เวลาที่ของหาย เราก็แค่หามันให้เจอเท่านั้น แค่นึกให้ออกว่าไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ก็เท่านั้นเอง....
ผมรีบกลับไปที่โรงพยาบาล แม้จะลำบากเพราะร่างกายไม่อำนวย แต่ผมก็ยังดันทุรังที่จะทำ ทันทีที่มาถึง ผมอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก จนเจ้าหน้าที่มากมายต่างวิ่งเข้ามาหาผม และรัวคำถามยาวเหยียดมากมายจนผมปวดหัว
“พี่ เฮ้ย มาได้ไงวะเนี่ย”เสียงร้องอย่างตกใจของเซฮุนดังขึ้นทางด้านซ้าย เขาตะลีตะลานวิ่งมาหาผม
“ไม่ได้อยู่โรงบาลหรอกหรอเนี่ย!!!”ลู่หานที่วิ่งตามมาเอ่ยขึ้น
“ไว้ ไว้ค่อยคุยกัน นะ”ผมตอบอย่างอ่อนแรง เรี่ยวแรงแทบจะไม่มีหลงเหลือให้ขยับเขยื้อนร่างกายต่อ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังฝืนมัน พยายามก้าวเดินต่อไป แม้จะช้า ไม่มั่นคง แต่ผมก็จะไม่หยุด....
เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาจำผมได้
ผมเดินเลี่ยงไปทางที่พักของผม แต่ละก้าวย่างที่เดินไปกระท่อนกระแท่นเสียจนน่าหวั่นว่าจะล้ม แต่ผมก็ยังคงเดิน เดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงห้องตัวเอง ผมรีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากแผล แต่นั่นก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ได้ ผมเดินเข้าไปในห้อง ถลาร่างไปเปิดเครื่องคอมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน คลิกเข้าเมนูที่ผมต้องการ ผมยิ้มให้กับตัวเองบางๆ นึกขอบคุณที่ผมเคยถ่ายรูปพวกนี้ แล้วเอาลงเครื่องเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมคงจะแทบไม่มีตะกอนความทรงจำของชานยอลเลย ผมคลิกคอมอีกสองสามที จากนั้นก็ปริ้นสิ่งที่ต้องการออกมา
รูปที่ชานยอลวาด
ผมถ่ายเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปที่เจ้าตัววาดเล่นในกระดาษ หรือจะรูปที่เขาวาดบนผนัง ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าอยากจะเก็บมันเอาไว้ เผื่อเขาทำหาย หรือเผื่อแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องของผม แล้วเผลอไปขัดที่เขาวาด นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมากที่ทำอย่างนั้น แม้ผมจะดีใจที่ผมถ่ายรูปพวกนี้เก็บเอาไว้ แต่ก็รู้สึกใจหายแปลกๆที่ประโยชน์ของภาพคือใช้ฟื้นฟูความทรงจำของชานยอล แทนที่จะเป็นอะไรที่ดีกว่านั้น....
ผมหยิบรูปที่ปริ้นออกมาทั้งหมด ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ฉับพลันนั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลก็แล่นแปล๊บเข้ามา เหมือนกับว่ามันเรียกร้องให้ผมหยุดการเคลื่อนไหว แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่มันขอ ผมชะงักอยู่เพียงครู่เท่านั้น ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ระหว่างทางก็เจอเข้ากับเซฮุนและลู่หานอีก ทั้งสองคนถามว่าผมจะไปไหน ผมตอบไปสั้นๆแค่ว่าจะไปโรงพยาบาล แล้วออกวิ่งต่อ แต่วิ่งไปได้อีกสองสามก้าว ร่างกายก็ทรุดฮวบลงกับพื้น
“พี่คริส!!!”ทั้งสองคนรีบกรูกันเข้ามาหาผม ผมโบกมือ ก่อนจะตอบเสียงเบา
“ไม่ ไม่เป็นไร”
“พี่ พอเถอะ หยุดเถอะ”ลู่หานร้องห้าม ผมยันตัวลุกขึ้นอีกครั้งอย่างยากลำบาก
“พี่ พี่ดูสารรูปตัวเองมั่งมั้ย!! จะไปโรงบาลใช่มั้ย เดี๋ยวพวกเราไปส่ง” ผมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆเดินตามไป
“พี่ พอเหอะ จะเดินทั้งอย่างนี้จริงๆหรอ”เซฮุนพูดอย่างหัวเสีย ก่อนจะรีบวิ่งไปเข็นรถเข็น แล้วจับผมนั่งลง ผมได้แต่ยิ้มบางๆให้เขา ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะตอบ ตาของผมมองรูปในมือด้วยแววตาทั้งสุข ทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน...
มันทำให้คิดถึงตอนที่เขายังจำผมได้
แต่มันก็ทำให้ใจหาย เมื่อไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว
เซฮุนขับรถด้วยความเร็วสูงไปที่โรงพยาบาล ตลอดทางลู่หานคอยหันมาดูผมเป็นระยะๆ สีหน้าเขาดูกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่เดาเอาเองว่าสภาพผมตอนนี้คงไม่น่าดูนัก ผมละความสนใจจากแววตาของลู่หาน กลับมาอยู่ที่กระดาษที่อยู่ในมือ ไล้นิ้วไปตามรูปที่ชานยอลวาด หยดน้ำตาร่วงเผาะร่วงหล่นสู่กระดาษ ผมยิ้มเศร้าให้กับมันคลื่นความเศร้าที่พยายามขจัดออกไปถาโถมเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง
ผมนั่งมองรูปอยู่นานจนรถของเราขับมาถึงโรงพยาบาล ผมรีบวิ่งลงจากรถ ตรงเข้าไปในโรงพยาบาล มุ่งไปยังห้องพักของชานยอลโดยไม่สนใจคำทัดทานของผู้คนที่ร้องเรียกผมจากด้านหลัง ความเจ็บปวดและความเศร้าดูหายไปชั่วขณะ เมื่อเข้าใกล้ห้องของชานยอลมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังเล็กๆผุดขึ้นกลางหัวใจ บางทีเขาอาจจะจำได้ บางทีทุกอย่างอาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม บางที......ผมอาจได้หัวใจกลับคืนมา
ทันทีที่มาถึงห้องของชานยอล ผมก็ตั้งท่าจะเปิดเข้าไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ภาพการกระทำอันเลวร้ายของชานยอลแวบเข้ามาในหัว แล้วกระตุกหัวใจของผมให้สั่นคลอนอีกครั้ง ความดีใจลิงโลดที่เคยเจืออยู่ในแววตาถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและอ้างว้างแทน เขาคงไม่อยากเจอผม เข้าไปตอนนี้รังแต่จะทำลายความสุขเขาเสียเปล่าๆ
ชานยอลกำลังดูทีวี แม้จะไม่ได้คึกเหมือนปกติ แต่ก็ไม่ได้ซึมเซาขนาดนั้น ใบหน้าน่ารักนั่นยังถูกแต้มด้วยรอยยิ้มบางๆอยู่ มันน่าใจหายที่เขามีความสุขได้ แม้ว่าชีวิตของเขาในตอนนี้จะไม่มีผมแล้ว ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าเขาไม่เจ็บจากการผ่าตัดมากก็ดีแล้ว
“พี่คริส”เสียงของเซฮุนฉุดให้สติผมกลับคืนสู่ปัจจุบัน
“อืม คือ....”
“อ่าว คุณหมอคริส!!”เสียงบุคคลที่สี่ดังขึ้น ผมหันไปมองตามเสียง แม่ของชานยอลนั้นเองที่กำลังเดินมาหาเรา
“เมื่อเช้าขอโทษแทนชานยอลด้วยนะคะ เด็กคนนั้นเหลือเกินจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมยิ้มบางๆตอบให้ ก่อนจะยื่นรูปให้
“ฝากนี่ให้เขาดูหน่อยนะครับ เผื่อมันจะช่วยให้เขาจำอะไรได้บ้าง”เธอรับไปก่อนจะเหลือบดูมัน
“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”เธอพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าชานยอลกำลังอ้าปากพะงาบๆร้องเรียกหาเธออยู่ ผมรีบเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ไม่ให้ชานยอลเห็น
“พี่คริส....ชานเท็น มัน......”
“อืม เขาจำฉันไม่ได้”ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ความเงียบก็ครอบคลุมพวกเราทั้งสาม ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก ทุกคนได้แต่ยืนนิ่งๆ และหันไปมองชานยอลที่อยู่ในห้องแทน
ผมมองเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง หากแต่ก็ซ่อนด้วยความเศร้าเล็กๆ มือของผมเย็นเยียบ สั่นเทาจนน่ารำคาญ ผมกุมมือตัวเองไว้แน่นเพื่อลดอาการตื่นเต้นของตัวเอง หัวใจของผมเต้นถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ ลุ้นว่าเขาจะดูมันมั้ย และจะจำทุกอย่างได้รึเปล่า แม่ของเขามองไปมาที่ผมสลับกับลูกตัวเอง แววตากังวลเจืออยู่ในดวงตาของเธอ เธอหันกลับไปหาชานยอล ก่อนจะพูดแทรกการดูทีวีของเขา
“ชานยอล มีคนฝากนี่มาให้ลูก”ชานยอลเหลือบตามามองอย่างสงสัย แต่สุดท้ายก็หันกลับไปสนใจทีวีต่อ จังหวะหัวใจของผมกระตุกวูบไหว เต้นผิดจังหวะ
“ดูหน่อยสิลูก เขาตั้งใจเอามาให้ลูกเลยนะ ถ้าลูกไม่ดู เขาจะเสียใจนะ”
“ใครครับ ผมมีเพื่อนอยู่แค่ตัวเดียวนะม๊า ไอ้กบนั่นไง”
“คือ.......เขาเป็น”
“ใครครับ.....”หัวใจของผมเหมือนกำลังหยุดเต้น ชานยอลเหลือบตามาเห็นผมพอดี ผมรีบหลบแต่มันก็ช้าไปเสียแล้ว
“ผมไม่ดู!!! ของของคนแปลกหน้า”พูดจบ เขาก็หยิบมัน ทิ้งลงถังขยะ...
ผมยืนตัวแข็งทื่อ มองถังขยะด้วยแววตาว่างเปล่า หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงมาอาบแก้ม ผมยกมือที่สั่นเทาแนบกับกระจก มะ ไม่ ไม่จริงใช่มั้ย...
ชานยอลที่รักผม ชานยอลที่มองมาแค่ผม ชานยอลที่อยู่เพื่อผม เขา เขาทิ้งมันหรอ รูปของเรา เขาทิ้งมันหรอ มัน มันไม่จริงใช่มั้ย เขาไม่ได้ทำใช่มั้ย...
“ชาน ชานยอล”ปากผมสั่นระริก ร่างทั้งร่างเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าหลายโวลต์ช็อต จนชาไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนถูกเหยียบจนสลายเป็นผุยผงกองคาอยู่แทบเท้าของเขา ผมผงะถอยหลังออกมาจากประตู หลบให้พ้นสายตาชิงชังของเขา ภาพที่เขาทิ้งมันลงถังขยะอย่างไม่ใยดีฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว
เรา..........ไม่เป็นที่ต้องการของเขาอีกแล้วหรอ
เขา..........ไม่ต้องการเราอีกแล้วใช่มั้ย
ผมมองเข้าไปในห้องอีกครั้ง ชานยอลกำลังนอนดูทีวี โดยไม่สนใจรูปอีกเลย ดวงตาของผมสั่นระริก หยาดน้ำตาที่ควรจะบดบังภาพตรงหน้ากลับทำให้มันดูเด่นชัดในจิตใจของผมมากขึ้น ผมผงะถอยหลังไปอีกสองสามก้าว ยืนค้างอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรไม่รู้ ก่อนจะค่อยๆเดินออกไป....
“พี่คริส....”เสียงเซฮุนดังขึ้นข้างหลังของผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจจะหันกลับไปหาเขา ยังคงเดินต่อไปอย่างคนเลื่อนลอย....
รุ่นน้องสองคนมองตามร่างสูงที่เดินออกไปด้วยสายตาเป็นกังวล เลือดที่ไหลเป็นปื้นไปตามทางบีบหัวใจของพวกเขาให้ปวดหนึบ สภาพของร่างสูงที่มาถึงโรงพยาบาลเหมือนย้อนกลับมาให้เขาเห็นอีกครั้งตรงหน้า...
ชายร่างสูง อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล ตัวเปล่าโดยไร้รองเท้า
ใช่....
เขาวิ่งเท้าเปล่ากลับมาที่โรงพยาบาล
---------------------------------------
ผมเดินออกมาจากห้องของชานยอลอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ ไม่รับรู้อะไรอีก ทำแค่เดินไปเรื่อยๆอยู่อย่างนี้ ภาพตอนที่ผมวิ่งตัวเปล่าออกไปจากโรงพยาบาลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ผมอยู่ในชุดคนไข้ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักวอน ผมวิ่งกลับไปที่โรงพยาบาลทั้งอย่างนั้น เท้าเปลือยเปล่าของผมเหยียบย้ำไปบนพื้นถนนที่ร้อนระอุ ความร้อนของมันลวกเนื้อซ้ำไปซ้ำมาจนพองไปหมด ความขรุขระของถนนขูดเอาผิวหนังของผมออกมาจนเลือดไหลซิบๆ แต่ความเจ็บปวดของมันดูเล็กน้อยไปเมื่อผมคิดถึงชานยอล
ผมวิ่งต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสายตาสงสัยของคนอื่น ทุกก้าวที่ย้ำลงไป ความเจ็บปวดก็ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเจ็บที่เท้า ทั้งเจ็บที่แผลเก่า มันทรมานเหมือนกับมีใครเอามีดมากรีดซ้ำลงที่แผลที่ยังไม่หายของเรา เลือดจากปากแผลค่อยๆไหลซึมออกมา ฝีเข็มที่เย็บเอาไว้ปริออก เศษฝุ่นเศษผงต่างๆปลิวเข้าไปจนทำแผลสกปรก ไข้ที่เกิดจากการอักเสบของแผลสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะอุณหภูมิของอากาศ เรี่ยวแรงในตัวเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ อาจเพราะผมออกมาทั้งๆที่ไม่ได้กินข้าว หรือน้ำสักหยด
บางจังหวะที่ก้าวไป เหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหว ต้องหยุดพัก หอบหนักอยู่ข้างทาง แวบความคิดที่จะหมดหวังแวบเข้ามาในหัว แต่พอนึกถึงตอนที่ชานยอลเคยยิ้มให้ผม เคยกอดผม เคยจูบผม เคยบอกรักผม พลังในร่างกายก็กลับมาอีกครั้ง ผมยันตัวลุกขึ้น แม้จะเซไปบ้าง แต่ก็ยังฝืนออกวิ่งต่อ ผมวิ่งต่อไปเรื่อยๆ นานพอให้ความเจ็บจากร่างกายกลายเป็นเรื่องเคยชิน ที่ไม่จำเป็นต้องรับการใส่ใจ และในที่สุดผมก็มาถึงโรงพยาบาล ผมหอบหนักอยู่หน้าประตู ร่างกายแทบจะล้มไปกองบนพื้น แต่ไม่ ผมจะไม่ยอมถอดใจ จะไม่ยอมแพ้ เพื่อชานยอลผมต้องทำให้ได้....
เพื่อชานยอลผมต้องทำให้ได้
เพื่อชานยอลผมต้องทำให้ได้
เพื่อชานยอลผมต้องทำให้ได้
เมื่อมีความหวัง ก็มีแรงสู้ต่อ แม้จะเหนื่อยล้ามากแค่ไหน แต่เมื่อถูกทำลายหวัง ก็หมดแรงสู้ แม้จะมีกำลังมากแค่ไหนก็ตาม….
ผมก้มมองเท้าที่ผุผองบวมแดงของตัวเอง ก่อนจะเหลือบตาไปมองเลือดที่เปื้อนอยู่ที่พื้นด้วยแววตาว่างเปล่า ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย ไม่รับรู้แม้กระทั่งแรงเสียดสีของแผลกับพื้น สิ่งที่รู้สึกอย่างเดียวตอนนี้คือเสียใจ ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กน้อยของผมที่ครั้งหนึ่งเคยตะโกนเรียก พี่หมอๆทั้งวัน ที่เคยหัวเราะ เคยแกล้งผม เคยกอดผมแน่น เพราะกลัวว่าผมจะหายไป จะทำอย่างนั้นกับผม เขาเคยกลัวว่าผมจะตายไปจากชีวิตของเขา แต่ความเป็นจริงแล้ว.......
ผมหายไปจากชีวิตของเขาต่างหาก...
หยาดน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีกครั้ง ดวงตาของผมเริ่มพร่ามัวไม่ใช่เพราะจากน้ำตาแต่เพราะจากพิษไข้ ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นจุดๆ หมุนไปหมุนมาและรวมกันเป็นสีเดียวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป
“พี่คริส!!!/คุณหมอ!!!”เสียงชายหนุ่มสองคนและพยาบาลร้องลั่นเมื่อร่างของคริสล้มลงไปกองกับพื้น พวกเขารีบวิ่งกรูกันเข้ามาดูอาการของร่างสูง เซฮุนจับแขนของเขา ก่อนจะรีบชักมือกลับ เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ
“ตัวร้อนจี๋เลย รีบพาไปที่ห้องพยาบาลเร็ว!!!” พยาบาลพยักหน้าเข้าใจคำสั่ง แล้วรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเค้าเตอร์ บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้มารับคริส พวกเขาช่วยกันอุ้มร่างสูงขึ้นเตียง ก่อนจะรีบเข็นไปที่ห้องพยาบาลฉุกเฉินที่อยู่หลังเค้าเตอร์พยาบาล
“ไปตามหมอเจ้าของไข้มา!!”เซฮุนออกคำสั่งกับพยาบาล ก่อนจะรีบช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับลู่หาน
“น่าจะไข้ขึ้นสูงเพราะตากแดดมาก”ลู่หานสรุปอาการ เซฮุนพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบเครื่องหมายเครื่องมือมาช่วยร่างสูง สีหน้าที่มักจะสบายๆตลอดเวลาของคนทั้งคู่แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง สมาธิทั้งหมดของพวกเขาจดจ่ออยู่กับการช่วยคริส หมดสติอย่างนี้อาจช็อกเพราะไข้ขึ้นสูงมาก ถ้าไม่รีบช่วยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ พวกเขาช่วยกันปฐมพยาบาลจนแพทย์เจ้าของไข้มา
หญิงวัยกลางคนที่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนปรากฏตัวที่ชั้นนี้ ต้องกลับขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเหตุเร่งด่วนว่าลูกชายของเธอช็อกหมดสติไป ทันทีที่เธอเห็นร่างสะบักสะบอมของลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง หัวใจของเธอก็กระตุกวูบ เธอรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ ก่อนจะรีบสั่งการต่างๆ หลังจากนั้นอุปกรณ์การแพทย์มากมายก็ถูกขนขึ้นมายังห้องพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ พวกเขาต้องช่วยกันทั้งลดไข้ ทั้งทำแผลใหม่ หลังจากนั้นก็เข็นเตียงคนไข้กลับไปยังห้องพักผู้ป่วย กว่าจะเสร็จสิ้นทั้งหมดก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่า
กลุ่มญาติและเพื่อนของร่างสูงมองเขาด้วยแววตากังวลระคนหนักใจ หญิงที่สูงวัยที่สุดในกลุ่มถอนหายใจออกมาหนักๆ เรียกความแปลกใจและตึงเครียดจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“คุณน้าครับ”เซฮุนเรียกเธอด้วยท่าทางจริงจัง
“เรื่องชานยอล....เขา.....”เขาเอ่ยถาม เพื่อจะซักไซ้หารายละเอียดของเรื่องราวให้มากขึ้น ณ ตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่า ชานยอลกับคริสถูกรถชน แล้วร่างโปร่งก็ดันความจำเสื่อม แต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่านั้น
“เลือดคลั่งในสมองส่วน Frontal lobe และ Temporal lobe กระทบกระเทือนถึงการคิดแบบตรรกะ และความทรงจำ ข่าวดีคือเขาเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ข่าวร้าย......เขาจำเรื่องสองสามเดือนก่อนไม่ได้เลย”เธอพูดขณะที่ดวงตาก็จับจ้องไปที่ร่างของลูกชายเธอ
“งั้นก็คงจำพวกเราไม่ได้สินะครับ”ลู่หานพึมพำออกมาเบาๆ แค่คิดว่าตัวเองกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเด็กคนนั้นไปแล้ว หัวใจมันก็พาลเต้นผิดจังหวะ นี่แค่เป็นคนรู้จักยังใจหาย แล้วคริสล่ะ........จะเสียใจแค่ไหน...
----------------------------------------------
ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างของชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นถึงจิตแพทย์ระดับต้นๆของประเทศกำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงผู้ป่วย ด้วยท่าทางที่เหมือนเดิมอย่างนี้มาเป็นเวลาสองวันแล้ว เขาไข้ขึ้นสูงจนน่ากลัวในคืนวันแรก และเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่วันที่สอง แม้จะดูเป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากนัก แต่มันก็มากพอจนทำให้ทุกๆคนเป็นห่วงเขา เพราะสำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงดีอย่างเขาแทบไม่เคยต้องมานอนโรงพยาบาลเลย ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่เข้าต้องมาที่นี้ แต่ถือเป็นครั้งแรกที่เขานอนซมพิษไข้อย่างนี้สองวันติดต่อกันโดยไม่ฟื้นขึ้นมารับประทานอะไรเลย มีเพียงน้ำเกลือเท่านั้นที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ร่างกายของเขาไม่ทรุดลงไปมากกว่านี้
พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ในมือข้างหนึ่งของเธอมีแฟ้มและเอกสารสองสามแผ่น ส่วนอีกข้างถือปากกาเอาไว้ เธอเดินไปตรวจดูขวดน้ำเกลือนิดหน่อย ก่อนจะเอี้ยวตัวไปดูการเต้นของชีพจรที่ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอ แล้วก้มลงจดบันทึกในแผ่นกระดาษ จากนั้นก็ทอดตามองไปที่เตียงคนไข้ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับเขามากนัก แต่ก็พอรู้ว่าเขาเป็นหมอ และเป็นลูกของใคร การเจ็บป่วยของเขาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก อย่างน้อยก็ไม่ดีสำหรับครอบครัวเขาและผู้ป่วยที่เขาต้องดูแล
“ขอให้หายไวๆนะคะ คุณหมอ”เธอมองหน้าเขาอย่างนึกสงสาร แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนมาแปลกใจ เมื่อดวงตาของเขาเริ่มวูบไหว และเริ่มขยับตัว
“รู้สึกตัวแล้วหรอคะ!!”
เสียงของผู้หญิงดังเข้ามาในหูของผม ผมค่อยๆลืมตาตื่นช้าๆ แต่ก็ต้องรีบหลับตาลงทันทีเมื่อแสงสว่างแยงเข้าตาผม ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าดวงตาของผมจะชิน ผมหันหน้ามามองพยาบาลข้างตัวก่อนจะเอ่ยถาม
“ผมเป็นอะไร”เสียงของผมแหบจนน่าตกใจ
“ช็อคเพราะไข้ขึ้นสูงน่ะค่ะ นี่คุณหมอหลับไปสองวันเต็มๆเลยนะคะ”ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้ใส่ใจในเนื้อความมากนัก ผมเหลือบตาไปมองแฟ้มที่เธอถือ เดาว่าเธอคงเป็นพยาบาลที่มาเช็คอาการคนไข้
“คุณตรวจทั้งชั้นนี่เลยรึเปล่า”
“คะ อ๋อใช่ค่ะ”
“ช่วยดูอาการของคนไข้ห้อง1011ได้มั้ย คนไข้ที่ชื่อปาร์คชานยอลน่ะครับ เขาเป็นยังไงบ้าง”ความไม่ไว้ใจเจืออยู่ในดวงตาของเธอ ผมจึงพูดย้ำต่อ
“ผมเป็นหมอที่เคยดูแลเขา แล้วก็เป็นคนประสบอุบัติเหตุกับเขาด้วย คุณก็คงเห็นจากในใบพวกนั้นแล้วใช่มั้ย”ผมชี้ไปที่กระดาษในมือของเธอ เธอพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงเข้าใจ
“กำลังจะไปเช็คนี่แหละค่ะ”
“งั้นหรอครับ ผมรบกวนหน่อยได้มั้ย ถ้าคุณเช็คเสร็จแล้วกลับมาบอกผมได้มั้ย ผมเป็นห่วงเขา”
“อะ อ๋อค่ะ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณหมอนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ”เธอโค้งศีรษะให้ผม ก่อนจะตั้งท่าเดินออกไป
“เดี๋ยว เดี๋ยวครับ......คือมันมีกระดาษที่เป็นเหมือนใบประกาศตามหาอยู่ในห้องของเขาน่ะครับ ถ้ามันยังอยู่ คุณช่วยเอามาให้ผมด้วยได้มั้ยครับ”
“อ๋อ ค่ะๆ แล้วจะเอามาให้”
“ขอโทษนะครับที่รบกวน แต่ผม.....”ผมเปรยตาไปที่เท้าที่ถูกพันแผลเต็มไปหมดเป็นเชิงบอกเขาว่า ผมเดินไปทำทุกอย่างที่ว่าเองไม่ได้ เธอยิ้มอย่างเข้าใจก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ผมนั่งคิดถึงคำพูดของพยาบาลอีกครั้ง นี่สลบไปสองวันเต็มๆเลยงั้นหรอ แล้วสองวันนี้ชานยอลเป็นยังไงบ้างล่ะ จะหายเจ็บจากแผลแล้ว หรือว่ายังเจ็บอยู่ แล้วยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่มั้ย ต้องอยู่สิ เพราะถ้านับๆดูแล้วเขาก็เพิ่งนอนโรงบาลมาแค่สามวันเอง แผลอย่างนั้นน่าจะต้องพักรักษาตัวอีกสักสองสามวัน หรือเกือบๆอาทิตย์หนึ่ง ตอนนี้เขาก็น่าจะยังอยู่ที่ห้องข้างๆผมนี่ล่ะมั้ง เฮ้อออ อยู่ห้องใกล้กันแท้ๆแต่กลับเหมือนอยู่กันคนละโลก
“เควิน”เสียงแม่ที่เปิดประตูเข้ามาดังขึ้นเรียกผมออกจากภวังค์ ผมยิ้มบางๆให้แม่แทนคำตอบ
“ทุกคนเป็นห่วงลูกมากนะ รู้สึกยังไงบ้าง”
“ก็......ดีครับ เหมือนมัมมี่ดี”ผมตอบพร้อมกับขยับแขนขาที่มีผ้ากร๊อสแปะเต็มไปหมดให้แม่ดู
“ก็ดีแล้ว แล้ว...”
“คุณหมอคะ”เสียงพยาบาลคนเมื่อครู่ดังขึ้นขัดคำพูดของแม่ เธอโค้งศีรษะขอโทษเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาหาผม แต่ก็ยังเหลือบตามองแม่ผมเป็นระยะๆ
“เอ่อ.....คนไข้ห้องข้างๆตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ แผลที่ผ่าตัดเจ็บน้อยลงแล้ว จะว่าไปเขาเป็นคนที่เข้มแข็ง แล้วก็ร่าเริงมากทีเดียวค่ะ” แต่ความทรงจำก็ยังไม่กลับมา ผมต่อประโยคของ
เธอเองในใจ พลางคิดถึงคำพูดที่เธอพูด คนไข้เข้มแข็งและร่าเริงมาก ใช่ เขามักจะเป็นอย่างนั้น ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็จะทน และทำตัวร่าเริงสดใสเหมือนเดิม...
“อ้อ แล้วก็ นี่ค่ะ กระดาษที่คุณหมอต้องการ”ผมยื่นมือไปรับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่มีรอยยับนิดหน่อยในบางแผ่น
“มันอยู่ในลิ้นชักน่ะค่ะ เหมือนว่าคนไข้จะไม่รู้ด้วยว่ามีมัน เอ่อ ถ้ายังไงแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”เธอพูดก่อนจะโค้งศีรษะให้ผมกับแม่
“ดะ เดี๋ยวครับ”
“คะ?” ผมยื่นใบประกาศแผ่นหนึ่งให้เธอ เธอมองมันอย่างงงๆ ผมยิ้มบางๆให้ก่อนจะพูดออกมา
“ช่วยผมตามหาหน่อยนะ”เธอตอบรับเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมก้มดูใบประกาศในมือ ค่อยๆลูบไปตามลายเส้นที่ผมวาด อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นตุ๊กตากบแห้งๆที่เหมือนจิ้งจก
“นี่มันคุโรหรือจิ้งจก คุโรรรรร บุตะ ผมไม่ขาดสารอาหารนะ ผมเลี้ยงดีนะพี่หมอ”
ใบหน้าที่ยับยู่ยี่ไปหมดเมื่อตุ๊กตาแสนรักถูกทำให้กลายเป็นไอ้ตัวน่าเกลียดฉายชัดอยู่ในความทรงจำของผม ถ้าเขามาเห็นอย่างนี้ เขาต้องบ่นไม่เลิกแน่ ผมเอื้อมมือจะไปหยิบปากกาที่วางอยู่ข้างๆเตียง
“โอ๊ยย!”ผมร้องออกมาเมื่อเผลอฝืนร่างกายมากเกินไป แม่รีบวิ่งเข้ามาหาผม สีหน้าตื่นตระหนกที่ผมไม่ค่อยได้เห็นเผยอยู่ตรงหน้า
“อย่าฝืนร่างกายตัวเองได้มั้ย”
“ผมทนได้”
“เควิน!! ทำไมถึง.....”แม่เบือนหน้าหนี แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ผมยิ้มบางๆให้แม่ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบปากกา แม่ที่หันมาเห็นพอดี รีบคว้าปากกาก่อนจะยื่นมาให้ผม เพื่อหยุดไม่ให้ผมฝืนร่างกายไปมากกว่านี้ ผมโค้งศีรษะขอบคุณ ก่อนจะวาดคุโร บุตะ ให้ตัวอ้วนๆขึ้นในทุกๆแผ่น
“รักเขามากขนาดนี้เลยหรอ”แม่ถามเสียงเรียบ ผมวางปากกา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ แล้วยิ้มออกมาบางๆ
“มันมากกว่าคำนั้นมานานแล้วครับแม่”แม่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ลูกไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนะ”
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมเป็นอย่างนี้ครับ เพราะผมจะไม่ทำอย่างนี้ให้ใครอีกนอกจากเขา” แม่หลับตานิ่ง
“แม่ต้องไปทำงานต่อแล้ว เซฮุนกับลู่หานกำลังจะมาเยี่ยมลูกนะ เดี๋ยวก็คงถึง”
“ครับ”แม่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมก้มดูประกาศที่อยู่ในมือ ตุ๊กตานั่นไม่ใช่ของที่เป็นความทรงจำร่วมกันกับผมและชานยอล แต่ผมก็ยังอยากจะหามาให้เขา เพราะมันคงเป็นตุ๊กตาที่เขารักมาก อย่างน้อยเขาก็คงอยากได้มันคืน .....
“ผมมีเพื่อนอยู่แค่ตัวเดียวนะม๊า ไอ้กบนั่นไง” ทำเพื่อนเขาหายไปทั้งตัวหนึ่ง ก็คงต้องพยายามหาให้เจอล่ะนะ อู๋อี้ฟาน ถึงมันจะดูยากพอๆกับการตามหาความทรงจำก็เถอะ....
-----------------------------------------
หลังจากแม่ออกไปผมก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่ทุกหัวข้อที่สมองหยิบยกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของชานยอลทุกข้อ ผมเหลือบตามองไปที่ประกาศ สลับกับเท้าของผม อยู่ในสภาพอย่างนี้ก็คงจะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่เดินไปห้องน้ำ แล้วอย่างนี้ก็คงจะไปแปะใบประกาศไม่ได้ ผมถอนหายใจออกมาอย่างนึกเสียดาย ก่อนจะเริ่มคิดหาทางออก แต่คิดไปได้ไม่เท่าไร เสียงเปิดประตูก็ขัดขึ้นเสียก่อน
เซฮุนและลู่หานเดินเข้ามาในห้อง สีหน้ายิ้มแย้มของพวกเขาวันนี้ดูเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมโบกมือทักทายไปให้เขาเล็กน้อย หลังจากนั้นเราสามคนก็นั่งคุยอะไรกันอีกนิดๆหน่อยๆ ประเด็นส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องสุขภาพของผม พวกเขาถามตั้งแต่เรื่องคืนวันเกิดอุบัติเหตุ เรื่อยมาจนมาถึงตอนนี้ แต่พยายามเลี่ยงเรื่องของชานยอล เพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมไม่สนใจเจตนาของพวกเขา แต่กลับเป็นฝ่ายเปิดประเด็นของชานยอลเสียเอง
“ฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย ฉันจะไปปิดประกาศตามหาคุโร แต่......อย่างที่เห็น โดนสั่งห้ามเดิน”
“พี่จะให้ผมไปติดให้หรอ ได้ เอามาสิ”
“ไม่ใช่ ที่จะขอคือไปเอารถเข็นมาให้ที ฉันจะไปติดเอง” เซฮุนกับลู่หานเบิกตาโพล่ง ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดย้ำเจตนาของตน เซฮุนถอนหายใจอย่างจนปัญญาก่อนจะเดินไปเอารถเข็นมาให้ผม ลู่
หานเข้ามาพยุงผมให้นั่งรถเข็นได้สะดวก
“พี่จะไปปิดที่ไหนล่ะ เดี๋ยวพวกเราช่วย” ลู่หานถามก่อนจะเดินอ้อมมาเข็นรถให้ผม
“ทุกที่”
“ว่าไงนะ!!!”
“ทุกที่”
“แต่พี่......เฮ้อ เอางั้นก็ได้”เซฮุนที่ทำท่าจะแย้งตอนแรกพูดขึ้น ผมโบกมือเป็นเชิงออกคำสั่งให้เข็นผมไปได้แล้ว ความจริงแล้วผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ แค่ติดตรงไหนได้ ผมก็จะติด ได้เยอะเท่าไรก็ดีเท่านั้น แม้มันจะดูเป็นการกระทำที่งี่เง่า แต่ผมก็หวังอยู่ลึกๆว่าอาจมีคนเห็นมัน แล้วเอามาให้ผม
ที่แรกที่เราติดคือบอร์ดหน้าเค้าเตอร์ ผมเป็นคนติดมันกับมือเอง ถึงจะลำบากที่ต้องเขย่งนิดหน่อย แต่ผมก็อยากทำด้วยตัวของผมเอง เซฮุนกับลู่หานร้องห้ามอยู่หลายรอบ จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความดื้อดึงของผม พวกเขาทำได้อย่างมากแค่เข็นรถและคอยจับผมไว้เท่านั้น เสร็จจากเค้าเตอร์ ที่หมายต่อไปก็คือประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง ระหว่างที่รอ ผมก็ปิดประกาศที่ประตูลิฟต์ทุกประตู และข้างในตัวลิฟต์ที่เราขึ้นด้วย จากนั้นผมก็ไปแปะที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง แน่นอนว่าคนจะต้องเดินผ่านไปมาจุดนี้เยอะ ประกาศของผมก็คงจะถูกเห็นได้ไม่ยาก
ที่หมายต่อไปก็คือโรงอาหาร ระหว่างทางผมก็ปิดประกาศไปทุกที่ที่ติดได้ ทั้งที่ห้องน้ำ ทั้งที่เสาต่างๆ ไม้เว้นแม้แต่ประตูลิฟต์ตัวอื่นๆ พอถึงโรงอาหาร ผมก็ติดที่แผนกแลกเงิน มาถึงตอนนี้ใบประกาศก็เริ่มเหลือน้อยเต็มที และเรี่ยวแรงของผมเองก็เช่นกัน ผมรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวไปมามากๆไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขอฝืนตัวเองอีกสักหน่อยก็แล้วกัน ผมติดใบประกาศไปตามร้านค้าต่างๆโดยใช้วาทศิลป์ขอเขานิดๆหน่อยๆ กว่าใบสุดท้ายจะเสร็จผมก็แทบสลบเหมือดคารถเข็น
“พี่! กลับห้องกันเหอะ พี่ติดไปเยอะแล้วนะ” เซฮุนโวยวาย ก่อนจะเข็นรถเข็นไปที่ลิฟต์ ผมพยักหน้าตอบเขาช้าๆโดยไม่คิดจะเถียงอะไร ตอนนี้ผมก็เริ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ พอเข้ามาในห้องผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที ไม่นานผมก็หลับไป....
--------------------------------------
“หม่าม๊า ขึ้นห้องกันเถอะ ผมเดินเหนื่อยละ” เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งชวนหญิงผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น หลังจากที่เขาถูกตามใจให้เดินเล่นในสวนของโรงพยาบาลจนพอใจแล้ว แม่ของเขาแย้มยิ้มเอ็นดูลูกชาย ก่อนจะพยักหน้ายอมตกลง เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจก่อนจะจูงมือแม่ของเขาเดินออกไป
ทันทีที่เข้าตัวตึก ความประหลาดใจก็แวบเข้ามาในความรู้สึกทันที ใบประกาศตามหาตุ๊กตาของเขาถูกแปะอยู่ทั่วทั้งโรงพยาบาล ชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็เจอ ตากลมเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนที่ดูเยอะมากจนนับไม่ถ้วนของมัน และที่สำคัญทุกแผ่นล้วนถูกเขียนขึ้นด้วยมือ รู้ได้ทันทีว่าตุ๊กตาตัวนี้ต้องมีความสำคัญกับคนเขียนมากแน่ๆ แต่จะใครล่ะ ในเมื่อตุ๊กตาตัวนั้นเป็นของเขาคนเดียว เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างโปร่งก็รีบหาชื่อผู้ติดต่อในใบประกาศทันที
KRIS
“ม๊าครับ เขาเป็น....”
“เธอ นี่มันประกาศที่หมอคริสคนนั้นติดนี่”เสียงพยาบาลคนหนึ่งดังแทรกขึ้น ชานยอลเหลือบตาไปมองเล็กน้อย พวกเธอสองคนดูตื่นเต้นกับใบประกาศนั่นมาก
“ตุ๊กตาตัวนี้คงสำคัญกับเขามากล่ะ เห็นติดกับมือเองทุกแผ่นทั้งๆที่ตัวเองก็เจ็บนะ แต่เธอ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวหมอจางว่าอีก”หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยให้กับชานยอล
“ม๊าครับ หมอคริสนี่คือใครหรอครับ” แม่ของเขาแสดงสีหน้ากระอักกระอวนออกมา เธอนิ่งเงียบไป ก่อนจะค่อยๆตอบคำถามลูกชาย
“คนที่ลูกปาแก้วใส่เขา” ความตกใจ ไม่เข้าใจ และความสงสัยจู่โจมใส่ร่างโปร่งทันที ชานยอลมองใบประกาศด้วยแววตาจริงจังก่อนจะหันหลังขวับเดินไปถามห้องพักของคริสที่ประชาสัมพันธ์ เขาต้องรู้ให้ได้ว่านี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนคนนั้นถึงรู้จักตุ๊กตาของเขา แล้วทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ เรารู้จักกันงั้นหรอ แล้วทำไม........
เขาถึงจำเรื่องราวของคนคนนั้นไม่ได้เลยล่ะ
ทันทีที่ประชาสัมพันธ์บอกหมายเลขห้อง เขาก็รีบไปยังที่หมายโดยพกความประหลาดใจมาด้วย ความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นพักอยู่ห้องข้างๆเขานี่เอง อยู่ใกล้กันแท้ๆทำไมเขาไม่ยักจะรู้เลยว่าคนคนนั้นพักอยู่ห้องข้างๆ
ตากลมที่ฉายแววจริงจังกวาดตามองหาห้องที่ต้องการ ไม่ช้าเขาก็พบห้องนั้น เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตู พุ่งเข้าไปในนั้น ทุกคนในห้องมองเขาด้วยความตกใจเหมือนเขาเป็นสัตว์ประหลาด โดยเฉพาะคุณคำตอบของเขาที่นอนอยู่บนเตียง ร่างโปร่งจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำทั้งห้องแทบหยุดหายใจ....
"ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ"