสั้นๆ แทบจะกลายเป็นถามคำตอบคำ ตอนนี้ผมไม่อยากจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น ในหัวของผมมีแต่เรื่องของชานยอล ผมเข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงทำร้ายผม การถูกใครก็ไม่รู้มาอ้างตัวว่ารู้จักเขา มันไม่ใช่เรื่องปกติที่เขาจะรับได้ แน่นอนว่าความรู้สึกแรกที่เขารู้สึกคือไม่ไว้ใจ ไม่มีใครจะเชื่อใจคนแปลกหน้ากันหรอก และความรู้สึกนั้นก็ถูกพัฒนากลายเป็นความโกรธ เมื่อผมยังยืนยันว่าผมรู้จักเขา และไม่ยอมออกไปสักที ไม่แปลกหรอกที่เขาจะรู้สึกอย่างนั้น คนอื่นๆก็คงจะเป็นแบบเขาถ้ามาเจอสถานการณ์เดียวกัน
ขณะที่ผมกำลังติดอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จู่ๆเสียงของแม่ก็ดังขึ้น ผมเงยหน้า สบตากับมอง แม่มองผมด้วยสายตาที่ราวกับรู้ว่าผมไปเจออะไรมา
“แม่ครับ” แม่หลับตานิ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“แม่รู้แล้วล่ะ”แม่พูดเสียงเรียบ
“เขา....”
“ไว้เราค่อยคุยกัน เควิน” แม่พูดแทรก พร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องของชานยอล
------------------------------------
พยาบาลพาผมเข้ามาที่ห้องพยาบาล ความจริงจะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูก มันควรจะเรียกว่าเค้าเตอร์สำหรับให้พยาบาลที่เป็นเวรประจำกะนั้นๆนั่งพัก ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ที่นี่จะมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่ด้วย พยาบาลคนนั้นค่อยๆเริ่มทำแผลให้ผม แต่สติของผมไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเลย ผมกำลังคิดถึงเรื่องชานยอล ภาพเหตุการณ์ที่เขาปาแก้วมาใส่ผมไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เสียงแก้วที่แตกกระจาย ยังคงดังหึ่งๆอยู่ในหูของผม ความเจ็บจากแผลที่ถูกบาดก็ยังคงไม่จางหาย ผมไม่ได้โกรธที่เขาทำอย่างนั้น แต่ผมเสียใจและตกใจมากกว่า ลำพังแค่เรื่องที่เขาจำผมไม่ได้มันก็หนักหนามากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาอาจจะถึงขั้นไม่ชอบขี้หน้าผมเลยก็ได้
เรื่องที่เขาจำผมไม่ได้นั้น ผมน่าจะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว เพราะตัวผมเองก็รู้ดีว่าสมองส่วนที่เสียหายของเขามันทำหน้าที่อะไร....
Temporal lobe
สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำของคน
แต่ผมกลับพยายามลืมความจริงข้อนี้ไป และตั้งความหวังลมๆแล้งๆ ขึ้นมา ว่าเขาจะไม่เป็นไร ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าแวบแรกที่เขาถามว่า ผมเป็นใคร ผมรู้สึกยังไง มันเหมือนกับเวลาที่เพื่อนของคุณแกล้งทำเป็นไม่รู้จักคุณ ตอนนั้นคุณคงรู้สึกแย่ และโหวงไปหมด แต่สิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้มันเลวร้ายกว่านั้นมาก เพราะเขาไม่ได้แกล้ง แต่......เป็นจริงๆ
ผมยังทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าผมอ่อนแอ แต่เพราะนี่มันไม่มีสัญญาณเตือนอะไรก่อนเลย จู่ๆเขาก็ลืม จู่ๆก็ไม่รู้จักกัน จู่ๆพื้นที่ของผมในชีวิตเขาก็ถูกลบออกไป ผมกลายเป็นใครก็ไม่รู้ แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก และแทบไม่เหลือความไว้ใจกันอีกแล้ว เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันอย่างสมบูรณ์
ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี…
ผมถอนหายใจ พยาบาลเหลือบตามามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ขึ้นมาปิดแผลให้ผม ผมเอ่ยคำขอบคุณเธอสั้นๆ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาข้างเค้าเตอร์ ผมค่อยๆหลับตาลง เอนศีรษะพิงกับพนักโซฟา ปล่อยความคิดของตัวเองให้หลุดลอยไปตามจังหวะการหายใจ โดยพยายามไม่คิดเรื่องของชานยอล ต่อให้คิดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา คงต้องรอให้แม่อธิบายเรื่องทั้งหมด และหาทางต่อจากนี้ เพราะลำพังจะพึงตัวเองก็คงไม่ได้มาก เพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับสมอง ผมนั่งอยู่อย่างนั้นไปได้ราวๆเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดความเงียบรอบตัวก็ถูกทำลายด้วยเสียงส้นสูงของแม่ แม่ทรุดตัวยังริมโซฟาอีกด้าน ท่าทางของท่านยังดูสงบราบเรียบ และทรงภูมิเหมือนทุกที มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายแววกังวล
“เควิน”
“ครับ เขาเป็นไงบ้าง”
“สงบลงแล้ว” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปหาแม่
“เรื่องนั้น เกิดจากได้รับกระทบกระเทือนที่ temporal lobe ใช่มั้ยครับ” แม่พยักหน้าตอบ
“แล้ว.....ความทรงจำของเขา เสียหายแค่ไหนครับ” แม่นิ่งเงียบไป ดวงตาจับจ้องไปที่โต๊ะกระจกตรงหน้าที่สะท้อนภาพของผม ท่านมองมันอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆหลับตา แล้วตอบผมเสียงเรียบ
“สองสามเดือนก่อนประสบอุบัติเหตุ นั่นหมายถึง......เขาจำเรื่องของลูกไม่ได้เลย” คำพูดของแม่เหมือนกระแสไฟฟ้าที่ช็อตร่างกายผมอย่างจัง จำเรื่องของผมไม่ได้เลยงั้นหรอ ทุกๆอย่างเลยหรอ ทั้งตอนที่เจอกันครั้งแรก ตอนที่หลงทางในห้าง ตอนที่ถูกคนลักพาตัวไป ตอนที่เจอกับที่บ้านของผม เขาจำมัน......ไม่ได้เลยหรอ
ไม่ได้กลายเป็นอดีต
แต่มันกลายเป็น....
ความว่างเปล่า
“มองเรื่องนี้ผ่านสายตาของหมอคนหนึ่ง การที่เขาลืมช่วงเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น ถือเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเขาเอง หมออย่างเราควรจะรู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่หรอ เควิน”
“แต่.......ช่วงเวลาสั้นๆนั่น มันก็มีค่าสำหรับผมนะครับ แม่”
“แต่หมออย่างเรา ถูกสอนให้ให้ความสำคัญกับคนไข้” แม่หันมามองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนตัวเองเสมอ” ผมหลับตานิ่ง ภาพความทรงจำไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ครั้งแรกที่เราเจอกัน เด็กตัวโย่ง ตาเหลือก หูกาง ฟันเยอะ ใส่แว่นสีม่วงแป๊ด มือซ้ายถือตุ๊กตากบ(ซึ่งตาก็เหลือกพอๆกับเจ้าของ) รองเท้าใส่คนละข้าง ข้างหนึ่งสีส้มข้างหนึ่งสีชมพู ยืนประชันหน้ากับผม พร้อมกับเถียงกับแม่ว่าตัวเองไม่ได้บ้า แต่พอบอกว่าที่โรงพยาบาลมีแมลงอยู่เยอะ เขาก็รีบมาอยู่กับผมทันที ด้วยเพราะแมลงที่บ้านหมดแล้ว ไม่มีของให้ไอ้เขียวนั่นกิน
นึกถึงตอนที่เขาแกล้งทำตัวล่องหน ร่อนไปทั่วโรงพยาบาล คอยตามติดผมแจ ทั้งยังแอบมาหอมแก้มผมอีก ไหนยังจะตอนที่เขาไปแผลงฤทธิ์ใส่พี่สาวของผม เพราะคิดว่านี่คือคู่แข่งที่จะมาแย่งผม แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ปั๊บ ก็รีบตีสนิทด้วยทันที ตอนที่เขาโมโหที่ผมไปจูบเขา เพราะคิดว่านั่นคือการฆ่าเขาให้หายใจไม่ออก ไหนจะตอนที่นึกบ้า ไปคว้าเหามาใส่หัว เพราะสงสารที่มันจะถูกฆ่า แถมยังออกตัวปกป้องมัน บอกว่ามันเป็นสัตว์ตัวเล็กทำไมไม่รักมัน ออกจากน่ารัก แล้วยังจะตอนที่เพี้ยนเล่นกับดัมโบ้บ้าๆนั่นอีก ภาพวันเก่าๆ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความน่ารักของเขา ไม่เคยหายไปจากใจผมเลยสักนาทีเดียว แต่แม่จะให้ผมทำใจยอมรับว่ามันเป็นอดีตไปแล้วงั้นหรอ ให้ยอมรับว่าความทรงจำทั้งหมดมีผมเพียงคนเดียวที่จำได้งั้นหรอ ผม....ผม
“เควิน” แม่เอื้อมมือมาจับบ่าผม ผมก้มหน้าลงต่ำ กำมือที่เย็นเยียบของตัวเองแน่น พยายามกั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แต่สุดท้ายมันก็.....พังทลายลงมา
น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหล ค่อยๆไหลอาบแก้มของผม
ทั้งๆที่ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องทำ
เพราะความสุขของชานยอล มันสำคัญกว่าความทรงจำของผม
ผมร้องไห้กับตัวเองเงียบๆ โดยมีแม่นั่งอยู่ข้างๆ แม่ปล่อยให้ผมร้องไห้ โดยไม่พูดอะไรอย่างนั้นสักพัก ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด ณ ตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นยังไง ผมอดกลัวไม่ได้ กลัวว่าชานยอลจะจำผมไม่ได้ กลัวว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ ผมไม่ได้อยากให้เขาเป็นทางผ่านของผม แต่ผมอยากให้เขาเป็นปลายทางสุดท้ายของผม ผมคงทนไม่ได้ถ้าเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าอย่างนี้กันไปตลอด แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะหาทางออกยังไงแล้วจริงๆ สิ่งที่พอทำได้คงมีแต่การยอมรับ และมองเรื่องที่เกิดขึ้นในแง่มุมที่ดี แม้ว่ามันจะทำให้ผมเสียใจก็ตาม
แม่รอจนผมเริ่มดีขึ้น ก่อนจะค่อยๆยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ผม ผมรับมาเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ
“ทุกอย่างย่อมมีแง่ดีและร้าย เวลาที่เจอเรื่องดีก็ให้มองแง่ร้ายของมันไว้บ้าง ไว้คอยระวัง แต่เวลาที่เจอเรื่องร้ายก็ให้มองแง่ดีของมันไว้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ดั่งใจเราไปทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เราจมปลักอยู่กับความทุกข์”แม่พูดเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ผมลุกขึ้นยืนส่งแม่ แผ่นหลังบอบบางที่เด็ดเดี่ยวของแม่ลอยลิ่วออกไปตามทางเดิน แต่แล้วจู่ๆมันก็หยุดชะงัก แม่เหลือบตามามองผม ก่อนจะพูดออกมา
“ตราบใดที่ลูกยังมีหวัง ลูกก็จะมีทางออกเสมอ”แม่พูดก่อนจะเดินไป
“แม่ครับ! ผมทำให้เขากลับมาจำผมได้ใช่มั้ย เขาจะจำผมได้ใช่มั้ย” แม่ชะงัก ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผม
“แม่คิดว่า แม่พูดชัดเจนแล้วนะ เควิน จำไว้ ตราบใดที่ลูกยังมีหวัง ลูกก็จะมีทางออกเสมอ”แม่ยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
ตราบใดที่ลูกยังมีหวัง ลูกก็จะมีทางออกเสมอ
คำพูดของแม่ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของผม ตราบใดที่ผมยังมีหวัง ผมก็จะมีทางออกเสมอ แต่ถ้าผมสิ้นหวัง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายไปจนตาย ยังไงชาตินี้ชานยอลก็จะไม่กลับมา...
“ขอบคุณนะครับแม่” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะมองไปทางห้องของชานยอล จากนั้นก็รีบเดินออกไป มุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลของผม...
ถ้าความทรงจำหายไป
เราก็แค่ไปตามกลับมาไม่ใช่หรอ
---------------------------------------